ทะลุมิติไปเป็นสาวนาผู้ร่ำรวย - บทที่ 1507 ไม่ถูกควบคุม
บทที่ 1507 ไม่ถูกควบคุม
“เพ่ยหยา ในที่สุดเจ้าก็เป็นผู้ใหญ่แล้ว แม่ของเจ้าต้องรู้ว่าวันนี้เจ้าทำเพื่อนาง นางต้องดีใจมากแน่ ๆ” ฮูหยินหลูพูดอย่างปลงใจ
ฟางเพ่ยหยาไม่ได้พูดอะไร และทำเพียงขยับเข้าไปในอ้อมกอดของฮูหยินหลูเหมือนกับเด็กที่ว่านอนสอนง่าย ในดวงตามีเพียงสายตาเย็นเยือกที่ทำให้ผู้คนรู้สึกหวาดกลัว
วันนั้นท่านพี่เคยบอกว่าฟางเจิ้งสิงจะมาเยี่ยมท่านแม่แน่นอน ไม่แน่ว่าอาจจะพาท่านแม่กลับไป และท่านพี่ก็เดาถูกทุกอย่าง
เพราะการสังเกตนี้ ฟางเพ่ยหยาจึงคิดอยู่หลายวัน และสุดท้ายจึงคิดหาวิธีได้คือ ดูหมิ่นหลิวซื่อต่อหน้าท่านพ่อ ทำให้เขาโกรธ โกรธจนสุดท้ายก็ทุบตีนาง
เพียงแค่ทุบตีนางต่อหน้าท่านยาย หากฟางเจิ้งสิงยังคิดจะพาท่านแม่กลับไปอีก อย่าว่าแต่นางที่ไม่เห็นด้วย แม้แต่ท่านยายก็ต้องไม่เห็นด้วย
อันที่จริงถ้าหากไม่มีความขัดแย้งเช่นนี้ ท่านยายในฐานะครอบครัวของเราต้องขัดขวางไม่ให้ฟางเจิ้งสิงพาตัวท่านแม่กลับไปแน่นอน
ใบหน้าของฟางเจิ้งสิงเต็มไปด้วยความโกรธ เขารีบเดินออกไปจากบ้านตระกลูหลูแล้วตรงไปขึ้นรถม้าของตนเองทันที
หลิวซื่อจึงรีบเดินตามหลังออกไปติด ๆ ยามใดที่นางเห็นสามีของนางโกรธเช่นนี้ ความโกรธของเขาก็ราวกับจะกินคนได้เช่นนั้นกัน
เมื่อมาถึงหน้ารถม้า หลิวซื่อจับโครงรถม้าแล้วปีนขึ้นไป คนที่บอบบางเช่นนี้ เคยอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบากเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อใดกัน
หลังจากตะเกียกตะกายและคลานขึ้นมาบนรถม้าสำเร็จ นางก็เห็นฟางเจิ้งสิงที่หน้าดำหน้าแดงนั่งอยู่ตรงนั้นอย่างไม่ขยับแม้สักนิด สายตาเอาแต่จ้องมองไปที่ม่านรถม้าตลอดเวลา
“นายท่าน”
หลิวซื่อปีนเข้ามาและหยุดลงข้าง ๆ ฟางเจิ้งสิง ก่อนจะร้องไห้ออกมาอย่างน้อยใจ “ท่านเป็นอะไร เหตุใดจึงเดินเร็วเช่นนี้ ไม่รอโหรวเอ๋อร์ได้อย่างไร”
ฟางเจิ้งสิงที่หน้าดำหน้าดำคร่ำเครียดหาได้สนใจหลิวซื่อ และเพียงสั่งให้รถม้าออกตัว
หลิวซื่อยังไม่ทันนั่งให้ดี คนคุมรถม้าส่งเสียงดัง จากนั้นรถม้าก็แล่นออกไปทันที หลิวซื่อซึ่งยังทรงตัวไม่ดีพลันยื่นมือไปจับไหล่ของฟางเจิ้งสิงอย่างลนลาน ดึงขยับเข้าไปใกล้เขา แรงดึงรั้งของหลิวซื่อทำให้ฟางเจิ้งสิงถูกดึงไปข้างหลัง
ฟางเจิ้งสิงถูกดึงเช่นนั้นจนเสื้อบนไหล่ถูกดึงลงมา ทำให้เสื้อผ้าของเขายับยู่ยี่ไปหมด
ใบหน้าของฟางเจิ้งสิงมีสีหน้าไม่พอใจยิ่งขึ้น เขามองหลิวซื่อด้วยสายตาที่ไม่พอใจ หลิวซื่อเห็นฟางเจิ้งสิงมองนางด้วยสายตาเช่นนี้ นางก็อดไม่ได้ที่จะตัวสั่น
นางไม่สนใจสถานการณ์ที่อันตรายหากล้มลงไปเช่นนี้เลย และมองไปที่ฟางเจิ้งสิงอย่างยากจะเชื่อ พลางเอ่ยถามว่า “นายท่าน ท่านเป็นอะไรไป”
ฟางเจิ้งสิงจ้องมองนางพลางส่งสียงฮึดฮัดออกมา ก่อนจะเบือนหน้าหนีและไม่มองหลิวซื่ออีก
นางตะเกียกตะกายปีนขึ้นไปข้าง ๆ ฟางเจิ้งสิง มือคว้าแขนเสื้อของฟางเจิ้งสิงไว้และพูดเบา ๆ อย่างน้อยใจว่า “นายท่าน ท่านเป็นอะไรไป โหรวเอ๋อร์ทำอะไรผิดไปหรือเจ้าคะ?”
