ทะลุมิติไปเป็นสาวนาผู้ร่ำรวย - บทที่ 1456 ทำให้นางไม่มีที่ยืน
บทที่ 1456 ทำให้นางไม่มีที่ยืน
“เพ่ยหยา พวกเราไม่ได้กินหม้อไฟกันมานานแล้ว ถ้าหากท่านพี่ยังอยู่ก็ควรจะพานางมาบ่อย ๆ ดูว่าหม้อไฟที่เมืองหลวงนี่รสชาติเป็นอย่างไรจริง ๆ” ถานอวี้ซูพูดอย่างเสียดาย
“ท่านพี่เองก็เคยกินหม้อไฟด้วยหรือ” ฟางเพ่ยหยาถามอย่างแปลกใจ
“แน่นอนสิ ร้านอาหารฝูจิ่นนี้เปิดที่เมืองรุ่ยเสียนก่อนเสียอีก ตอนที่ข้าออกไปเที่ยวเล่นกับท่านปู่ก็ได้บังเอิญเจอกับท่านพี่ ท่านยังเคยชวนข้าไปกินข้าวด้วย แต่ต่อมาหลังจากนั้นก็ไม่มีโอกาสอีกเลย ใครจะรู้ว่าร้านหม้อไฟนี้จะเปิดมาถึงเมืองหลวงแล้ว” ถานอวี้ซูพูดอย่างตื่นเต้น
ในเวลานี้ ถานอวี้ซูและฟางเพ่ยหยาก็เดินผ่านประตูพอดี จึงหันมาเห็นคนที่คุ้นเคยหลายคนอย่างไม่ได้ตั้งใจ
“ท่านพี่ ท่านก็อยู่ที่นี่ด้วยหรือ ข้ายังพูดอยู่เลยว่าจะไปเชิญท่านที่เรือนของท่านอยู่พอดี คิดไม่ถึงว่าจะบังเอิญเจอกันที่นี่” ถานอวี้ซูดูเหมือนกับมองไม่เห็นว่าที่โต๊ะยังมีคนอื่นนั่งอยู่อีกสองคน นางเดินเข้ามาในห้องแล้วทักทายกู้เสี่ยวหวาน และมองคนข้าง ๆ สองคนนั้นราวกับเป็นอากาศไปแล้ว
“ทำไมพวกเจ้าเองก็มาด้วยล่ะ” กู้เสี่ยวหวานถามด้วยรอยยิ้ม
“ไม่ใช่ว่าไม่ได้ลิ้มรสชาตินี้มานานแล้วหรอกหรือ ก็เลยคิดว่าจะพาท่านมากินด้วยกันสักมื้อ ใครจะรู้ว่าท่านจะมาก่อนข้าอีก เห็นแบบนี้ท่านพี่คงจะกินเสร็จเรียบร้อยแล้ว รสชาติเป็นอย่างไรบ้าง เทียบกับร้านที่พวกเรากินกันที่เมืองรุ่ยเสียน ร้านไหนดีกว่ากัน” สีหน้าของถานอวี้ซูนั้นคาดหวัง
“รสชาติพอ ๆ กัน แต่ขึ้นอยู่กับว่ากินกับใครแล้ว” กู้เสี่ยวหวานไม่ได้หันหน้าไป เพียงแค่สบตามองถานอวี้ซูและยิ้มอย่างมีเลศนัย
“งั้นก็พอดีเลย ไป! พวกเราไปกันเถอะ ข้ากับเพ่ยหยายังไม่ได้กินกันเลย มากินด้วยกันอีกสักมื้อเถอะ” ถานอวี้ซูจับมือกู้เสี่ยวหวานโดยไม่ได้มองซูเฉี่ยนเยว่และหวงหรูซื่อที่อยู่ด้านหลังเลยแม้แต่น้อย
กู้เสี่ยวหวานยิ้มและพูดอย่างไพเราะ หันหน้าไปทางด้านหลังแล้วพูดกับหวงหรูซื่อและซูเฉี่ยนเยว่ว่า “คุณหนูซู คุณหนูหวง วันนี้ขอบคุณคุณหนูซูที่มีน้ำใจเชิญข้ามาแล้ว ครั้งหน้าเสี่ยวหวานจะเป็นเจ้ามือเชิญทั้งสองเอง”
ไม่ว่าหวงหรูซื่อและซูเฉี่ยนเยว่จะพูดอะไร กู้เสี่ยวหวานก็เดินตรงออกไปกับถานอวี้ซูแล้ว
