ทะลุมิติไปเป็นสาวนาผู้ร่ำรวย - บทที่ 1450 มีชื่อเสียง
บทที่ 1450 มีชื่อเสียง
หญิงสาวเช่นนี้ แม้ว่าความงามจะไม่เปล่งประกายเท่าซูหมิ่น แต่ก็งดงามราวกับดวงจันทร์ที่ส่องแสงเปล่งประกายเหมือนหยก แต่สำหรับซูหมิ่นเป็นความงามที่เจิดจ้า โอ้อวด และยั่วยวนจนเกินไป
เพราะความสวยนั้นมากเกินไป จากที่มองแล้วสะดุดตาในคราแรก แต่ทำให้คนไม่อยากมองความสวยทว่ายั่วยวนนั้นอีกหลาย ๆ ครั้ง
ความสวยสองแบบที่ต่างกันอย่างสิ้นเชิง เมื่อเปรียบกับความแพรวพราวของซูหมิ่น
นึกถึงตอนที่พบเสี้ยนจู่อันผิง ซูหมิ่นผู้นั้นมองอย่างมีเลศนัย ทั้งยังมีอาการที่ดูอิจฉา ฟางเพ่ยหยาหัวเราะออกมา
เสี่ยวเยว่ผู้โง่เขลาเห็นคุณหนูยิ้ม จึงถามด้วยความตื่นเต้น “คุณหนู มีเรื่องอะไรที่น่ายินดีหรือ”
ฟางเพ่ยหยาพยักหน้า “เสี่ยวเยว่ วันนี้ข้าได้พบคนที่น่าสนใจมากคนหนึ่ง”
สนใจจนอยากจนทำให้ข้าอยากจะเลียนแบบทุกคำพูดและการกระทำของนาง เลียนแบบความหน้าเนื้อใจเสือ
“คนที่คุณหนูชอบนั้นเป็นคนดีแน่นอน” เสี่ยวเยว่ไม่รู้ว่าคนที่คุณหนูพูดถึงนั้นคือใคร เพียงเห็นคุณหนูดีใจเช่นนี้ ก็ต้องคิดว่าเป็นคนดีแน่นอน นางจึงคลี่ยิ้มกว้าง
ฟางเพยหยาไม่ได้พูดเรื่องนั้นต่อ แต่พูดว่า “เสี่ยวเยว่ กลับไปช่วยข้าเขียนเทียบเชิญต่อ”
เสี่ยวเยว่พยักหน้า ไม่นานรถม้าก็วิ่งออกไปและหายลับไปบนถนน
สองพี่น้องฟางหลานซินยืนขึ้น เฝ้าดูรถม้าของฟางเพ่ยหยาเคลื่อนออกไปไกลขึ้นเรื่อย ๆ ด้วยความไม่เชื่อ และดวงตาเต็มไปด้วยความสงสัย
ฟางเพ่ยหยาผู้นั้น วันนี้เกิดอะไรขึ้นกับนาง
เมื่อก่อนนางมีนิสัยอ่อนแอ ทำไมจู่ ๆ วันนี้ถึงเปลี่ยนไป?
