ทะลุมิติไปเป็นสาวนาผู้ร่ำรวย - บทที่ 1505 ทำให้เกิดความขัดแย้ง
บทที่ 1505 ทำให้เกิดความขัดแย้ง
ฮูหยินหลูได้ฟังเช่นนั้น แววตาของนางได้เปลี่ยนไปทันที และกลายเป็นกังวลใจอย่างมาก “มีอะไร” และเตรียมหมุนกายของไปในห้อง แต่ฟางเพ่ยหยารีบหยิกแขนของอีกฝ่ายเบา ๆ ฮูหยินหลูจึงหันกลับไปมองฟางเพ่ยหยาที่กำลังเศร้าสร้อย
ฟางเพ่ยหยาดูเหมือนจะไม่อยากให้นางเข้าไป ฮูหยินหลูก็ทำได้แต่คิด ปากเอาแต่พูดว่าเสียใจ แต่ร่างกายกลับไม่ขยับเขยื้อน
ฟางเจิ้งสิงเดิมทีไม่พอใจที่ฟางเพ่ยหยาเห็นตนเองแล้วแต่ทำเหมือนไม่เห็น ก็เตรียมที่จะเอ่ยตำหนิ แต่เมื่อได้ยินประโยคนี้ ท่าทางโกรธเคืองก็แปรเปลี่ยนเป็นความกังวลทันที “ว่าอย่างไรนะ เหวินซินป่วยหนักขนาดนี้ รีบพาข้าไปดูเร็ว ๆ เข้า”
ฟางเจิ้งสิงอยากเข้าไป ดังนั้นฟางเพ่ยหยาจึงพาพวกเขาเข้าไป
ในห้องไม่มีอากาศถ่ายเท และเพื่อไม่ให้กระทบต่อการพักผ่อนของหลู่เหวินซิน ผ้าม่านทั้งหมดจึงถูกดึงลงมาเพื่อบังแสงแดดด้านนอก
ทันใดนั้น เมื่อทุกคนเดินเข้ามาในห้อง แต่แล้วฟางเจิ้งสิงและหลิวซื่อก็ต้องขมวดคิ้วเมื่อได้กลิ่นเลือด
ใบหน้าของหลิวซื่อฉายความกังวลอย่างเห็นได้ชัด หากแต่ภายในแววตากลับเต็มไปด้วยสุข และไม่อาจพลาดสายตาของฟาางเพ่ยหยาไปได้
“ท่านแม่ของข้าเพิ่งอาเจียนเป็นเลือดและเพิ่งหลับไป พวกท่านอย่าเข้าไปรบกวนนางเลย ปล่อยให้นางพักผ่อนเถอะ” เมื่อเดินไปถึงที่ม่านกั้น ฟางเพ่ยหยาจึงหยุดลงตรงนั้น
เดิมที่ฟางเจิ้งสิงและหลิวซื่อก็ไม่อยากเห็นอีกฝ่ายอยู่แล้ว ร่างนั้นมีแต่กลิ่นยากลิ่นเลือดของคนที่กำลังจะตาย มีอะไรให้น่าดูกัน จึงหยุดอยู่แค่นั้น
ดังนั้นฟางเจิ้งสิงจึงหันกลับมาแล้วพูดว่า “ท่านแม่ยาย ข้าต้องการพาเหวินซินกลับบ้านตระกูลฟาง”
ฟางสิงเจิ้งยังไม่ได้เจอหลูเหวินซิน แต่ก็ไม่ได้ขอพบเหวินซินเลย ฮูหยินหลูจึงไม่พอใจมาก
จู่ ๆ เมื่อเห็นเขาบอกว่าต้องการพาหลูเหวินซินกลับไป ความโกรธก็ทวีเพิ่มมากขึ้น
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าคนคนนี้จะเป็นลูกเขยของนาง แต่คนคนนี้เป็นขุนนางระดับสูง มีตำแหน่งสูงกว่าสามีนางอยู่มาก
หลังจากนั้นคนที่มีตำแหน่งสูงผู้นี้ก็ไม่เคยเห็นตระกลูหลูอยู่ในสายตา ไปเลี้ยงดูนางบำเรอตัวน้อยข้างนอก หลังจากที่หลอกลวงความรู้สึกของหลูเหวินซิน ฮูหยินหลูนั้นรู้ คนที่ดูดีแต่ภายนอกคนนี้ แต่ภายในนั้นแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
