ทะลุมิติไปเป็นสาวนาผู้ร่ำรวย - บทที่ 1478 วีรสตรี
บทที่ 1478 วีรสตรี
กู้เสี่ยวอี้ประคองสองแม่ลูกขึ้นและพูดว่า “ไม่ต้องขอบคุณข้า ถ้าต้องการขอบคุณก็ให้ขอบคุณเขา ถ้าไม่ใช่เพราะเขา เกรงว่าข้าก็คงตายไปแล้ว”
ในขณะนี้เจ้าของม้ามาถึงจุดเกิดเหตุแล้ว เขากระโดดขึ้นม้าและจับบังเหียนไว้แน่น เสิ่นเหวินเจวี้ยนก้าวถอยหลัง และในที่สุดม้าก็สงบลงภายใต้การปลอบโยนของเจ้าของ
“ขอบคุณผู้มีพระคุณ ขอบคุณผู้มีพระคุณ” สองแม่ลูกก้าวไปข้างหน้าอีกครั้งเพื่อขอบคุณเสิ่นเหวินเจวี้ยน
เสิ่นเหวินเจวี้ยนปัดฝุ่นที่มือตนเอง การต้านแรงของม้าเมื่อครู่ใช้พลังงานไปมาก ทำให้หน้าของเขาผุดพรายไปด้วยเม็ดเหงื่อ เขาเช็ดหน้าผากด้วยแขนเสื้อและพูดอย่างเฉยเมย “ไม่เป็นไร ถ้าอยากขอบคุณต้องไปขอบคุณแม่นางคนเมื่อครู่ แม่นางคนนั้นปกป้องลูกของท่านด้วยชีวิต นางคือผู้มีพระคุณของท่าน”
หลังจากพูดจบ เขาก็หันกลับมาและเห็นหญิงตัวเล็กที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขา นางสวมชุดสีเหลืองสดใสราวกับดอกไม้ที่กำลังผลิบาน
ในขณะนี้นางกำลังยิ้มและปลอบโยนผู้หญิงคนหนึ่ง และอีกคนหนึ่งซึ่งดูเหมือนสาวใช้
“เอาล่ะ ท่านอา ไม่ต้องกังวล ดูสิ ข้ายังสบายดีอยู่เลย”
“คราวหน้าเจ้าห้ามทำแบบนี้อีก ถ้าเกิดอะไรขึ้นกับเจ้า ข้าจะอธิบายให้พี่สาวของเจ้าฟังอย่างไร” กู้ฟางสี่ปาดน้ำตาอีกครั้ง ตอนนี้หัวใจของนางกำลังเต้นระรัวจนแทบจะกระเด็นออกมาจากอก มันน่ากลัวมากจริง ๆ
“ก็ได้ ๆ ท่านอา คราวหน้าข้าจะไม่ทำอย่างนี้แน่นอน ข้าสัญญา” กู้ฟางสี่ได้ยินเพียงเสียงหัวเราะอันสดใสราวกับเสียงระฆังของเด็กสาวในชุดสีเหลืองอ่อน
รอยยิ้มเบ่งบานราวกับดอกไม้ เมื่อครู่เพิ่งเดินผ่านประตูนรก แต่ไม่รู้สึกกลัวเลยแม้แต่น้อย เหมือนดอกไม้ในฤดูใบไม้ผลิที่สดใส
หัวใจของเสิ่นเหวินเจวี้ยนรู้สึกหวั่นไหว
“แม่นาง” เสิ่นเหวินเจวี้ยนก้าวไปข้างหน้าด้วยรอยยิ้ม “เจ้าไม่เป็นอะไรใช่ไหม”
กู้เสี่ยวอี้หันศีรษะไปตามเสียงก็พบกับชายที่อยู่ตรงหน้า เขามีอายุประมาณสิบเจ็ดสิบแปดปี สวมเสื้อคลุมสีขาวเนื้อดี ปักด้วยลวดลายใบไผ่สีเขียวสวยงาม ผมบนศีรษะถูกมัดขึ้นแล้วปล่อยอีกครึ่งหนึ่งสยายไปด้านหลัง
