ทะลุมิติไปเป็นสาวนาผู้ร่ำรวย - บทที่ 1497 อีหลานเซียง
บทที่ 1497 อีหลานเซียง
ฮูหยินหลูรู้สึกประหลาดใจมาก แต่นางก็ไม่รอช้าและพูดอย่างกระวนกระวาย “ไปเชิญท่านหมอหลวงเข้ามาโดยเร็วที่สุด”
ฮูหยินหลูและลูกสะใภ้ทั้งสองรีบไปที่ห้องโถง เมื่อพวกเขาเห็นหมอหลวง ฮูหยินหลูก็ตกใจมากจนอ้าปากค้าง
หมอหลวงท่านนี้เทียบไม่ได้กับหมอหลวงคนอื่น ๆ หมอหลวงท่านนี้คือ ห่าวเหลียน ซึ่งเป็นหมอหลวงที่รักษาฮ่องเต้ ฮองเฮา และไทเฮา
เขามาที่นี่ได้อย่างไร
ฮูหยินหลูรู้สึกประหลาดใจมาก นางจึงไม่กล้าละเลยอีกฝ่ายเลยแม้แต่น้อย นางรีบก้าวไปข้างหน้าเพื่อทักทายกับหมอหลวงห่าว “ท่านหมอหลวงห่าว”
และเห็นหมอหลวงห่าวทักทายฮูหยินหลู เขากุมสองมือเข้าไว้ด้วยกันและโค้งตัวลงทำความเคารพ ท่าทางเต็มไปด้วยความเคารพอย่างยิ่ง “ฮูหยินหลู”
ฮูหยินหลูรู้สึกประหลาดใจ หมอหลวงห่าวทำให้นางตะลึงเมื่อเขามาที่บ้านของตระกูลหลู และตอนนี้นางรู้สึกประหลาดใจมากยิ่งขึ้นที่ท่านหมอหลวงห่าวทำความความเคารพนาง
“หมอหลวงห่าว ท่าน ท่าน…” แม้แต่ฮูหยินหลูที่ได้เห็นโลกมามากก็ตกใจเล็กน้อยเมื่อเผชิญหน้ากับคนโปรดของจักรพรรดิ
“ข้าได้ยินมาว่าฮูหยินฟางล้มป่วย ข้าจึงมาที่นี่เพื่อทำการรักษานาง” หมอหลวงห่าวยื่นมืออีกครั้งด้วยใบหน้าที่จริงจังและสง่างาม ฮูหยินหลูไม่รู้จะพูดอย่างไร
ทำไมเขาถึงรู้ว่าเหวินซินป่วย?
ฟางเจิ้งสิงส่งคนมาที่นี่หรือ
เป็นไปไม่ได้
เหวินซินอยู่ที่นี่มากว่าสิบวันแล้ว และไม่เคยเห็นฟางเจิ้งสิงมาเยี่ยมเหวินซินเลยสักครั้ง นับประสาอะไรกับการเชิญหมอหลวงมารักษาเหวินซิน
ตอนนี้อาการของเหวินซินแย่ลงเรื่อย ๆ เกรงว่าเขาจะมีความสุขที่เห็นภรรยาของตนเองเป็นเช่นนี้
หากไม่ใช่ฟางเจิ้งสิง อย่างนั้นก็เป็นนายท่าน
ฮูหยินหลูรู้สึกกระวนกระวายใจเล็กน้อย แต่ตอนนี้หมอหลวงห่าวอยู่ที่นี่แล้ว มันไม่ใช่เวลาที่จะต้องกังวล นางรีบยื่นมือออกไปด้วยความเคารพและพูดว่า “หมอหลวงห่าว ได้โปรดเชิญทางนี้”