หวงหรูซื่อและซูเฉี่ยนเยว่เห็นกู้เสี่ยวหวานจากไปเช่นนี้ อีกทั้งก่อนที่จะจากไปนั้นยังถูกกู้เสี่ยวหวานด่าอย่างคลุมเครืออีก จากนั้นนางก็เดินจากไปเหมือนคนไม่มีเรื่องราวอะไร
ซูเฉี่ยนเยว่รู้สึกแค่ว่ามีลมอัดแน่นอยู่ในท้อง ทำอย่างไรก็ไม่สามารถระบายออกมาได้ ครั้นมองกู้เสี่ยวหวานที่เดินจากไปก็โกรธจนขอบตาแดงแล้ว
“ท่านพี่หวง ท่านดูเสี้ยนจู่อันผิงสิ พวกเราหวังดีเชิญนางมากินข้าว นางกลับทำกับพวกเราเช่นนี้” ซูเฉี่ยนเยว่พูดพลางร้องไห้น้ำตาคลอเบ้า หากแต่มันก็ไม่ได้ไหลออกมา
หวงหรูซื่อเหลือบตามองท่าทางโศกเศร้าของซูเฉี่ยนเยว่ ในใจก็ร้องเหอะและพูดอย่างไม่พอใจว่า “คำว่าพี่สาวนี้ ข้าคงไม่กล้ารับไว้หรอก วันนี้เจ้าเชิญข้ามากินอาหารมื้อนี้ จุดประสงค์ก็เพื่อให้ข้ามายั่วยุนาง”
“ท่านพี่หวง” ซูเฉี่ยนเยว่รู้สึกอึดอัดเล็กน้อย “ไม่ใช่นะ เพียงแค่ไม่ได้อยู่กับท่านมานานแล้ว วันนี้จึงถือโอกาสมาพูดคุยกับท่านให้ดี”
“พูดคุยอะไร เรื่องของนางรึ?”
หวงหรูซื่อถาม
จากนั้นก็เห็นซูเฉี่ยนเยว่พยักหน้า เมื่อเห็นว่ารอบด้านไม่มีคนแล้วก็พูดเสียงเบาว่า “จวิ้นจู่ไม่ชอบนางมาก หวังว่าพวกเราจะทำให้นางไม่สามารถเงยหน้าอยู่ในเมืองหลวงและมีที่ยืนออกข้างนอกได้”
ในห้องที่เงียบสงัด นอกจากซูเฉี่ยนเยว่และหวงหรูซื่อแล้วก็ไม่มีคนอื่นอีก ไม่มีใครรู้ว่าในตอนนี้มีหญิงสาวที่แต่งตัวเรียบร้อยยืนอยู่ตรงหน้าประตู หลังจากได้ยินเสียงความเคลื่อนไหวแล้ว คนก็หายวับเข้าไปอยู่ในห้องด้านข้างเสียแล้ว
กู้เสี่ยวหวานกับถานอวี้ซูมาถึงห้องด้านข้างแล้ว หลี่ฝานสั่งให้คนเตรียมทุกอย่างสำหรับหม้อไฟไว้นานแล้ว พอเข้าไปก็เห็นหม้อน้ำแกงบนเตาถ่านกำลังเดือดพล่านส่งเสียงปุด ๆ ออกมา
“พวกเรารีบกินกันเถอะ เมื่อครู่เพิ่งกินผ้าขี้ริ้ววัวไปจานเดียว ท้องตอนนี้หิว มาก”
หลังจากที่นั่งลงแล้ว ทุกคนก็ขยับตะเกียบ บรรยกาศมีความสุขกับการกิน กู้เสี่ยวหวานก็พูดมากเป็นพิเศษ บางครั้งก็มักจะสอนถานอวี้ซูลวกของกินอย่างไร ผสมน้ำจิ้มอย่างไร หลังจากที่ลวกอาหารจนสุกแล้ว รสชาติจะถูกปากที่สุด
บางครั้งในห้องก็มีเสียงหัวเราะดังขึ้น ตรงกันข้ามกับห้องด้านข้างที่เงียบสงัดอย่างน่าประหลาดใจ
หลังจากที่ซูเฉี่ยนเยว่กับหวงหรูซื่อพูดคุยธุระจบแล้วก็ออกมายืนอยู่ตรงหน้าประตู และยังได้ยินเสียงหัวเราะคิกคักอย่างมีความสุขของถานอวี้ซูและกู้เสี่ยวหวานเป็นครั้งคราว