ทั้งสองมองหน้ากันด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความสงสัย
“ท่านพี่ ท่านว่าควรทำอย่างไรดี ต้องเอาเรื่องนี้ไปบอกท่านพ่อหรือไม่” ฟางจู๋อวิ๋นไม่แน่ใจ
แม้ว่าพวกนางจะเป็นลูกที่ท่านพ่อนั้นรักใคร่ แต่ท่านพ่อก็เคยว่ากล่าวตักเตือนพวกนาง ฟางเพ่ยหยาเป็นลูกสาวคนโตของตระกูลฟาง พวกเขาต้องเกรงใจและต้องปกป้องนางแน่ ๆ
ถ้าท่านพ่อรู้ว่าวันนี้พวกนางทำให้ฟางเพ่ยหยาอับอายขายหน้าเช่นนี้ เกรงว่าท่านพ่อก็จะไม่เลี่ยงพวกนางแน่
“แน่นอนอยู่แล้ว ทำไมจะไม่บอกล่ะ เพียงแต่พวกเราจะไม่พูดเช่นนี้” ฟางหลานซินพูดอย่างเย็นชา มองไปยังรถม้าที่อยู่ห่างออกไป ดวงตาฉายแววความเยือกเย็น
“ขอทางหน่อย” ขณะที่พี่น้องตระกูลฟางกำลังตกอยู่ในภวังค์ จู่ ๆ ก็มีน้ำเสียงที่ไม่พอใจเสียงหนึ่งดังมาจากทางด้านหลัง
ฟางหลานซินและฟางจู๋อวิ๋นรีบหันหลังกลับไปมองก็เห็นซูเฉี่ยนเยว่และหวงหรูซื่อออกมาจากจวนหมิงอ๋องพร้อมกับคนรับใช้ที่ยืนล้อมหน้าล้อมหลัง
ทั้งสองจึงรีบประสานมือไว้ที่หน้าอกเพื่อแสดงความเคารพแล้วก้าวถอยไป
สองคนนี้ ไม่ใช่คนที่พวกนางจะแตะต้องได้
“รู้สึกแปลก ๆ แล้ว ทำไมหมิงตูจวิ้นจู่จึงชวนสองคนนี้มาร่วมงานเลี้ยง” หวงหรูซื่อยังคงเอ่ยวาจาเหน็บแนม
ซูเฉี่ยนเยว่ยิ้มพร้อมพูดว่า “พี่หวง พวกนางสองคนก็เป็นลูกสาวของตระกูลฟาง ถึงแม้จะเป็นลูกของอนุภรรยา แต่ความสัมพันธ์ระหว่างพวกนางและหมิงตูจวิ้นจู่นั้นดีทีเดียว”
ความสัมพันธ์ของพวกนางสองคนกับหมิงตูจวิ้นจู่ก็นับว่าไม่เลว เป็นเพราะสองคนนี้รับมือง่าย ยามที่หมิงตูจวิ้นจู่จัดการอะไรได้ไม่ดีก็เพียงแต่ยืมมือพวกนาง
ความสัมพันธ์อันดีของซูเฉี่ยนเยว่และหมิงตูจวิ้นจู่นั้น รู้ได้แน่นอนว่าพวกนางสองคนมีประโยชน์
หวงหรูซื่อเห็นซูเฉี่ยนเยว่ยิ้มกว้างแสดงท่าทางไล่สองพี่น้องตระกูลฟาง พร้อมส่งเสียงพึมพำออกมาเบา ๆ นางจึงมองไปที่สองพี่น้องตระกูลฟางด้วยความเหยียดหยามโดยไม่พูดอะไร
“พี่หวง พวกเราไปกันเถอะ” จู่ ๆ ซูเฉี่ยนเยว่ก็ชวนหวงหรูซื่อออกไปด้วยกัน เดิมทีหวงหรูซื่อได้ก้าวเท้าข้างหนึ่งขึ้นไปบนรถม้าแล้ว เมื่อได้ยินเสียงของซูเฉี่ยนเย่ว จึงหันกลับไปมองด้วยความประหลาดใจ เมื่อเห็นสายตาของนาง ทั้งมุมปากที่แฝงรอยยิ้ม ท่าทางราวกับมีบางอย่างที่ต้องการจะพูดกับนาง
“ท่านพี่ บนรถม้าของข้ามีชาปี้หลัวชุนชั้นยอดอยู่ ท่านอยากลองชิมด้วยกันหรือไม่” ซูเฉี่ยนเยว่เห็นหวงหรูซื่อก็ประหลาดใจเล็กน้อย แต่ก็รีบเอ่ยออกไปทันที
หวงหรูซื่อรู้ว่าคนผู้นี้มีอะไรจะพูดกับนาง ดังนั้นนางจึงพยักหน้า แล้วเดินลงจากรถม้าอีกครั้ง พร้อมบอกสาวใช้ที่อยู่ข้าง ๆ “พวกเจ้าตามข้ามา”
จากนั้นหวงหรูซื่อจึงขึ้นไปบนรถของซูเฉี่ยนเยว่ภายใต้สายตาของสองพี่น้องตระกูลฟาง
