ทะลุมิติไปเป็นสาวนาผู้ร่ำรวย - บทที่ 1469 กลับมาถึงบ้านเดิม
บทที่ 1469 กลับมาถึงบ้านเดิม
“รอเมื่อนางตายไปจริง ๆ แล้ว ข้าก็จะเป็นฮูหยินของตระกูลฟาง พวกเจ้ากับฟางเพ่ยหยานั้นก็เป็นบุตรสาวสายตรงเหมือนกันแล้ว เมื่อถึงเวลานั้น ข้าจะต้องเบิกตากว้าง ๆ และหาลูกเขยที่ดี ๆ สักคนให้พวกเจ้า ไม่ให้พวกเจ้าต้องเป็นเหมือนข้าที่เป็นอนุของคนอื่น อาศัยจมูกคนอื่นหายใจไปตลอดชีวิต” หลิวเนี่ยนโหรวกอดลูกสาวทั้งสองไว้ในอ้อมแขนและพูดอย่างปวดใจว่า “พวกเจ้าเองก็ต้องพยายามเพื่อข้าด้วย คอยประจบหมิงตูจวิ้นจู่ให้ดี ๆ ไม่แน่ว่าเมื่อถึงตอนนั้นนางอาจจะพูดดี ๆ ให้พวกเจ้าได้บ้าง”
ฟางหลานซินและฟางจู๋อวิ๋นต่างก็พยักหน้า “ท่านแม่ ท่านวางใจเถอะ”
ทั้งสองคนสบตากัน ต่างก็เห็นการเฝ้ารอจากสายตาของอีกฝ่าย
ขอแค่ท่านแม่ได้เป็นภรรยาเอก สิ่งที่พวกนางเฝ้าฝันถึงก็อยู่ใกล้เพียงแค่เอื้อมแล้ว
ฟางเพ่ยหยานั้นรูปร่างอย่างกับหมู เพราะนางเป็นบุตรสาวสายตรงของตระกูลฟาง เมื่อออกไปข้างนอก ไม่ว่าใครก็ต้องไว้หน้าให้กับหญิงอ้วนคนนั้น ไม่มีใครกล้าล่วงเกินนาง
กลับกลายเป็นว่าตัวเองหน้าตางดงามมากขนาดนี้ เพียงเพราะเพิ่มคำว่าอนุห้อยท้ายไว้ด้านหลังก็พลิกฟ้าพลิกแผ่นดินให้แตกต่างจากฟางเพ่ยหยาแล้ว
พอคนอื่นได้ยินว่าตัวเองเป็นบุตรสาวของอนุ สายตานั้นก็เปลี่ยนไปทันที สีหน้ารังเกียจราวกับว่าบนร่างของพวกนางทั้งสองนั้นมีอะไรที่เห็นเป็นไม่ได้จนหลีกหนีแทบไม่ทัน
ถ้าหากตัวเองกลายเป็นบุตรสาวสายตรงแล้ว หลังจากนั้น…
บุรุษทั้งหมดในเมืองหลวง ตัวเองนั้นก็สามารถเลือกได้ ผู้ใดก็ตามที่นางชอบก็จะมีโอกาสนั้น
สตรีทั้งหมดในเมืองหลวงที่นางอยากจะผูกมิตร นางก็จะผูกมิตรด้วย ผู้ใดที่นางไม่ชอบก็จะดูถูกเหยียดหยาม ก็เพราะนางเป็นบุตรสาวสายตรง
ส่วนหลิวซื่อเองก็เพ้อฝันเช่นกัน
ทุกวันนี้ตนเองเป็นอนุที่ต้อยต่ำ ผู้ใดก็เข้ามาเหยียบย่ำ แม้แต่มารดาของหลูเหวินซิน ฮูหยินระดับสี่ผู้นั้นเองก็ยังกล้าที่จะมาหัวเราะเยาะตนเอง บอกว่าตนเองนั้นเป็นอนุที่ต้อยต่ำ ถ้าหากตัวเองได้เข้าแทนตำแหน่งของบุตรสาวนางแล้ว ตัวเองนั้นก็จะเป็นฮูหยินของขุนนางระดับสอง แล้วโยนฮูหยินหลูนั้นออกไปทิ้งสองสามช่วงถนน เมื่อถึงเวลานั้นก็มาดูกันว่านางจะยังกล้าหัวเราะเยาะตัวเองและกล่าวโทษตัวเองอยู่อีกหรือไม่
เมื่อคิดว่าก่อนที่หลูเหวินซินจะตายนั้นก็ต้องเห็นกับตาตัวเอง หลังจากที่นางตายแล้ว มารดาของนางก็ยังต้องเห็นกับตาตัวเอง เพียงแค่คิด หลิวเนี่ยนโหรวก็ตื่นเต้นไปทั้งตัวแล้ว
หลูเหวินซิน เจ้าเป็นคุณหนูจากตระกูลขุนนาง ทั้งตระกูลมีภูมิหลังที่สะอาดแล้วอย่างไรเล่า?