รูปโฉมงดงามไม่เหมือนคนทั่วไป
และหญิงสาวตรงหน้าเขาแต่งกายด้วยผ้าเนื้อดีสีเหลืองนวล แขนเสื้อสีเหลืองปักด้วยลวดลายกลีบดอกไม้สีขาว และแต่งแต้มด้วยไข่มุกบนศีรษะ ทำให้ใบหน้างดงามของนางขาวยิ่งกว่าหิมะ จมูกเรียวและริมฝีปากสีแดงนั้นงดงามราวกับดอกไม้ฤดูใบไม้ผลิ ซึ่งทำให้ผู้คนรู้สึกมีความสุขเมื่อได้พบเห็น
กู้เสี่ยวอี้มองไปที่เขาด้วยความขอบคุณ จากนั้นโค้งคำนับและตอบกลับด้วยรอยยิ้ม “เมื่อครู่ขอบคุณนายน้อยมาก ถ้าไม่ใช่เพราะนายน้อยที่ช่วยข้าไว้ เกรงว่าทั้งเด็กคนนั้นและข้าย่อมตายอยู่ใต้ร่างของม้า”
เมื่อพูดถึงชีวิตและความตาย แต่ใบหน้ากลับยังเต็มไปด้วยความสดใส ดูเหมือนว่าเสิ่นเหวินเจวี้ยนจะได้รับการแพร่เชื้อ และความทุกข์ในใจของเขาก็มลายหายไปทันที
“เป็นเรื่องดีที่แม่นางไม่เป็นอะไร แม่นางรีบวิ่งไปช่วยเด็กแปลกหน้าโดยไม่คำนึงถึงความปลอดภัยของตัวนางเอง ข้าชื่นชมแม่นางจริง ๆ แต่ข้าอยากจะบอกแม่นางว่า ในอนาคตอย่าทำสิ่งที่อันตรายแบบนั้นอีก มันอันตรายเกินไป” หลังจากเสิ่นเหวินเจวี้ยนพูดจบก็แสดงสีหน้าเป็นกังวล เขาเองก็ไม่รู้ว่าทำไมถึงพูดประโยคสุดท้ายออกมา
กู้เสี่ยวอี้ยิ้มและพยักหน้า “ขอบคุณท่านมากที่เตือนข้า”
แต่ความจริงแล้วนางก็ไม่ได้เห็นด้วยกับความคิดของเขาเท่าไรนัก ข้าจะปฏิเสธที่จะช่วยคนอื่นได้อย่างไรในเมื่อข้าเห็นว่าพวกเขากำลังมีปัญหา?
แม้ว่านางจะไม่สามารถช่วยชีวิตพวกเขาได้ แต่ถ้าเป็นไปได้ นางคิดว่านางจะช่วยอยู่ดี
เสิ่นเหวินเจวี้ยนติดตามพ่อของเขาออกไปข้างนอกเพื่อพูดคุยเรื่องกิจการตั้งแต่เขายังเด็ก เขาได้เจอผู้คนทุกประเภท และบางครั้งเขาก็สามารถบอกได้ว่าอีกฝ่ายกำลังคิดอะไรอยู่เพียงแค่มองผ่าน ๆ แม้ว่าคนที่อยู่ข้างหน้าเขาจะกล่าวขอบคุณสำหรับการเตือน แต่จากในสายตาของเขาที่มองนาง ดูเหมือนว่านางจะไม่เห็นด้วยเลย เสิ่นเหวินเจวี้ยนส่ายหน้าอย่างช่วยไม่ได้ เด็กคนนี้ดื้อรั้นจริง ๆ
ไม่รู้ทำไม แต่รู้สึกโชคดี โชคดีที่เขาผ่านมาทางนี้ ไม่อย่างนั้น…
เขาไม่สามารถแม้แต่จะจินตนาการถึงผลลัพธ์ที่ตามมาได้