เมื่อนึกถึงท่าทางของกู้เสี่ยวหวานที่มีต่อพวกนางในเมื่อครู่ กับสีหน้าท่าทางที่ดูมีความสุขในตอนนี้ ก็เห็นว่าคิ้วของซูเฉี่ยนเยว่นั้นย่นเข้าหากันแล้ว
จากนั้นจึงส่งเสียงเหอะอย่างเย็นชา สะบัดแขนเสื้อ สายตาจ้องมองไปยังกู้เสี่ยวหวานและคนอื่นย่างดุร้ายแล้วเดินจากไป
หวงหรูซื่อเองก็เช่นกัน หลังจากซูเฉี่ยนเยว่จากไปแล้ว นางจึงค่อยเดินออกจากห้องรับรองด้วยสีหน้าลำพองใจ
คำพูดที่ซูเฉี่ยนเยว่กล่าวกับนางเมื่อครู่นี้ นางจดจำทุก ๆ คำไว้ในใจแล้ว
ตั้งแต่แรก นางก็ไม่ชอบเสี้ยนจู่อันผิงคนนี้อยู่แล้ว ตอนที่ได้ยินหลิวเทียนฉือพูดถึง ก็ไม่ได้มีความรู้สึกกับนางเลยแม้แต่น้อย ในตอนนี้เมื่อได้เห็นตัวจริง ด้วยบุคลิกและอุปนิสัยเช่นนี้ก็ยิ่งทำให้คนรู้สึกไม่ชอบ
หญิงสาวบ้านนอกที่ออกมาจากหุบเขา ด้วยอุปนิสัยและท่าทางเช่นนี้ ย่อมทำให้นางที่ถูกเลี้ยงดูมาอย่างคุณหนูและเติบโตอยู่ในเมืองหลวงซึ่งมีสภาพแวดล้อมที่เพียบพร้อมกว่ารู้สึกดูแคลน
ชิงชังอย่างมากจริง ๆ
ซูเฉี่ยนเยว่กลับถึงจวนด้วยความโกรธ ตลอดทางนั้นไม่พูดไม่จา และอยู่ในอารมณ์คุกรุ่น
ซูจือเยว่อยู่ที่จวนพอดี เมื่อเงยหน้าขึ้นก็เห็นน้องสาว พอเห็นสีหน้าท่าทางของนางดูไม่พอใจจึงถามว่า “เจ้าเป็นอะไรไป ใครทำให้น้องสาวของข้าไม่พอใจกัน?”
“ท่านพี่” เมื่อซูเฉี่ยนเยว่เห็นว่าเป็นพี่ชาย ดวงตาก็เป็นประกายด้วยความยินดี นางเดินเข้าไปหาและจับมือของซูจือเยว่ไว้พลางพูดอย่างตื่นเต้นว่า “ท่านพี่ ท่านกลับมาตั้งแต่เมื่อใดกัน”
“เพิ่งกลับมาถึงก่อนหน้านี้ เมื่อครู่เพิ่งจะไปเยี่ยมท่านแม่มา ทำไมรึ? ข้าเพิ่งออกไปข้างนอกไม่กี่วันก็คิดถึงข้าแล้วรึ?” ซูจือเยว่พูดหยอกล้อนาง
“ย่อมคิดถึงอยู่แล้ว เพียงแต่ไม่ใช่ข้าคนเดียวที่คิดถึงท่านนะ” ซูเฉี่ยนเยว่พูดพลางหัวเราะด้วยสีหน้าที่ตื่นเต้น ไม่มีทางได้ทันเห็นความระอาที่พาดผ่านในแววตาของซูจือเยว่เลย
“ท่านพี่หมิงตูพูดถึงท่านทุกวันเลย บ่นว่าทำไมท่านถึงยังไม่กลับมาอีก ท่านเพิ่งจะออกไปเพียงไม่กี่วันเท่านั้นเอง ท่านพี่หมิงตูก็คิดถึงท่านมากขนาดนั้นแล้ว เหตุใดท่านยังไม่รีบไปหาท่านพี่หมิงตูเร็ว ๆ เพื่อทำให้นางสบายใจอีก” ซูเฉี่ยนเยว่กล่าวอย่างติดตลก
รอยยิ้มบนใบหน้าของซูจือเยว่ชะงักลงและพูดอย่างเด็ดขาดว่า “เฉี่ยนเยว่ อย่าพูดจาเหลวไหล หมิงตูจวิ้นจู่เป็นผู้ที่สูงศักดิ์มีเกียรติมาก เจ้าพูดจาเหลวไหลเช่นนี้ได้อย่างไร”