ภายในรถม้า ถานอวี้ซูพูดถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นวันนี้ในจวนหมิงอ๋อง แล้วหัวเราะอย่างมีความสุข
เพราะสาวใช้ของนางอย่างอาอวี้และอาจั่วที่อยู่ข้าง ๆ กู้เสี่ยวหวานไม่ได้เข้าไปด้วย นางจึงเล่าสิ่งที่นางเห็นข้างในใหม่อีกครั้งให้ทั้งสองฟัง
อาอวี้ไม่ได้ยินว่าเกิดอะไรขึ้นข้างใน ครั้งแรกที่ได้ยินถานอวี้ซูพูดก็โมโหหัวฟัดหัวเหวี่ยง จากนั้นก็แสดงสีหน้าตกใจมาก และสุดท้ายก็แสดงสีหน้าชื่นชม
“เสี้ยนจู่อันผิง ท่านสุดยอดไปเลยเจ้าค่ะ” อาอวี้คิดถ้อยคำดี ๆ ไม่ออกแล้ว นางเพียงมองไปที่กู้เสี่ยวหวานด้วยแววตาชื่นชมและเลื่อมใสศรัทธา ในใจก็รู้สึกประหลาดใจยิ่งนัก
“อาอวี้ สุดยอดมากตั้งแต่ต้นจนจบ ว่าง่าย ๆ คือยอดเยี่ยมที่สุด” ถานอวี้ซูแก้ประโยคของนางให้ถูกต้อง ถึงแม้จะกลับมาจากจวนหมิงอ๋องสักพักแล้ว แต่เมื่อพูดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ ถานอวี้ซูยังคงรู้สึกตื่นเต้นมาก
“ท่านพี่ จากนี้ไปความสามารถของท่านคงกระจายไปทั่วเมืองหลวง เมื่อถึงเวลานั้น ก็มาดูกันว่ายังมีใครกล้าลอกเลียนแบบท่าน” ถานอวี้ซูพูดด้วยความตื่นเต้น
กู้เสี่ยวหวานเห็นถานอวี้ซูดีใจเช่นนั้น จึงได้แต่ฝืนยิ้มในใจ
ถ้าเป็นไปได้ นางก็อยากจะอยู่อย่างสงบสุขในสวนชิงไปตลอดชีวิต เรื่องที่ดึงดูดความสนใจผู้คนเช่นนี้ นางไม่ได้อยากจะทำเลยแม้แต่น้อย
มุมปากของกู้เสี่ยวหวานกระตุกขึ้นเป็นรอยยิ้มแอบแฝง มีเพียงความหมดสิ้นหนทางฉายออกมาผ่านนัยน์ตา
รถม้าวิ่งมาถึงสวนชิงด้วยความรวดเร็ว หลังจากบอกลากับถานอวี้ซูแล้ว กู้เสี่ยวหวานก็เดินเข้าไปในบ้าน
เมื่อเข้ามาในห้อง เดิมทีอาจั่วต้องเตียมอ่างล้างหน้าให้กู้เสี่ยวหวาน และคาดไม่ถึงว่าฉินเย่จือจะรอนางอยู่ในห้อง อาจั่วไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากถอยออกไป
“วันนี้เที่ยวเล่นเป็นอย่างไรบ้าง” ฉินเย่จือคลี่ยิ้ม เรื่องในจวนหมิงอ๋อง อีกไม่นานเขาก็คงรู้
ได้ยินว่ากู้เสี่ยวหวานอยู่ในงานเลี้ยงของซูหมิ่น พูดจาอย่างคล่องแคล่วฉะฉาน เปี่ยมไปด้วยพรสวรรค์ ในใจของฉินเย่จือรู้สึกท่วมท้นและรู้สึกได้รับเกียรติไปกับนาง
นี่คือแมวน้อยของเขา ยอดเยี่ยมเช่นนี้ ทำให้เขาดีใจจนสุดขีด
เพียงเท่านั้น เขามองหญิงสาวที่งดงามของเขา ยังมีส่วนไหนที่ไม่ทำให้เขารู้สึกไม่ชื่นชมได้
หลังจากฟังกู้เสี่ยวหวานเล่าถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในงานเลี้ยงอีกครั้ง ฉินเย่จือยังมีอาการเหมือนกับฟังครั้งแรก
หลังจากฟังจบ ฉินเย่จือมองกู้เสี่ยวหวานพร้อมรอยยิ้ม “หวานเอ๋อร์ เจ้าช่างยอดเยี่ยมจริง ๆ ที่สามารถพูดออกมาเป็นบทกวีได้”
ฉินเย่จือไม่ได้พูดโกหก ถ้าให้เขาไปพูดเช่นนี้ ถึงแม้ว่าเขาจะทำได้ก็แต่ต้องใช้เวลามากแน่นอน