ทะลุมิติไปเป็นสาวนาผู้ร่ำรวย - บทที่ 1458 บุญคุณของตระกูลหลู
บทที่ 1458 บุญคุณของตระกูลหลู
ฟางเพ่ยหยาเองก็ทำอะไรไม่ถูก “เขาอาจจะไม่พอใจ แม้ว่าข้าจะเป็นบุตรสาวสายตรงของตระกูลฟาง แต่เจ้าดูข้าสิ หน้าตาข้าเป็นเช่นนี้ จะมีสักกี่คนที่จะมาสู่ขอข้า แต่ว่าพวกนางทั้งสองคนนั้นไม่เหมือนกัน บุตรสาวของตระกูลฟางที่หน้าตาดี บิดาของข้าแทบจะทนไม่ไหวที่จะให้พวกนางแต่งงานกับตระกูลที่ดี เพื่อปูทางให้เขาก้าวหน้าในตำแหน่งการงาน”
“พวกนางทั้งสองเป็นลูกอนุ จะมีตระกูลดี ๆ ที่ไหนมาสู่ขอพวกนางได้” ถานอวี้ซูพูดอย่างเหยียดหยาม พอพูดจบก็เห็นฟางเพ่ยหยานั่งนิ่งเงียบโดยไม่กล่าวอะไรเลยสักพัก
ตอนที่กู้เสี่ยวหวานกำลังแปลกใจก็เห็นฟางเพ่ยหยาฟุบหน้าอยู่บนโต๊ะพลางร้องไห้เจือสะอื้นขึ้นมา
เมื่อได้ยินฟางเพ่ยหยาร้องไห้ ถานอวี้ซูก็รู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ จึงรีบร้อนถามว่า “เพ่ยหยา แท้จริงแล้วเกิดเรื่องอะไรขึ้น เจ้าบอกให้พวกเราฟังสิ”
ฟางเพ่ยหยาร้องไห้เจือสะอื้น เสี่ยวเยว่ที่อยู่ข้าง ๆ ก็รีบเข้ามาปลอบใจฟางเพ่ยหยา “คุณหนู ท่านอย่าเสียใจไปเลย ไม่เช่นนั้นก็เล่าให้ฮู้กั๋วจวิ้นจู่ฟัง ไม่แน่ว่าจวิ้นจู่อาจจะช่วยท่านออกความเห็นหรือไม่ก็ตีเสมอกับคนผู้นั้นได้นะเจ้าคะ”
“ใช่แล้ว เพ่ยหยา เจ้ารีบบอกข้าเร็วว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่” ถานอวี้ซูเองก็ถามอย่างร้อนใจเช่นกัน
“ในทุกวันนี้เขาบีบบังคับท่านแม่ของข้าทุกวัน จะยกหลิวซื่อเป็นภรรยารองถ้าหากท่านแม่เห็นด้วย ถ้าหากนางไม่เห็นด้วยก็จะทิ้งท่านแม่ไว้และไม่ไปหานางอีกตลอดไป เพียงแค่วางนางไว้เหมือนเป็นของตกแต่งในบ้านแล้วรอวันนั้น…” ฟางเพ่ยหยาพูดถึงตรงนี้ สายตาก็พลันฉายแววความดุร้ายแล้วกล่าวต่อว่า “ที่แท้ ที่เขาพูดก็คือรอวันนั้น วันที่แม่ข้าตายและกดข่มหลิวซื่อไม่ได้แล้ว เขาก็จะยกให้หลิวซื่อเป็นภรรยาเอก ให้นางนำหน้าท่านแม่ข้า และถ้าพวกเขาตาย เขาจะฝังหลิวซื่อไว้กับเขา แต่ฝังแม่ข้าไว้ด้านข้างแทน”
“มีเหตุผลเช่นนี้เสียที่ไหนกัน” ถานอวี้ซูตบโต๊ะจนส่งเสียงดังขึ้นมา “ฟางเจิ้งสิงทำเกินไปแล้วจริง ๆ แม่ของเจ้าเป็นภรรยาเอกของเขา เป็นฮูหยินของตระกูลฟาง เขาสามารถทำเรื่องที่จะยกตำแหน่งของอนุให้สูงกว่าภรรยาเอกเช่นนี้ได้อย่างไรกัน”
“หลายปีที่ผ่านมา ร่างกายของท่านแม่ข้าถูกเขาและหลิวซื่อทำให้อาการยิ่งทรุดหนักลงเรื่อย ๆ ครั้งนี้ได้ยินว่านอนอยู่บนเตียงจนไม่สามารถลุกขึ้นมาได้ ท่านหมอบอกว่าเป็นไข้หวัดลมหนาว แต่ว่ากินยาเข้าไปแล้วหลายวันก็ยังไม่ได้ผล ร่างกายของท่านแม่ข้าไม่มีท่าทีว่าจะดีขึ้นเลย” ในตอนแรกฟางเพ่ยหยาไม่ได้คิดว่าวันนี้จะออกมาข้างนอก คิดจะอยู่ในจวนเป็นเพื่อนมารดา แต่มารดาพูดกับนางว่า หากฟางเพ่ยหยาอยู่กับนางที่เป็นเหมือนหม้อต้มยาทุก ๆ วัน เช่นนั้นจะไม่ดีต่อฟางเพ่ยหยา นางจึงไล่ฟางเพ่ยหยาออกมา