ฮูหยินหลูนั้นรู้ว่าไม่สามารถโกรธเคืองคนที่อยู่ตรงหน้าได้ แต่คนที่นอนอยู่ข้างในคือลูกสาวของนาง เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของนาง
แต่งงานกับคนเนรคุณเช่นนี้ นางจะไม่โกรธ ไม่เสียใจ หรือไม่รู้สึกผิดต่อลูกสาวได้อย่างไร
“เจิ้งสิง เจ้ายังเป็นลูกเขยของข้า ข้ายังกล้าเรียกชื่อเจ้า” ฮูหยินหลูพูดอย่างจริงจัง สายตาของนางเต็มไปด้วยความขุ่นเคือง “เหวินซินกำลังจะไม่ไหวแล้ว ทำไมเจ้ายังอยากให้นางกลับไปถูกรังแกอีก เจ้าอยากให้นางจากไปอย่างไม่สงบหรือ”
“นางเป็นนายหญิงของตระกูลฟาง ใครจะกล้ารังแกนางกัน” ฟางเจิ้งสิงจ้องมองด้วยความโกรธแล้วพูดว่า “ท่านแม่ยาย เหวินซินเป็นนายหญิงของตระกลูฟาง ทั้งยังเป็นจ้าวหมิงฮูหยิน ฐานะเช่นนี้ ใครจะกล้าข่มเหงรังแกนาง”
“ใช่ ท่านแม่เป็นนายหญิงของตระกูลฟาง แต่ตระกูลฟางขึ้น ๆ ลง ๆ วนเวียนอยู่กับแม่ลูกหลิวซื่อ ใครจะถือว่านางเป็นนายหญิงของตระกูลฟาง”
ท่านแม่เป็นจ้าวหมิงฮูหยิน ไม่ผิดแต่อย่างใด แต่ในเมืองหลวงนี้ จะมีใครคิดว่านางเป็นมารดาผู้สูงส่ง
ท่านแม่เพียงแค่เดินออกไปด้านนอก ยอมรับการคำนับของคนพวกนั้นก็ถูกเหน็บแนมและทำให้ขายหน้าอย่างเงียบ ๆ
จ้าวหมิงฮูหยินอันดับหนึ่ง จริง ๆ แล้วแม้แต่สามีของตนเองก็ไม่ดูให้ดี ทั้งยังมีบ้านเล็กบ้านน้อยข้างนอก ทั้งยังมีลูกอายุไล่เลี่ยกัน
คนในเมืองหลวงนี้ นับถือชีวิตที่แสนโชคดีของหลูเหวินซิน ใครเล่าจะเคยคับแค้นแทนนางบ้าง
ทำเพียงแค่พูดว่านางไร้ประโยชน์ ควบคุมผู้ชายไม่ได้ มีใครพูดว่านางทุกข์ ถูกคนใช้พูดเหน็บแนมว่าช่วยฟางเจิ้งสิงให้มีหน้าที่การงานก้าวหน้า
นอกจากจะพูดว่านางไร้ค่าแล้ว แต่ละคำล้วนพูดเหน็บแนมว่าชีวิตนางโชคดี แต่งงานกับสามีที่มีอนาคตที่ดีขนาดนั้น จากขุนนางระดับสี่ กลายมาเป็นถึงจ้าวหมิงฮูหยิน ชื่อเสียงเช่นนี้ ทั่วทั้งเมืองหลวงจะมีสักกี่คน
ฟางเพ่ยหยามองคนที่ตนเองเรียกว่าพ่อด้วยสายตาเย็นชา บางทีเขาอาจไม่เคยรักนางตั้งแต่แรก ไม่เช่นนั้น นางคงไม่มีน้องสาวที่อายุน้อยกว่านางแค่ปีเดียว ฟางเพ่ยหยามองฟางเจิ้งสิงอย่างเย็นชา มองหน้าตาที่ใสซื่อของเขา ในใจรู้สึกไม่ยอมแทนผู้แม่ของนาง “ท่านพ่อ มีคนกำลังจะทำร้ายท่านแม่ หากให้ท่านแม่อยู่ที่นี่ในช่วงสุดท้ายของชีวิต เช่นนี้ไม่ดีกว่าหรือ”
“มีคนจะทำร้ายแม่ของเจ้า?” ฟางเจิ้งสิงขมวดคิ้ว “ใครเป็นคนบอกเจ้ากัน แม่ของเจ้าเดิมทีสุขภาพไม่ดีมาตลอด ตั้งแต่เจ้าเกิดมาชีวิตก็แย่ลง”