ดวงตาที่สดใสของหลิวซื่อซ่อนความน้อยใจและความเศร้าเอาไม่มิด ทำให้ฟางเจิ้งสิงอดที่จะมองไม่ได้
เกิดอะไรขึ้นกับฟางเจิ้งสิง
ทำไมเขาถึงมองนางด้วยสายตาเย็นชาเช่นนี้
หลิวซื่อกลัวจนแทบจะหยุดหายใจ
แต่ไหนแต่ไรมา นางเป็นคนที่นายท่านรักและเอ็นดูมาตลอด แต่วันนี้นายท่านกลับมองตนเองด้วยสายตาเช่นนี้
หลิวซื่อดึงแขนเสื้อของฟางเจิ้งสิง และมองเขาด้วยสายตาที่น้อยอกน้อยใจ
ฟางเจิ้งสิงต้องการดึงแขนเสื้อกลับ ทว่าดึงอยู่สองครั้งก็ไม่สามารถหลุดจากการกอบกุมได้ หลิวซื่อจับเขาไว้แน่น สายตามองไปที่ฟางเจิ้งสิงอย่างลึกซึ้งจนอดที่จะรู้สึกเวทนาไม่ได้
ฟางเจิ้งสิงชำเลืองมองหลิวซื่อแวบหนึ่ง สายตาที่มองมาอย่างลึกซึ้งและน้อยใจเช่นนี้ยิ่งทำให้เขารู้สึกหงุดหงิด
ฟางเพ่ยหยาเป็นลูกสาวคนโตของเขา เขาตบหน้าลูกสาวคนโตเพียงเพื่อรักษาหน้านางบำเรอคนนี้ได้อย่างไร
ฟางเจิ้งสิงได้แต่คิดไม่ถึงจริง ๆ
ยามที่เขาอยู่ในบ้าน เขารักและเอ็นดูหลิวเนี่ยนโหรว นั่นก็เป็นเรื่องราวภายในบ้านของตนเอง แม้จะเกลียดหลูเหวินซินและฟางเพ่ยหยาอย่างไร แต่นั่นก็ล้วนเป็นเรื่องราวภายในครอบครัว
แต่วันนี้ไม่ใช่เรื่องภายในบ้านอีกแล้ว เพราะว่านั่นคือตระกูลหลู
เป็นเรื่องในครอบบครัวของหลูหวินซิน
เมื่อครู่เขาควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่ได้จนตบหน้าฟางเพ่ยหยาไปแล้วจริง ๆ
เขารู้สึกว่ามันช่างแปลกจริง ๆ
ฟางเพ่ยหยาเป็นคนที่อ่อนแอมาโดยตลอด ตามปกติแล้วที่นางโกรธหลิวเนี่ยนโหรวก็มักจะนิ่งเงียบไม่พูดอะไร และเคยมีท่าทีเหมือนอย่างวันนี้เสียที่ไหน ทว่าวันนี้นางกลับเอ่ยวาจาดูถูกหลิวซื่อต่อหน้าผู้คนมากมายเช่นนั้น
ไม่ว่าจะคิดอย่างไร วันนี้ฟางเพ่ยหยาก็จงใจยั่วยุให้เขาทำร้ายนาง
ฟางเจิ้งสิงคิดว่ามันอาจเป็นไปได้ พอคิดอีกทีก็อาจจะเป็นไปไม่ได้
ฟางเพ่ยหยาไม่ใช่คนเจ้าแผนการ นางเป็นคนไร้เดียงสามาตลอด ถ้าไม่อย่างนั้น นางคงไม่ถูกหลิวซื่อและลูกรังแกเช่นนั้น
ตกลงแล้วมันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่
