ทะลุมิติไปเป็นสาวนาผู้ร่ำรวย - บทที่ 1512 งานขับร้องบทกวี
บทที่ 1512 งานขับร้องบทกวี
กู้เสี่ยวหวานรู้ว่าสิ่งที่นางพูดนั้นสร้างความเจ็บปวดให้กับหญิงสาวหลายคนได้ แต่ในสถานการณ์ปัจจุบันของตระกูลฟาง สิ่งที่ฮูหยินฟางและฟางเพ่ยหยาเจอ การหย่าร้างเป็นทางออกเดียวที่ควรกระทำ
“ฟางเจิ้งสิงไม่ชมชอบฮูหยินฟางอีกต่อไป ถ้าเขาสนใจนางสักนิด เขาจะไม่ทำให้ฮูหยินฟางเสียใจ ถ้าเขาชอบนางบำเรอคนนั้นจริง ๆ ก็แค่ทำทุกอย่างอย่างตรงไปตรงมา เรื่องราววุ่นวายยุ่งเหยิงระหว่างเขากับฮูหยินฟางจะได้จบลง อย่างไรก็ตาม มันเรื่องปกติที่ผู้ชายจะมีภรรยาได้สามหรือสี่คน แต่เท่าที่รู้ ฮูหยินฟางไม่ได้สร้างปัญหาอะไร ฟางเจิ้งสิงจะพาอนุภรรยาเข้าบ้าน ไม่ว่านางจะโปรดปราณหรือไม่ แต่ทุกการกระทำก็ยังอยู่ในสายตานาง แต่ฟางเจิ้งสิงไม่เล่นไพ่ตามสามัญสำนึก เขากลับเลี้ยงดูผู้หญิงคนหนึ่งข้างนอก และทำให้นางตั้งครรภ์ขึ้นมา อีกทั้งยังให้กำเนิดบุตรสาวฝาแฝดสองคน และเมื่อเห็นว่าฟางเพ่ยหยาไม่เป็นไปอย่างที่เขาคิด เขาก็เลยพานางบำเรอคนนั้นเข้าบ้าน ซึ่งเห็นได้ชัดว่าเขาไม่มีความจริงจังกับฮูหยินฟางเลยสักนิด เรื่องนี้คนนอกจะเอาไปพูดได้ว่าฮูหยินฟางปล่อยเนื้อปล่อยตัวและเป็นหญิงขี้หึงที่ไม่ยอมอ่อนข้อให้ เขาจึงต้องไปหาอนุภรรยาจากข้างนอก สิ่งที่ฟางเจิ้งสิงทำนั้นไม่ได้ไว้หน้าฮูหยินฟางเลยแม้แต่น้อย การกระทำของเขาเป็นการทำร้ายนางอย่างสิ้นเชิง แม้กระทั่งข่าวการนินทา ฮูหยินฟางก็ต้องรับมันไว้ผู้เดียว” กู้เสี่ยวหวานอธิบายพลางยกชาขึ้นจิบแล้วเอ่ยต่อ
“และสำหรับเพ่ยหยา ถ้าฟางเจิ้งสิงสนใจและรักนางจริง ๆ เขาจะไม่ปล่อยให้ลูกของนางบำเรอสองคนนั้นรังแกเพ่ยหยา เป็นไปได้หรือไม่ว่าฟางเจิ้งสิงไม่รู้เรื่องนี้ หรือเขารู้แต่แกล้งทำเป็นไม่รู้และเลือกที่จะเมินเฉย มันพิสูจน์ให้เห็นว่าพวกนางสามแม่ลูกมีผลต่อใจของเขาแค่ไหน การที่มีสามีและพ่อเช่นนี้ หากเป็นเจ้า เจ้าจะดีใจหรือไม่”
“แต่ข้าก็ไม่เคยได้ยินเรื่องการหย่าร้างมาก่อน” ถานอวี้ซูรู้สึกว่าสิ่งที่ท่านพี่พูดมีเหตุผล แต่นางก็ไม่เคยพบเรื่องการหย่าร้างมาก่อน แล้วถ้ามีการหย่าร้างเกิดขึ้นจริง ๆ ฮูหยินฟางจะไปอยู่ที่ไหน
แล้วนางจะทำอย่างไรต่อไป
ไม่ใช่ว่านางจะมีชีวิตที่แย่ไปตลอดชีวิตงั้นหรือ
“การใช้ชีวิตอย่างมีความสุขเป็นสิ่งสำคัญ เหมือนที่มีคนพูดไว้ว่า ควรใช้ชีวิตเพื่อตัวเอง ไม่ใช่เพื่อคนอื่น ตอนนี้ฮูหยินฟางกำลังก้าวออกจากประตูนรก ข้าคิดว่านางจะมีมุมมองที่แตกต่างออกไปเกี่ยวกับการหย่าร้างนี้” กู้เสี่ยวหวานเอ่ยทุกอย่างอย่างรอบคอบ
เมื่อเห็นว่ากู้เสี่ยวหวานเอ่ยทุกอย่าง ถานอวี้ซูก็เข้าใจแล้วว่าถ้ายังเป็นเช่นนี้ต่อไป ฮูหยินฟางอาจจะก้าวเข้าสู่ประตูนรกอีกครั้ง แต่ครั้งนี้นางโชคดีมากที่รอดพ้นจากเงื้อมมือมัจจุราชได้
ถ้านางจากไปพร้อมกับคำครหาขึ้นมา มันจะเป็นอย่างไร?
