ทะลุมิติไปเป็นสาวนาผู้ร่ำรวย - บทที่ 1518 เป็นความสุขหรือความหายนะ
บทที่ 1518 เป็นความสุขหรือความหายนะ
ซูเฉี่ยนเยว่บอกว่าหมิงตูจวิ้นจู่รักซูจือเยว่ แต่ฮูหยินซูกลับเห็นความรังเกียจและความขยะแขยงในดวงตาของซูจือเยว่ได้อย่างชัดเจน โดยเฉพาะในภายหลังที่ซูเฉี่ยนเยว่พูดถึงหมิงตูจวิ้นจู่อีกครั้ง ซูจือเยว่ดูเหมือนจะต้องการปฏิเสธซูเฉี่ยนเยว่และพยายามควบคุมตัวเองที่จะไม่หักหาญน้ำใจกัน ครั้นเห็นเช่นนั้นก็ยิ่งสร้างความกังวลให้กับฮูหยินซู
“เกลียดหมิงตูจวิ้นจู่” ซูเผยอันได้ยินแบบนั้นก็ขมวดคิ้ว
ถ้าเป็นอย่างที่ฮูหยินพูด เรื่องจะวุ่นวายมาก
“เป็นไปได้ไหมที่เจ้าจะเข้าใจผิด ข้าจำได้ว่าตอนนั้นข้าอยากไปพบเจ้า แต่เห็นหน้าไม่ได้ ต่อหน้าท่านแม่ข้า ข้าแค่ปฏิเสธที่จะยอมรับว่าตัวเองต้องการพบเจ้า” ซูเผยอันดูเหมือนจะนึกถึงอดีต และพูดติดตลกกับตัวเอง
เมื่อมองฮูหยินตรงหน้าตนเอง เหมือนได้ย้อนเวลากลับไปเมื่อสิบกว่าปีก่อน ครั้งแรกที่เจอกัน หัวใจของเขาเต้นระรัว เพียงแต่หนุ่มสาวมักจะพูดไม่ตรงกับใจของตัวเอง
ฮูหยินซูได้ฟังก็รู้สึกว่ามีเหตุผล หากแต่ก็ยังไม่สบายใจ
“ถ้าในใจจือเยว่มีจวิ้นจู่ ทำไมตอนที่ได้ยินคำว่าหมิงตูจวิ้นจู่ ปฏิกิริยาของเขาจึงดูรุนแรงขนาดนั้น” ฮูหยินซูถาม
“ยังดี ไม่รุนแรง เฉี่ยนเยว่บอกว่าหมิงตูจวิ้นจู่ก็มา ข้าไม่เห็นจือเยว่จะพูดอะไร เขาไม่พูดอะไรเลยหรือ”
ซูเผยอันยังคิดว่าเป็นไปไม่ได้ “จวิ้นจู่งดงาม แต่ค่อนข้างไม่มีเหตุผลใช้และชอบอำนาจบาตรใหญ่ จือเยว่หล่อเหลา พวกเขาเหมาะสมกันดั่งกิ่งทองใบหยก เจ้าวางใจเถอะ แม้ว่าตอนนี้จือเยว่ยังไม่ยอมรับว่าตัวเองชอบจวิ้นจู่ ลูกชายของเราเจ้าไม่รู้หรือชอบที่จะเริ่มก่อน จวิ้นจู่เป็นคนแรกที่แสดงตัวว่าชอบ อย่าปล่อยให้จือเยว่รู้สึกลังเลที่จะปล่อยมือ ไม่ต้องกังวล ตราบใดที่พวกเขาสองคนแก้ปมนี้ และจือเยว่ตระหนักดีว่าจวิ้นจู่ใจดีกับเขาเพียงใด เรื่องทั้งหมดนี้จะผ่านไป ดังคำกล่าวที่ว่า ผู้ชายต้องเผชิญกับความยากลำบากในการไล่ตามผู้หญิง จือเยว่ไม่ใช่คนโง่ เขารู้ว่าต้องทำอย่างไร”
คำพูดของซูเผยอันทำให้จิตใจที่กระวนกระวายของฮูหยินซูลดลง “นายท่านพูดจริงหรือ”
“จริงสิ ฮูหยินสบายใจได้ งานเลี้ยงคราวนี้เจ้าต้องสร้างความสัมพันธ์อันดีกับจวิ้นจู่ด้วย นางแค่นิสัยหยิ่งยโส ตราบใดที่ปฏิบัติกับนางอย่างดี นางจะไม่ยุ่งวุ่นวายกับเราแน่นอน” ซูเผยอันพูด เขาหันมองไปที่ตะเกียงแล้วพูดว่า “ฮูหยิน นี่มันดึกแล้ว พักผ่อนก่อนเถอะ เจ้าเหนื่อยเกินไปสำหรับงานเลี้ยงในสองสามวันนี้ พักผ่อนให้เพียงพอและอย่าคิดมาก เด็ก ๆ มีพรของตัวเอง”
ซูเผยอันพูดติดตลก
ฮูหยินซูเม้มปาก อยากจะบอกว่านางไม่ต้องการความยิ่งใหญ่และความมั่งคั่งแบบนี้ ตราบใดที่ครอบครัวมีความสุขดี แต่เมื่อเห็นท่าทางตื่นเต้นมีความสุขของซูเผยอัน ก็กลืนคำพูดลงไปแล้วพยักหน้าและพูดว่า “นายท่าน ท่านเองก็ควรพักผ่อนเช่นกัน”