ฟางเจิ้งสิงรู้สึกรำคาญเล็กน้อย เป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกว่าลูกที่เชื่อฟังคนนี้ปล่อยให้เขาทุบตี ลูกสาวคนนี้เปลี่ยนไปได้อย่างไร เขาไม่สามารถควบคุมนางได้แม้แต่น้อย
เมื่อได้ยินเสียงหลิวซื่อร้องไห้ ฟางเจิ้งสิงจึงมองหลิวซื่อด้วยสายตาเฉยเมย เขารู้ดีอยู่แก่ใจ ปกติตนคงจะรักใคร่เอ็นดูหลิวซื่อเกินไปจนทำให้นางได้ใจ
อาการเช่นนี้ของนางมาได้อย่างไร
ฟางเจิ้งดึงแขนเสื้อออกด้วยสีหน้านิ่งเรียบ จากนั้นเอื้อมมือไปกอดหลิวซือที่ร้องไห้อยู่ในอ้อมแขน “เอาล่ะ ๆ ที่รัก อย่าร้องไห้ อย่าร้องไห้เลย”
“นายท่าน ท่านทำให้ข้าตกใจแทบตายรู้หรือไม่” หลิวซื่อมองไม่เห็นสายตาที่เอือมระอาของฟางเจิ้งสิงเมื่อครู่ แต่เมื่อนางเห็นฟางเจิ้งสิงกอดนางไว้ในอ้อมแขนอีกครั้ง ก้อนหินที่หนักอึ้งในใจก็ถูกวางลง
นางเอนกายอยู่ในอ้อมแขนของฟางเจิ้งสิงราวกับลูกสุนัขที่น้อยใจ นางกอดฟางเจิ้งสิงไว้แน่น สะอื้นไห้เงียบ ๆ และหยาดน้ำตาที่หยดลงบนหลังมือของฟางเจิ้งสิงก็ยิ่งทำให้ฟางเจิ้งสิงรู้สึกเอือมระอา
เขาไม่รู้ว่าเขาควรปฏิบัติต่อหลิวซื่ออย่างไร จึงใช้มือลูบที่หลังของหลิวซื่อไม่หยุดและพูดปลอบนางตลอด สายตาเยือกเย็นของฟางเจิ้งสิงที่ทำให้ผู้คนรู้สึกหวาดกลัวฉายชัดออกมาในขณะที่หลิวซื่อมองไม่เห็น
“นายท่าน เมื่อครู่ทำไมท่านถึงไม่พาท่านพี่กลับมาด้วย” หลิวซื่อร้องไห้สะอื้นจนยากที่จะหยุด
“เมื่อครู่มันเป็นเพราะเจ้า ข้าทำให้ตระกูลหลูขุ่นเคืองใจ ถ้ายังพาหญิงแก่คนนั้นออกมาด้วย เจ้าคิดว่าตระกูลหลูจะเห็นด้วยหรือไม่?” ฟางเจิ้งสิงพูดออกมาอย่างไม่พอใจ
เมื่อรู้ว่าฟางเจิ้งสิงรู้สึกไม่พอใจ หลิวซื่อจึงรีบขยับออกมาจากอ้อมแขนของฟางเจิ้งสิง จากนั้นยืดตัวตรง มือทั้งสองประคองใบหน้าของฟางเจิ้งสิง ความรู้สึกเสียใจและตื้นตันใจผสมปนเปกัน นางเอ่ยว่า “ขอบคุณนายท่าน เมื่อครู่ที่เพ่ยหยาดูหมิ่นโหรวเอ๋อร์ แต่ท่านก็ยังช่วยเหลือข้าผู้ต่ำต้อย ในชีวิตนี้ข้าผู้ต่ำต้อยถูกสามีรักและเอ็นดูเช่นนี้ ชาติหน้าข้าผู้ต่ำต้อยคนนี้ก็จะตอบแทนให้ท่าน”