“ฮู้กั๋วจวิ้นจู่ เสี้ยนจู่อันผิง ขอร้องพวกท่าน ขอร้องพวกท่านทุกคน โปรดช่วยคุณหนูของข้าด้วยเถอะเจ้าค่ะ” ทันใดนั้น เสี่ยวเยว่ก็คุกเข่าลง ใบหน้าเต็มไปด้วยน้ำตาและพูดว่า “หลายวันมานี้คุณหนูข้าไม่ได้นอนหลับเลย เอาแต่เป็นห่วงฮูหยินมาตลอด ฮูหยินเองก็เป็นห่วงคุณหนูเช่นกัน ที่ฮูหยินไล่คุณหนูออกมาก็เพื่ออยากให้คุณหนูได้ผ่อนคลายอารมณ์บ้าง แต่เรื่องต่าง ๆ ในจวนตอนนี้จะให้คุณหนูผ่อนคลายใจได้อย่างไรกัน เรื่องนี้เป็นเรื่องที่คุณหนูของข้าไม่สามารถจัดการได้ ฮูหยินร่างกายก็ไม่ดี ในจวนไม่มีผู้ใดสามารถพูดแทนคุณหนูของข้าและฮูหยินเลยสักคนจริง ๆ”
ในปีนั้นที่ฮูหยินฟางหรือหลูเหวินซินแต่งงานกับฟางเจิ้งสิง ตอนนั้นฟางเจิ้งสิงยังเป็นแค่ชายหนุ่มที่เพิ่งเข้าสู่ตำแหน่งทางขุนนางที่ไม่มีอะไรเลย อาศัยตำราที่อ่านมาสิบกว่าปีพยายามหยั่งรากอยู่ในเมืองหลวง
แต่ว่าหลังจากที่ไต่เต้าได้หลายปีแล้ว จึงพบว่าความทะเยอทะยานที่ยิ่งใหญ่นั้นเทียบไม่ได้กับการมีผู้สนับสนุนที่ดี ผลลัพธ์ของการย่ำอยู่กับที่คือการมีชีวิตที่ยากลำบาก เขาจึงเปลี่ยนทิศทางและใช้ความพยายามทั้งหมดไปกับด้านอื่น ๆ
ในตอนนั้นท่านตาของฟางเพ่ยหยา ซึ่งก็คือบิดาของหลูเหวินซินเป็นขุนนางระดับสี่อยู่ในเมืองหลวง แม้ว่าตำแหน่งจะไม่สูง แต่เมื่อเทียบกับตำแหน่งของฟางเจิ้งสิงเมื่อปีนั้นแล้วก็สูงกว่า ในปีนั้นฟางเจิ้งสิงทำหน้าที่เป็นผู้รวบรวมเอกสารเล็ก ๆ ในอำเภอเท่านั้นเอง
ตามตำแหน่งของฟางเจิ้งสิงในเมืองหลวงแล้ว ก็เหมือนกับมดตัวเล็ก ๆ ที่ไม่ได้สำคัญอะไร
ต่อมาเขาก็ให้ความสำคัญกับการทำความรู้จักกับขุนนางตำแหน่งที่สูง และสิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ การทำความรู้จักกับสตรีในอำเภอที่มีอายุเหมาะสมและใกล้จะออกเรือน
ในเวลานั้น หลูเหวินซินก็ไม่รู้ว่าทำไมถึงได้ชอบฟางเจิ้งสิง นางไปเที่ยวชมวิวทิวทัศน์กับฟางเจิ้งสิงด้วยกันสองคน มีบรรยากาศกระหนุงกะหนิงกันและได้ถูกฟางเจิ้งสิงล่อลวงเข้า จนกระทั่งคนของตระกูลหลูค้นพบ หลูเหวินซินก็ตัดสินใจว่าจะแต่งงานกับฟางเจิ้งสิงแล้ว
คราวนี้ดีนักนะ บุตรสาวสายตรงของขุนนางระดับสี่จะแต่งงานกับเสมียนตำแหน่งเล็ก ๆ ไม่มีแม้แต่ตำแหน่งที่สลักสำคัญอะไรเลยด้วยซ้ำ ตอนนั้นตระกูลหลูไม่ว่าอย่างไรก็ไม่มีทางเห็นด้วย