โอ้อวดว่าตัวเองเป็นบุตรสาวที่มีชื่อเสียงจากตระกูลดังมาดูถูกข้าแล้วอย่างไร
ไม่ว่าอย่างไรความตายของเจ้าก็ยังอยู่ในกำมือของข้า รอเจ้าตายแล้ว มารดาของเจ้าก็ยังต้องคุกเข่าลงต่อหน้าข้า และยังต้องตะโกนเรียกข้าว่าฮูหยินฟางอีกด้วย
หึ! คนที่เจ้าดูถูกนั้นทำให้เจ้าตายและทุบตีบุตรสาวของเจ้า เมื่อถึงเวลานั้นก็หาใครสักคนที่ไม่คู่ควรให้แก่นาง ทำให้เจ้าไม่ได้อยู่อย่างสงบสุขในนรก
เมื่อคิดถึงตรงนี้ มุมปากของหลิวซื่อก็เหยียดยิ้มออกมาอย่างโหดเหี้ยม จนทำให้คนกลัวจนตัวสั่น
ฮูหยินหลูได้พาหลูเหวินซินและฟางเพ่ยหยากลับไปแล้ว รอหลังจากจัดการที่พักให้เรียบร้อยแล้ว พี่สะใภ้ทั้งสองของตระกูลหลูได้ยินว่าน้องสาวของสามีกลับมาแล้ว ทั้งหมดก็พากันมาเยี่ยม
“ท่านแม่ เหวินซินกลับมาแล้ว” ซ่งจวินหัวเคยเห็นน้องสาวของสามีคนนี้มาก่อน นิสัยนั้นจืดชืดและไม่ชอบพูดคุย แต่ก็เป็นคนดีคนหนึ่ง
เนี่ยอวี่ที่อยู่ข้าง ๆ เป็นสะใภ้ใหม่ที่เพิ่งแต่งเข้ามายังไม่ถึงสองปี จึงเคยเห็นหลูเหวินซินเพียงแค่ครั้งเดียว ตอนนี้ก็ตามซ่งจวินหัวมาดูด้วยอย่างแปลกใจ
“อืม ไม่ได้ปรึกษากับพวกเจ้าไว้ก่อน แต่นี่เป็นเรื่องเร่งด่วน ถ้าหากอาการป่วยของเหวินซินไม่ได้รับการรักษาให้ดี ๆ ก็เกรงว่า…” บุตรสาวเองก็เป็นเลือดเนื้อที่นางคลอดออกมา แม้ว่าหลายปีที่ผ่านมานี้จะไปมาหาสู่กันน้อย แต่เมื่อคิดว่าทุก ๆ วันนั้นบุตรสาวถูกคนอื่นเล่นละครเหมือนลิง ในใจก็รู้สึกขยะแขยงเหมือนกินแมลงวันเข้าไป
“ท่านแม่ ท่านพูดเช่นนี้ได้อย่างไรกัน เดิมทีเหวินซินเองก็เป็นคนของตระกูลหลูอยู่แล้ว นางอยากจะกลับมาเมื่อไรก็กลับมาได้ จะต้องมาบอกอะไรกับพวกข้ากัน” ซ่งจวินหัวได้ยินก็รีบพูดทันทีด้วยสีหน้าที่เป็นกังวล “เกิดอะไรขึ้นกับเหวินซิน”
ฮูหยินหลูได้ยินลูกสะใภ้คนโตกล่าวเช่นนี้ ในใจนั้นก็รู้สึกสบายใจมาก
ในครอบครัวนั้น สิ่งที่สนใจมากที่สุดก็คือความสามัคคีปรองดองกันอย่างมีความสุข หลายปีที่ผ่านมา สิ่งที่นางพอใจที่สุดคือบุตรชายสองคนแต่งงานกับลูกสะใภ้ที่เชื่อฟัง มีความกตัญญู มีเหตุผล และยังมีความคิดเห็นเป็นของตัวเอง ทว่าที่ไม่พอใจมากที่สุดนั่นก็คือ บุตรสาวของตัวเองไปแต่งงานกับฟางเจิ้งสิง
แต่ว่าไม้กลายเป็นเรือไปแล้ว ผ่านมาสิบกว่าปี ไม่ว่าอย่างไรก็สายเกินไปแล้วที่จะเสียใจ
“ใช่แล้วท่านแม่ น้องสามีเป็นอะไรไปหรือ” เนี่ยอวี่เองก็ถามอย่างเป็นห่วง นางเป็นคนใจร้อน แม้ว่าจะพูดคำพูดที่น่าฟังไม่ได้ แต่ก็เป็นคนจิตใจดีและพูดอย่างตรงไปตรงมา
