ทะลุมิติไปเป็นสาวนาผู้ร่ำรวย - บทที่ 1526 ตอกกลับ
บทที่ 1526 ตอกกลับ
ถานอวี้ซูพยักหน้าเพราะเคยเห็นมาก่อนแล้ว ซูเฉี่ยนเยว่ยืนตัวตรงเหมือนเพิ่งรู้ว่าคนที่ยืนอยู่ข้างถานอวี้ซูคือเสี้ยนจู่อันผิง ใบหน้าประดับด้วยรอยยิ้มดีอกดีใจ และพูดอย่างกระตือรือร้น “ยินดีต้อนรับเสี้ยนจู่อันผิง การมาของท่านเป็นเกียรติกับจวนตระกูลซูจริง ๆ”
กู้เสี่ยวหวานได้ยินก็ยิ้มอย่างเย้ยหยัน
ซูเฉี่ยนเยว่ดูเหมือนกำลังสร้างศัตรูให้ตนเอง
แน่นอนว่าเมื่อสิ้นเสียงของซูเฉี่ยนเยว่ ก็เห็นว่าพวกคุณหนูที่อยู่รอบ ๆ หันมามองอย่างพร้อมเพรียงกัน บางคนรู้จักฐานะของกู้เสี่ยวหวานอยู่แล้ว แต่บางคนก็เพิ่งจะรู้ฐานะของกู้เสี่ยวหวาน ดังนั้นจึงโกรธมากและจ้องมองนางด้วยสายตาที่เยือกเย็น ความโกรธและความอิจฉาในสายตาแสดงออกมาให้เห็นได้อย่างชัดเจน
กู้เสี่ยวหวานเป็นเพียงขุนนางระดับห้า แต่จวนตระกูลซูเป็นถึงขุนนางระดับสอง นางเป็นแค่ขุนนางระดับห้า การมาของนางจะให้เป็นเกียรติกับจวนตระกูลซูได้อย่างไร
ถ้าบอกว่าเป็นฮู้กั๋วจวิ้นจู่ก็แล้วไป ครั้งนี้ในเมื่อบอกว่าเป็นกู้เสี่ยวหวาน เมื่อได้ยินอาจทำให้คนที่อยู่ในที่นี้โกรธได้
ในหมู่พวกนางมีใครบ้างที่ไม่ได้เกิดในเมืองหลวง เกือบทุกคนล้วนเป็นคุณหนูที่ร่ำรวยในเมืองหลวง แต่ตอนนี้ถูกเปรียบเทียบกับสาวชาวบ้านที่เป็นเพียงขุนนางระดับห้า มันทำให้พวกนางเสียหน้าอย่างมาก ทุกคนจ้องมองกู้เสี่ยวหวานด้วยความโกรธ
เมื่อกู้เสี่ยวหวานเห็นสายตาที่โกรธเคืองของคุณหนูเหล่านั้นแล้ว ก็ชื่นชมกลยุทธ์ของซูเฉี่ยนเยว่ในการยืมมีดฆ่าคน
นางไม่เพียงชื่นชมตนเอง แต่ปล่อยให้ตัวเองทนกับสายตาที่โกรธแค้นของคุณหนูหลายคน ทุกคนเกลียดมากจนแทบอยากเดินมาหยิกและล้างแค้นนาง
ในนี้มีคุณหนูหลายคนที่กู้เสี่ยวหวานเคยพบมาก่อน หลังจากผ่านงานเลี้ยงของหมิงตูจวิ้นจู่ครั้งก่อน มีหลายคนที่อิจฉาริษยาเสี้ยนจู่อันผิงที่มีพรสวรรค์และมากความสามารถเช่นนี้
มีบางคนโอ้อวดว่าตนเองมีพรสวรรค์ แต่เมื่อมองไปข้างหน้ากู้เสี่ยวหวาน หัวข้อในวันนั้นพวกนางตอบไม่ได้เลยสักนิด
และเมื่อมองดูชุดสีขาวนวลที่นางสวมใส่ในวันนี้ ยิ่งทำให้ผิวนางดูผ่องใสและงามเจิดจรัส ทำให้ผู้คนริษยาจนแทบอยากจะสลัดนางออกไป
แพรวพราวเกินไปแล้ว
กู้เสี่ยวหวานยิ้มเบา ๆ แล้วรีบพูดว่า “คุณหนูซูให้เกียรติเสี่ยวหวานมากไปแล้ว เสี่ยวหวานเป็นเพียงสามัญชนธรรมดา แต่ไหนแต่ไรมาก็คุ้นชินกับความเรียบง่ายไม่หรูหรา วันนี้มาเข้าร่วมงานเลี้ยงที่จวนตระกูลซูจึงได้หยิบชุดนี้มาใส่ ไม่ใช่เพื่อให้จวนตระกูลซูให้เกียรติ แต่เป็นเพราะสถานที่ของจวนตระกูลซูถูกประดับด้วยผ้าโคมไฟสวยงามเช่นนี้ จึงทำให้เสี่ยวหวานดูมีสีสันและสง่างาม ได้ยินฮู้กั๋วจวิ้นจู่พูดตลอดทางว่างานเลี้ยงในปีนี้ต้องจัดอย่างยิ่งใหญ่ มีสีสันละลานตาและหรูหราประณีต”