เราไม่สนใจเรื่องอื่นก่อน เรามาพูดถึงอาการป่วยของลูกสาวข้าก่อน
ห่าวเหลียนเดินตามฮูหยินหลูไปที่ห้องของฮูหยินฟาง
ทันทีที่เขาเหยียบย่างเข้าไปประตูก็ได้กลิ่นคาวเลือดลอยคละคลุ้ง ยิ่งเดินเข้าไป กลิ่นเลือดก็ปะปนกับกลิ่นอื่น ๆ จนห่าวเหลียนขมวดคิ้ว
เมื่อเห็นฮูหยินฟางมีใบหน้าซีดเซียวและไม่มีชีวิตชีวานอนไร้เรี่ยวแรงอยู่บนเตียง ห่าวเหลียนก็ยื่นมือออกทันที และเจ้าหน้าที่ที่ติดตามเขามาก็มอบกล่องยาให้ทันที
เมื่อเห็นสิ่งนี้ ฮูหยินหลูจึงถอยหลังไปและยืนอยู่ข้าง ๆ อย่างกระวนกระวาย ตามด้วยซ่งจวินหัวและเนี่ยอวี่ซึ่งเฝ้าดูอย่างประหม่า
สาวใช้และคนรับใช้คนอื่น ๆ ลงไปกันหมด ยกเว้นพี่เลี้ยง ทั้งห้องเงียบสนิทและดูเหมือนว่าพวกเขาจะได้ยินเสียงหายใจของกันและกัน
ไม่รู้ว่าต้องใช้เวลานานแค่ไหนก่อนที่หมอหลวงห่าวจะวางมือที่ผอมราวกับกระดูกของหลูเหวินซินกลับไป ตอนนี้เขาเอาแต่ขมวดคิ้วไม่พูดไม่จา แต่ยืนขึ้นและเดินไปรอบ ๆ บ้านราวกับกำลังมองหาอะไร
ฮูหยินหลูรู้สึกวิตกเล็กน้อย “หมอหลวงห่าว ท่านกำลัง…”
ท่านหมอหลวงห่าวกล่าวว่า “ดูเหมือนว่าจะมีกลิ่นหอมของบางสิ่งอยู่ในห้อง”
เขาไม่เคยได้กลิ่นนี้มาก่อน มันหอมมากและดูเหมือนไม่มีอะไร
“นั่นคือธูปหอมอีหลานเซียง*[1]” ฮูหยินหลูเอ่ยขึ้น “เหวินซินมักจะนอนไม่หลับตอนกลางคืน หมอจึงสั่งให้นางเผามันไว้ในห้องหลายปีแล้ว”
ตั้งแต่ฟางเจิ้งสิงพาหลิวซื่อไปที่บ้าน ฟางเหวินซินก็ฝันร้ายทุกคืนและนอนไม่หลับ
ต่อมาตัวเองจึงพาท่านหมอเฉิงไปตรวจ แล้วให้ยาปรับลมหายใจที่หมอเฉิงเตรียมไว้ให้และใช้มากว่าสิบปี
“ขอข้าดูหน่อยได้ไหม” หมอหลวงห่าวมีสีหน้าสงสัย ซึ่งทำให้หัวใจของฮูหยินหลูเต้นไม่เป็นจังหวะ “พวกเจ้าไปนำอีหลานเซียงมาที่นี่เร็ว”
ขณะที่คนรับใช้ไปนำของมา ฮูหยินหลูก็ถามว่า “หมอหลวงห่าว เครื่องหอมนี้มีอะไรผิดปกติหรือ?”