“ไม่มีอะไร ก็แค่สุขภาพไม่ค่อยดี ข้าเลยต้องพามาพักฟื้นที่จวนสักพัก ใต้เท้าฟางเองก็มีธุระ เลยดูแลเหวินซินไม่ได้ ข้าจึงพาเหวินซินกลับมาพักฟื้นสักพักก็จะได้บรรเทาความคิดถึงของข้าในหลายปีที่ผ่านมานี้ลงบ้าง” ฮูหยินหลูไม่ได้พูดความจริงออกไป เรื่องราวที่หนักหนาของเหวินซินในตอนนี้ยังคลุมเคลือ ยิ่งคนรู้น้อยเท่าไรนั้นก็ยิ่งดี
ซ่งจวินหัวและเนี่ยอวี่พยักหน้า เมื่อเห็นท่าทางแม่ของสามีนั้นดูผ่อนคลายจึงคิดว่าเป็นเพียงการป่วยเล็ก ๆ น้อย ๆ เท่านั้น จึงพูดอีกสองสามประโยคเพื่อให้ฮูหยินหลูเบาใจแล้วก็จากไป
เมื่อจัดการเรื่องของมารดาเรียบร้อย หลังจากที่ฟางเพ่ยหยาไปพบกับป้าสะใภ้ทั้งสองคนแล้ว จึงพูดกับฮูหยินหลูใกล้ ๆ
“ท่านยาย เหตุใดวันนี้ท่านจึงมาที่จวนตระกูลฟางเล่า” หลายวันมานี้ฟางเพ่ยหยาอยากจะออกมาส่งจดหมาย แต่ไม่มีทางไหนเลย นอกจากมารดาที่ป่วยหนักแล้ว ผู้ใดก็ไม่สามารถพูดแทนได้
เพราะว่าเป็นเรื่องของมารดา นางไม่มีแม้แต่คนที่สามารถช่วยเหลือได้เลย รวมทั้งบิดาของนางด้วย เกรงว่าแทบจะรอไม่ไหวอยากจะให้มารดาของนางตายไปเสีย
แต่คิดไม่ถึงเลยสักนิดว่าท่านยายจะมาอย่างกะทันหัน และยังพาท่านแม่ออกมาโดยไม่พูดอะไรสักคำอีก ขอแค่อยู่กับท่านยายที่นี่ ร่างกายของท่านแม่จะต้องดีขึ้นอย่างแน่นอน ท่านหมอได้บอกไว้แล้วว่าขอเพียงท่านแม่พักฟื้นร่างกายและทำใจให้สบาย อาการป่วยจะต้องดีขึ้นอย่างแน่นอน
ฟางเพ่ยหยาอยู่ในอ้อมแขนของฮูหยินหลู เป็นครั้งแรกที่รู้สึกว่ามีคนให้พึ่งพิงนั้นมีความสุขมากขนาดไหน
“วันนี้ฮู้กั๋วจวิ้นจู่มาหา” ฮูหยินหลูไม่ได้ปิดบังฟางเพ่ยหยา
ถานอวี้ซูมาที่จวนตระกูลหลูเพื่อพูดคุยเรื่องของตระกูลฟาง แน่นอนว่าย่อมมีความสัมพันธ์ที่ดีกับฟางเพ่ยหยา เมื่อเห็นฟางเพ่ยหยาไม่ได้รับความเป็นธรรมครั้งนี้จึงมาหา
“ถานอวี้ซูมาหรือ” เมื่อได้ยินว่าถานอวี้ซูมา ดวงตาของฟางเพ่ยหยาก็สว่างขึ้นเป็นประกายราวกับส่องแสงได้
“อืม นางบอกว่าวันนี้เป็นวันที่เจ้ากับพวกนางนัดกันไว้หลังเจ็ดวัน แต่ไม่เห็นเจ้ามา นางจึงไปหาเจ้าที่จวนตระกูลฟาง แต่คนในตระกูลฟางกลับไม่ยอมให้นางพบเจ้า และยังบอกว่าเกิดเรื่องขึ้นกับเจ้า ไม่ง่ายเลยที่จะถามใครสักคนได้ สุดท้ายจึงรู้ว่าสุขภาพของมารดาเจ้าไม่ดี จึงเป็นห่วงความปลอดภัยของเจ้าและมารดาของเจ้า อีกทั้งคงจะไม่ดีถ้าหากจะบุกเข้าไปในจวนตระกูลฟาง ดังนั้นแล้วนางจึงมาหาข้า” ฮูหยินหลูลูบมวยผมของฟางเพ่ยหยาด้วยความรักและพูดอย่างเจ็บปวดใจ