เมื่อมองรอยยิ้มที่สดใสนั้น เสิ่นเหวินเจวี้ยนรู้สึกว่าทั้งร่างเต็มไปความรู้สึกแปลกประหลาด
“นายน้อย ท่านไม่เป็นอะไรใช่ไหม” ฉางเซิงวิ่งเข้ามาอย่างรวดเร็วและถามอย่างกระวนกระวายใจ
เมื่อครู่ก็เดินกันอยู่ดี ๆ ไม่รู้ว่าทำไม ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงเคลื่อนไหวบางอย่างที่นี่ นายน้อยรีบวิ่งมาทางนี้ ฉางเซิงจึงรีบวิ่งตามมา บริเวณนั้นเต็มไปด้วยผู้คนเบียดเสียด เขาต้องใช้ความพยายามอย่างมากในการเบียดฝูงชนเข้ามา
ในขณะนี้ ฉางเซิงมองซ้ายและขวาอย่างกระวนกระวายใจ เพราะกลัวว่าจะมีบางอย่างสร้างความอันตรายให้เจ้านายของตน
เมื่อกู้เสี่ยวอี้เห็นใครบางคนเข้ามาใกล้เขา นางไม่ได้พูดอะไรและเพียงทำความเคารพอีกฝ่าย จากนั้นจึงเดินตามกู้ฟางสี่และโค่วตันออกไป
เมื่อเห็นนางหันหลังจากไป เสิ่นเหวินเจวี้ยนอยากจะก้าวเข้าไปหยุดนางเอาไว้ แต่เมื่อคำพูดนั้นกำลังจะออกมาจากปากของเขาก็พลันรู้สึกกระอักกระอ่วน ฉางเซิงดึงเสิ่นเหวินเจวี้ยนไว้เพื่อป้องกันไม่ให้เขาเดินไปไหน ดังนั้นเขาจึงได้แต่เม้มปากและไม่ได้ส่งเสียงอะไรออกมา
หากเขาหยุดนาง อาจจะทำให้นางขุ่นเคืองได้
แต่ถ้าไม่หยุดนาง แม้ว่าเมืองหลวงจะดูเล็ก แต่การตามหาใครสักคนก็เหมือนงมเข็มในมหาสมุทร
เมื่อนึกถึงสิ่งนี้ เสิ่นเหวินเจวี้ยนก็ละสายตาจากแม่นางผู้นั้นมามองที่ฉางเซิงและพูดอย่างกระวนกระวาย “ปล่อยข้าเดี๋ยวนี้!”
เมื่อฉางเซิงไม่เห็นอาการบาดเจ็บใด ๆ บนร่างกายขอเจ้านายจึงปล่อยเขาไป แต่เมื่อเสิ่นเหวินเจวี้ยนเงยหน้าขึ้นอีกครั้ง เขาก็ไม่เห็นแม้แต่เงาของนางแล้ว เพียงชั่วพริบตา หญิงสาวผู้นั้นก็หายไปเสียแล้ว
แต่เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าผู้หญิงคนนั้นเป็นใคร
เมื่อนึกถึงสิ่งนี้ เสิ่นเหวินเจวี้ยนก็ถอนหายใจพลางมองไปยังสถานที่ที่กู้เสี่ยวอี้จากไปอย่างไม่เต็มใจ
ฉางเซิงจะเคยเห็นเสิ่นเหวินเจวี้ยนในสภาพสูญเสียท่าทีตั้งแต่เมื่อไรกัน เขารู้สึกสับสนเล็กน้อย แต่เมื่อเห็นว่าเจ้านายถอนหายใจด้วยความผิดหวังและดูเศร้ามาก เขาจึงอยากจะเอ่ยถามบางอย่าง แต่ก็ไม่รู้จะเริ่มถามจากตรงไหน เลยได้แต่เดินตามไปอย่างเป็นห่วง