แต่จนปัญญาที่คำพูดของฟางเจิ้งสิงนั้นเป็นคำหวานหู บอกว่าจะรักนางเพียงคนเดียวตลอดไป หลูเหวินซินจึงตกหลุมพลางฟางเจิ้งสิง เข้าใจผิดคิดว่าตัวเองได้พบรักแท้แล้ว เจอบุรุษที่จะรักตัวเองเพียงคนเดียวจนชั่วชีวิต และยังคิดว่าบุรุษเช่นนี้ถ้าหากพลาดไปแล้วก็คงจะไม่มีที่ไหนอีก
นางจึงร้องไห้ฟูมฟายอยากจะแต่งงานกับฟางเจิ้งสิง
ตระกูลหลูไม่ต้องการให้เรื่องนี้ถูกเปิดเผย ในตอนนั้นรู้สึกได้รับความอัปยศ มีแต่ต้องกล้ำกลืนฝืนทนยกหลูเหวินซินให้แต่งงานกับฟางเจิ้งสิง
การแต่งงานในตอนนั้นทำให้ตระกูลหลูเสียหน้าอย่างมาก ตระกูลหลูในตอนนั้นจึงไม่ยอมข้องเกี่ยวกับตระกูลฟางและหลูเหวินซินอีก แต่หลังจากมาลองคิดดูแล้ว จะดีจะร้ายอย่างไรนั่นก็เป็นบุตรสาวของตัวเอง ตระกูลหลูไม่มีทางเลือกอื่น ได้แต่เพียงสนับสนุนฟางเจิ้งสิงให้ก้าวขึ้นไปสู่จุดสูงสุดของชีวิตเท่านั้น
หลังจากที่ฟางเจิ้งสิงมีตำแหน่งก้าวหน้ามากขึ้นเรื่อย ๆ ก็เริ่มที่จะประจบสอพลอและเปลี่ยนสีหน้าท่าทาง และสิ่งที่มากเกินไปกว่านั้นก็คือ การปรากฏตัวของฟางหลานซินและฟางจู๋อวิ๋น หลูเหวินซินถึงได้เพิ่งจะเข้าใจว่าตัวเองนั้นตกหลุมรักคนแบบใด
นับตั้งแต่หลังจากที่หลิวซื่อเข้ามาในตระกูลฟาง วันคืนของตระกูลฟางก็ได้เปลี่ยนไปแล้ว
ฟางเจิ้งสิงได้ยึดอำนาจครึ่งหนึ่งของหลูเหวินซินมอบให้กับหลิวซื่อ คนของตระกูลฟางที่ชอบถือหางเห็นเข้าก็ค่อย ๆ รู้ว่าหญิงสาวที่มาทีหลังและยังพาเด็กสองคนที่อายุน้อยกว่าคุณหนูเพียงไม่กี่ปีมาด้วย จึงรู้ว่าหลิวซื่อคือคนที่อยู่ในใจของนายท่าน
เดิมทีหลูเหวินซินคิดว่าฟางเจิ้งสิงเป็นคนที่ตามหา ในภายหลังพอได้เห็นว่ายังมีบุตรสาวที่โตแล้วสองคน ก็ไม่รู้จะทำอย่างไร หลายปีที่ผ่านมาจึงรู้ว่าในความคิดของฟางเจิ้งสิง ตัวเองนั้นก็คือหินรองเท้า
ตั้งแต่เป็นเสมียนรวบรวมเอกสารที่ไม่มีแม้แต่ตำแหน่ง ก็ค่อย ๆ ก้าวหน้าในตำแหน่งทีละขั้นจนตอนนี้ได้เป็นขุนนางระดับสอง
ถ้าหากไม่มีการสนับสนุนและคำแนะนำจากตระกูลหลูในปีนั้น ที่ให้เขาเริ่มจากเสมียนรวบรวมเอกสารส่งให้กับกรมพิธีการ จากตำแหน่งเล็ก ๆ ค่อย ๆ เริ่มเติบโตอย่างช้า ๆ ในช่วงสิบกว่าปีที่ผ่านมา ต่อมาก็ยิ่งไต่เต้าขึ้นสู่ความสัมพันธ์กับหมิงอ๋อง ในตอนนี้ตำแหน่งก็มาถึงขั้นสองแล้ว
เมื่อก่อนหากบอกว่าหลูเหวินซินแต่งงานผิดคน ในตอนนี้ก็ไม่มีใครพูดแล้ว
อย่างไรเสียในตอนนี้ฟางเจิ้งสิงก็มีอำนาจที่จะสั่นคลอนในแวดวงขุนนาง ผู้ใดจะกล้าเอ่ยว่าเขาไม่ดีได้แม้แต่ครึ่งคำ
เพียงแต่น่าเสียดายที่การปรากฏตัวของหญิงสาวทั้งสามคนที่ไม่เคยได้พบได้ยินมาก่อน ทำให้ตระกูลฟางที่สงบสุขนั้นวุ่นวายแล้ว
วันของตระกูลฟางนั้นได้เปลี่ยนไปแล้ว