ถานอวี้ซูก้มหัวลงและนิ่งเงียบเป็นเวลานาน เมื่อนางเงยหน้าขึ้นมองอีกครั้ง ก็ดูเหมือนจะเข้าใจคำพูดของกู้เสี่ยวหวานแล้ว “ท่านพี่ สิ่งที่ท่านพูดมีเหตุผล ไม่มีอะไรสำคัญไปกว่าชีวิตของตน”
“แต่สิ่งที่พวกเราพูดที่นี่ไม่ได้หมายความว่าฮูหยินฟางจะยอมรับได้ ถ้าเพ่ยหยามาครั้งหน้า เรามาเกลี้ยกล่อมเพ่ยหยาด้วยกันนะ” กู้เสี่ยวหวานมองว่าเพ่ยหยาเป็นเพื่อนจริง ๆ และนางรู้สึกเสียใจกับสาวน้อยผู้นี้
เพ่ยหยามีฐานะอันสูงส่งเช่นนี้ แต่ไม่เป็นที่โปรดปราน และถูกนางบำเรอรังแกแม้กระทั่งอยู่ภายในบ้านของตนเอง ไม่เว้นแม้แต่คนรับใช้ในบ้านก็ยังหัวเราะเยาะนาง
ในขณะเดียวกัน โค่วตันก็เข้ามาจากข้างนอกโดยถือบางอย่างไว้ และพูดด้วยความเคารพ “คุณหนู เมื่อครู่มีคนมาที่หน้าประตู บอกว่าเป็นคนจากตระกูลซู เขาบอกว่าเป็นคำเชิญของบรรดาพี่น้องของตระกูลซู”
“คำเชิญแบบไหน?” กู้เสี่ยวหวานถามพร้อมเอื้อมมือไปหยิบสิ่งที่อยู่ในมือของโค่วตัน
“ท่านพี่ ข้าลืมบอกไปว่า ทุกปีในเวลานี้จะมีการจัดงานขับร้องบทกวีในเมืองหลวง และงานการขับร้องบทกวีในปีนี้จะจัดขึ้นอีกในเจ็ดวัน” ถานอวี้ซูพูดด้วยความรำคาญ
“ท่านพี่ ข้าลืมไปเลยจริง ๆ ความจริงข้าควรจะบอกท่านเร็วกว่านี้”
“เจ้าบอกข้าตอนนี้ก็เหมือนกันไม่ใช่หรือ” กู้เสี่ยวหวานปลอบโยนอีกฝ่ายด้วยรอยยิ้ม “บทกวีนี้หมายความว่าอย่างไร”
“เรียกว่างานขับร้องบทกวี จัดขึ้นปีละครั้ง แต่ในความเป็นจริงแล้ว ชายหญิงที่ยังไม่แต่งงานจะแต่งกายมาเพื่อมาดูตัว” ถานอวี้ซูพูดอย่างไม่สนใจ “พวกเขาล้วนเป็นชายและหญิงที่มีความสามารถในการร้องขับขาน เต้นรำ แต่งกลอน และวาดภาพ งานถูกจัดขึ้นทุกปี และมันก็น่าเบื่อมากเช่นกัน แต่ท่านพี่ นี่เป็นครั้งแรกที่ท่านจะได้เข้าร่วม ดังนั้นท่านควรไปเปิดหูเปิดตาสักหน่อย”
ในตอนแรกถานอวี้ซูเพิ่งกล่าวว่างานมันน่าเบื่อ แต่แล้วก็ตระหนักว่ากู้เสี่ยวหวานไม่เคยเข้าร่วมงานเช่นนี้มาก่อน ดังนั้นนางจึงเปลี่ยนคำพูดทันที