“ข้าแค่สงสัย” หมอหลวงห่าวลูบเคราของเขาและพูดว่า “ฮูหยินฟางได้รับยาชนิดนี้เข้าสู่ร่างกายมาหลายปีแล้ว ยาชนิดนี้มีพิษ แม้ว่ามันอาจจะไม่สามารถคร่าชีวิต แต่ถ้าเป็นเช่นนี้ร่างกายทั้งหมดจะจมอยู่กับสรรพคุณของยาเสมอ ถ้าเป็นคนป่วย ยาก็รักษาโรคได้ แต่ถ้าเป็นคนแข็งแรง เมื่อรับยาชนิดนี้นาน ๆ เกรงร่างกายจะทนไม่ไหว”
“ยา?” ฮูหยินหลูถามด้วยความประหลาดใจ “ท่านหมอจะบอกว่ามันคือยาพิษหรือ”
“ก็ไม่ผิด มันคือยา แต่ก็เป็นพิษด้วย” หมอหลวงห่าวเหลียนพูดอย่างมีความหมาย “ยานี้สะสมอยู่ในร่างกายซึ่งจะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงกับร่างกาย ยิ่งกว่านั้น นอกจากนี้หากใช้ยาอื่นร่วมด้วย ฤทธิ์ยาจะตีกันและสามารถคร่าชีวิตผู้คนได้”
หลังจากท่านหมอหลวงห่าวเหลียนพูดจบ ฮูหยินหลูก็อ้าปากค้างด้วยความตกใจ
หมอหลวงห่าวหมายถึงอะไร ในขณะที่นางกำลังจะถาม คนรับใช้ก็นำอีหลานเซียงมา
หมอหลวงห่าวเหลียนหยิบเครื่องหอมขึ้นมา เขามองดูมันอย่างละเอียดก่อนจะยกมันขึ้นดม จากนั้นก็จุดไฟ เมื่อมันถูกหลอมระเหยจนได้กลิ่นหอมและชิมรสของมัน คิ้วของเขาก็ขมวดเข้าหากันขึ้นเรื่อย ๆ
ฮูหยินหลูเห็นเช่นนั้นก็ตกตะลึง
นางเอาแต่คิดอย่างบ้าคลั่งอยู่ในใจ
อย่างไรก็ตาม คิ้วของนางมีรอยยับย่นลึกมากขึ้นเช่นเดียวกับท่านหมอหลวงห่าวเหลียน และการแสดงออกของเขาก็จริงจังมากขึ้นเรื่อย ๆ
ในที่สุด หมอหลวงห่าวเหลียนก็วางอีหลานเซียงในมือลง พลางถอนหายใจและพูดว่า “ในที่สุดก็พบสารก่อโรค”
“หมอหลวงห่าว…” ฮูหยินหลูตัวสั่นเล็กน้อยเพราะนางเป็นคนพาท่านหมอเฉิงไปรักษาลูกสาว
หมอหลวงห่าวเหลียนกล่าวว่า “พิษในร่างกายของฮูหยินฟางเป็นพิษที่สะสมอยู่ในร่างกาย หลังจากที่ยาทั้งสองทำปฏิกิริยากันในร่างกายเป็นเวลานาน ตอนนี้ข้าพบเพียงยาชนิดหนึ่งและยังเหลืออีกชนิดหนึ่ง ข้าเองก็ต้องตรวจสอบอย่างระมัดระวัง ต่อไปเมื่อค้นหาส่วนผสมของยาทั้งสองชนิดได้ ข้าก็สามารถสั่งยาที่เหมาะสมและช่วยชีวิตฮูหยินฟางได้”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ ดวงตาของฮูหยินหลูก็เป็นประกาย “ท่านหมอหลวงห่าวหมายความว่าอย่างไร เหวินซินของข้ายังมีทางรอดหรือ”
แม้ว่านางจะเป็นฮูหยินฟาง แต่ในสายตาของฮูหยินหลู นางยังคงเป็นเหวินซินตัวน้อยของนาง
เมื่อเห็นฮูหยินหลูเรียกฮูหยินฟางเช่นนั้น สีหน้าของหมอหลวงห่าวเหลียนก็อบอุ่นขึ้นและเขาก็พยักหน้า “ข้ามาที่นี่เพื่อรักษาฮูหยินฟาง”
บทเรียนครั้งนี้ทำให้ฮูหยินหลูจัดแจงทำความสะอาดทุกสิ่งที่หลูเหวินซินจะสัมผัส แม้แต่อาหารที่เหลือจากไม่กี่วันที่ผ่านมา และส่งมอบทั้งหมดให้กับหมอหลวงห่าวเหลียน
หมอหลวงห่าวเหลียนและเจ้าหน้าที่ที่พาเข้ามาตรวจสอบอาหารและการบริโภคอย่างระมัดระวังในลานบ้านและไม่ละเลยสิ่งใด
*[1] ดอกกระดังงา