“ท่านพ่อหมายความว่าอย่างไร อาการป่วยของท่านแม่เป็นเรื่องปกติงั้นรึ” ฟางเพ่ยหยากัดริมฝีปากแน่นและแทบจะร้องไห้ออกมา “ท่านแม่อายุเพิ่งจะอายุสามสิบปี นางยังคงอายุน้อย หมอบอกว่านางป่วยหนักขนาดนั้นได้อย่างไร ท่านแม่ถูกคนวางยาพิษจึงกลายเป็นเช่นนี้” ฟางเพ่ยหยาพูดด้วยความโกรธอย่างบ้าคลั่ง
ใบหน้าของฟางเจิ้งสิงเปลี่ยนเป็นสีดำ “เจ้าอย่ามาพูดไร้สาระ ข้าเสาะหาหมอมามากมายก็เพื่อให้มารักษาแม่ของเจ้า เสื้อผ้าอาหารของใช้ก็ดูหมดแล้ว ไม่มียาพิษแม้สักนิด”
ฟางเจิ้งสิงพูดอย่างเดือดดาล “ไม่มียาพิษ แล้วจะถูกวางยาพิษอย่างที่เจ้าว่าได้อย่างไร ถ้าอย่างนั้นพิษอะไร ใครเป็นคนวาง”
ฟางเพ่ยหยาเห็นฟางเจิ้งสิงพยายามปกป้องหลิวซื่อทุกทาง นางจึงมองหลิวซื่อที่อยู่ข้างหลังด้วยความโกรธแค้นในดวงตาอย่างชัดเจน
ฟางเจิ้งสิงเห็นแล้วจึงกันหลิวซื่อไว้ด้านหลัง “เพ่ยหยา เจ้ามองป้าหลิวของเจ้าเช่นนี้ได้อย่างไร เจ้าสงสัยป้าหลิวของเจ้าหรือ”
ฟางเพ่ยหยาตะคอกอย่างเย็นชา “ในบรรดาคนที่อยู่ที่นี่ นอกจากนางที่ต้องการให้ท่านแม่ของข้าตายแล้ว ยังมีใครอีกบ้างที่อยากให้ท่านแม่ของข้าตาย ท่านแม่ของข้าทั้งอ่อนโยนทั้งใจดี แต่ไหนแต่ไรมาไม่เคยทำร้ายไม่เคยลงโทษใคร ใจดีมีเมตตามาตลอด แต่ผู้หญิงคนนี้ภายนอกดูใจดีมีเมตตา แต่จิตใจของนางจริง ๆ เป็นคนใจดำอำมหิต ล้วนเป็นนาง เป็นนางแน่ เป็นนางแน่นอนที่ทำร้ายแม่ข้า”
ฟางเพ่ยหยาเกรี้ยวกราด ยื่นมือไปข้างหน้าหมายจะฉีกทึ้งหลิวซื่อเป็นชิ้น ๆ
หลิวซื่อมีท่าทีตกใจ ยืนอยู่ข้างหลังฟางเจิ้งสิง ไม่รู้ว่าไม่ได้ตั้งใจหลบ หรือตกใจจนแทบขยับเท้าไม่ได้ นางได้แต่อ้าปากกว้าง มองฟางเพ่ยหยาที่พุงเข้ามาด้วยใบหน้าซีดเผือดจนไม่รู้ว่าควรทำอย่างไร
“หยุดสร้างความวุ่นวายเถอะฟางเพ่ยหยา” ฟางสิงเจิ้งคว้าฟางเพ่ยหยาที่กำลังจะพุ่งเข้ามา จับมือของนางไว้ แล้วพูดด้วยความโกรธว่า “เพ่ยหยา นางเป็นญาติผู้ใหญ่ เจ้าไม่เคารพนางเช่นนี้ได้อย่างไร”
“เหอะ ญาติผู้ใหญ่หรือ นางเป็นญาติผู้ใหญ่อะไรของข้า ข้าเป็นลูกสาวตระกูลฟาง ไม่ใช่ว่านางเป็นเมียน้อยท่านพ่อหรอกหรือ ส่วนข้าเป็นคุณหนูใหญ่ นางก็เป็นแค่คนรับใช้ชั้นต่ำของตระกลูฟ่าง” ฟางเพ่ยหยาตะโกน
ทันใดนั้นก็เห็นใบหน้าของหลิวซื่อซีดลง
สายตาที่ทั้งตกใจและคับข้องใจคู่หนึ่งมองไปยังฟางเพ่ยหยาที่กำลังบ้าคลั่ง นางดึงฟางเจิ้งสิงอย่างเจ็บปวด สีหน้าตกใจและคับข้องใจ “สามี”