เมื่อเห็นว่าถานอวี้ซูเปลี่ยนคำพูดทันทีและบอกว่างานเลี้ยงนี้สนุก กู้เสี่ยวหวานก็หัวเราะอย่างแผ่วเบาและพูดว่า “ที่ข้าเข้าร่วมงานเลี้ยงของหมิงตูจวิ้นจู่ครั้งล่าสุด ข้ารู้สึกหวั่นเกรงนิดหน่อย ถ้าข้าต้องเข้าร่วมงานขับร้องบทกวีนี้อีกในครั้งนี้ ข้าคงได้ขายหน้าจริง ๆ แล้ว อย่าหาเรื่องยุ่งยากใส่ตัวเลย ไม่เข้าร่วมได้หรือไม่”
กู้เสี่ยวหวานโยนเทียบเชิญลงบนโต๊ะอย่างไม่ใส่ใจ ดูเหมือนว่านางเองก็ไม่อยากไปเช่นกัน
ถานอวี้ซูส่ายหัวและพูดว่า “งานขับร้องบทกวีนี้ได้รับการร้องขอจากฮองเฮาทุกปี กิจกรรมจะจัดขึ้นในบ้านของขุนนางระดับสูงกว่าอันดับสองในเมืองหลวง ปีนี้ตระกูลซูเป็นเจ้าภาพ และงานขับร้องบทกวีที่ตระกูลซูจะจัดขึ้น ชายและหญิงที่ยังไม่ได้แต่งงานจะต้องเข้าร่วม นอกจากนี้แล้ว งานขับร้องบทกวีได้จัดขึ้นครั้งแรกโดยฮองเฮาเมื่อยังเป็นคุณหนูที่ครองตัวสันโดษ ดังนั้นประเพณีนี้จึงสืบทอดกันตั้งแต่นั้นมา ฮองเฮาเป็นผู้ที่อ่านหนังสือบทกวีและหนังสือมากมาย บทกวีและเพลงที่ดีที่สุดที่แต่งขึ้นจากการเข้าร่วมในงานเลี้ยงนี้จะถูกนำเสนอให้ฮองเฮา หากถูกใจ ฮองเฮาจะให้รางวัล”
ถานอวี้ซูไม่มีความสนใจในบทกวี แต่นางติดตามถานเย่สิงมาตั้งแต่ยังเด็ก เวลานางอ่านหนังสือก็ไม่สามารถอ่านได้นาน นางอ่านไปได้ไม่กี่เล่มก็ต้องวางเนื่องจากไม่มีความสนใจ
แต่กู้เสี่ยวหวานนั้นแตกต่างออกไป
ครั้งล่าสุดที่กู้เสี่ยวหวานอวดความเก่งกาจในจวนของหมิงอ๋อง ความสามารถของนางเปล่งประกายในงานขับร้องบทกวี เกรงว่าเมื่อถึงวันนั้น แม้กระทั่งหมิงตูจวิ้นจูก็ไม่อาจปกปิดความสามารถของนางเอาไว้ได้
ท้ายที่สุด หากตกอยู่ในสายตาของฮองเฮาผู้สูงส่ง กู้เสี่ยวหวานอาจจะได้อันดับหนึ่งหรือสองในเมืองหลวง!
ถ้าท่านพี่ไปร่วมงานและได้รับรางวัลจากฮองเฮา มาดูกันว่าใครจะกล้าดูแคลนท่านพี่ว่ามาจากชนบทอยู่อีกหรือไม่
เมื่อนึกถึงสิ่งนี้ ถานอวี้ซูจึงเกลี้ยกล่อมกู้เสี่ยวหวานและพูดว่า “ท่านพี่ ไปกันเถอะ พรสวรรค์ด้านวรรณกรรมของท่านดีมาก มันจะดีมากถ้าท่านได้แสดงมันให้ฮองเฮาได้เห็น”