ก่อนที่ซูเผยอันจะเข้านอน เขาต้องจัดการธุระบางอย่างก่อน ให้ฮูหยินซูเข้านอนก่อน ซูเผยอันพยักหน้า ประคองฮูหยินซูไปที่เตียง หลังจากส่งนางเข้านอนแล้วก็หันหลังเดินออกไปข้างนอก
ทันทีที่หันกลับมา ดวงตาที่อ่อนโยนก็เปลี่ยนไปในทันที คิ้วย่นลงเล็กน้อยราวกับเต็มไปด้วยความคิด
หมิงตูจวิ้นจู่ นางเป็นความสุขหรือความหายนะกันแน่
เขาไม่เข้าใจว่านางจะนำหายนะแบบไหนมาสู่ตระกูลซู
ซูเผยอันไม่อยู่ในอารมณ์ที่จะจัดการกับธุระอย่างเป็นทางการอีกต่อไป จึงยืนมองดาวบนท้องฟ้าอยู่ข้างหน้าต่าง ในใจสับสนวุ่นวายไปหมด
หมิงตูจวิ้นจู่คนนั้นหยิ่งยโสและโหดเหี้ยมอำมหิต มองชีวิตคนเหมือนขี้หมูขี้หมา ฮูหยินรู้แค่เพียงผิวเผินเท่านั้น แต่ความจริงแล้วยังมีเรื่องอีกมากที่เขาไม่เคยบอกฮูหยิน ถ้าบอกไปแล้วเกรงว่านางต้องหลีกเลี่ยงความโหดเหี้ยมดุร้ายของหมิงตูจวิ้นจู่แน่นอน
เขาถอนหายใจ สิ่งที่เขาต้องทำคือปกป้องตระกูลซูและลูก ๆ ของเขา
เมื่อนึกถึงสิ่งนี้ ซูเผยอันก็ตัดสินใจ นั่นเป็นวิธีเดียวที่จะช่วยตระกูลซูจากหายนะได้
……
ภายในงานเลี้ยงจะมีการแสดง กู้เสี่ยวหวานฟังจากการพูดคุยของถานอวี้ซูเกี่ยวกับการแข่งขันในปีก่อน ๆ และดูเหมือนว่าจะคล้ายกับการแสดงทางโทรทัศน์
ลงโทษโดยการดื่มเหล้า กฎของเกมส่งดอกไม้ในขณะที่กลองกำลังตี ถ้ากลองหยุดแล้วดอกไม้อยู่ที่ใครจะถูกลงโทษ ศิลปะภาพวาดจีน แต่งบทกวี แต่ชายหญิงที่ยังไม่ได้แต่งงานมักจับกลุ่มอยู่ด้วยกัน ไม่ใช่แค่เพื่อดูว่าใครหน้าตาดีกว่า ใครมีความสามารถดีกว่ากัน หลังจากนั้นก็เปรียบเทียบข้อดีข้อเสีย กลับไปคุยกับพ่อแม่แล้วมาสู่ขอ
ในสมัยก่อน การจับคู่ตระกูลที่เหมาะสมเป็นสิ่งสำคัญ บุตรของนางสนมและขุนนางระดับห้าขึ้นไปสามารถเข้าร่วมได้
เพื่อเข้าร่วมงานเลี้ยง แม้ว่ากู้เสี่ยวหวานจะไม่มีความสนใจ แต่ก็ยังต้องศึกษาเผื่อไว้
ถ้าจู่ ๆ มีบางคนไม่ชอบตัวเองและอยากให้ตัวเองทำการแสดง แต่ตัวเองทำอะไรไม่ได้ นั่นจะไม่เป็นการขายหน้าหรอกหรือ
หลังกินข้าวเย็นเสร็จ กู้เสี่ยวหวานเดินเล่นรอบ ๆ ลานบ้านก็ได้ยินเสียงเรียกเบา ๆ จากด้านนอก “หวานเอ๋อร์”
กู้เสี่ยวหวานคิดว่าช่วงนี้ตัวเองคงคิดถึงใครบางคนมากเกินไป จึงคิดว่าตนเองหูแว่วเลยไม่ได้หันกลับไปมอง แต่เมื่อได้ยินเสียงจากด้านหลังอีกครั้ง กู้เสี่ยวหวานก็เข้าใจทันทีว่าตัวเองไม่ได้หูแว่ว
นางหันกลับไปชนเข้ากับอ้อมแขนที่อบอุ่นและคุ้นเคย
กลิ่นหอมของชาหลันเชวี่ยและกลิ่นที่คุ้นเคยทำให้กู้เสี่ยวหวานซุกหน้าเข้าไปโดยไม่ได้ลังเล
ฉินเยว่จือเห็นการกระทำที่น่ารักของลูกแมวตัวน้อย เขาก็กอดนางด้วยความรัก
แต่ใครจะคิดว่าทันทีที่เขายื่นแขนไปกอด คนในอ้อมแขนของเขาจะผลักออกมาและพูดอย่างไม่สบายใจว่า “ยังมีใครอีก”
อาจั่วอยู่ อาโม่อยู่ โค่วตันก็อยู่
นางมองไปรอบ ๆ ลานบ้าน ภายใต้แสงสีมืดสลัวกลับเห็นเงาของใครอีกคน
“คนอื่นล่ะ” กู้เสี่ยวหวานมองไปรอบ ๆ ด้วยความประหลาดใจ หากแต่ก็ไม่พบใคร
“ตอนที่ข้าเข้ามา พวกเขาก็ออกไปแล้ว” เมื่อเห็นความเขินอายของแมวน้อย ฉินเย่จือก็กอดนางไว้ในอ้อมแขนอย่างขบขัน