คำพูดของซูเฉี่ยนเยว่ในเมื่อครู่ กู้เสี่ยวหวานคืนให้นางอีกครั้ง หากซูเฉี่ยนเยว่ต้องการเป็นศัตรูกับนาง นางก็จะไม่ปล่อยให้ซูเฉี่ยนเยว่ได้มีวันที่ดีแน่นอน
เมื่อซูเฉี่ยนเยว่ได้ยินกู้เสี่ยวหวานพูดว่าตนเองเป็นแค่เด็กสาวชาวบ้าน ก็เห็นว่านางยังรู้ตัวดี จากนั้นก็ได้ยินนางชื่นชมการจัดงานเลี้ยงของตนในครั้งนี้ ใบหน้าก็ปรากฏรอยยิ้มภูมิใจ “มันแน่นอนอยู่แล้วที่คิดว่างานเลี้ยงครั้งนี้ทั้งดีกว่าและยิ่งใหญ่กว่างานเลี้ยงที่ผ่านมาในปีก่อน ๆ”
แน่นอนว่าข้าพอใจกับการจัดงานเลี้ยงครั้งนี้มาก
กู้เสี่ยวหวานหัวเราะ หยิบผ้าเช็ดหน้ามาปิดปากแล้วไม่พูดอะไรอีก
ฮู้กั๋วจวิ้นจู่ก็หัวเราะเช่นเดียวกัน มองกู้เสี่ยวหวานแล้วพูดขึ้น “ข้าจวิ้นจู่คนนี้จำได้ว่างานเลี้ยงครั้งแรกในตอนนั้นจัดขึ้นโดยไทเฮาองค์ปัจจุบัน เหตุใดคุณหนูซูถึงคิดว่างานเลี้ยงที่เจ้าจัดในครั้งนี้ดีกว่าครั้งที่องค์ไทเฮาเคยจัด หรือเจ้าคิดว่าเจ้าเก่งกว่าไทเฮากัน?”
“ไม่ใช่” ซูเฉี่ยนเยว่คิดไม่ถึงว่าถานอวี้ซูจะพูดคำเช่นนี้ออกมาได้ นางตกใจจนตัวสั่น เมื่อครู่นางแค่พลั้งปากพูดไป นางแค่อยากโอ้อวดว่าใช้เวลาในการเตรียมจัดงานเลี้ยงครั้งนี้นานมาก แต่ไหนแต่ไรมาไม่เคยคิดจะไปเปรียบเทียบกับไทเฮา ไทเฮาเป็นผู้มีอำนาจสูงศักดิ์ เฉลียวฉลาด นางจะกล้าเทียบกับไทเฮาได้อย่างไร “ไทเฮาเป็นผู้สูงศักดิ์ เป็นเมฆขาวบนท้องฟ้า เฉี่ยนเยว่เป็นเพียงฝุ่นผงบนพื้นดิน เมฆขาวกับฝุ่นผงจะเปรียบเทียบกันได้อย่างไร เมื่อครู่เฉี่ยนเยว่แค่จะบอกว่าการจัดงานเลี้ยงในครั้งนี้เอาแบบอย่างมาจากที่ไทเฮาเคยจัดในปีนั้น ไทเฮามีพรสวรรค์และมีความสามารถ เมื่อนึกถึงครั้งแรกที่จัดงานขับร้องบทกวีแล้ว มันเป็นแรงบันดาลใจให้กับเฉี่ยนเยว่ไม่น้อยเลย”
ซูเฉี่ยนเยว่รีบแสดงความบริสุทธิ์ใจในสิ่งที่นางพูดเมื่อครู่ ด้วยท่าทางที่กระตือรือร้นจึงทำให้มีเหงื่อตกบนหน้าผากเนียน ๆ แต่การพูดของนางก็ทำให้ผู้คนตกใจไม่น้อย
ถานอวี้ซูไม่เข้าใจกับคำพูดของนางในเมื่อครู่ที่สร้างศัตรูกับกู้เสี่ยวหวาน จึงเอ่ยปากกล่าวหาซูเฉี่ยนเยว่ เดิมทีก็ไม่มีความเห็นอื่น แต่เมื่อได้ยินนางพูดเช่นนี้ก็โบกมือและพูดอย่างไม่พอใจ “จวิ้นจู่อย่างข้ายังอยากไปชมดอกเบญจมาศ”
ความหมายก็คือ ให้เจ้ารีบไปเสีย ไปทักทายคนอื่น ๆ จวิ้นจู่อย่างข้าไม่อยากเห็นเจ้า
ซูเฉี่ยนเยว่พยักหน้า เมื่อเห็นว่าถานอวี้ซูไม่ได้พูดเรื่องเมื่อครู่อีก จึงรู้ว่านางกำลังเตือนตนเอง ดังนั้นจึงรีบก้มหัวแสดงความเคารพ ราวกับว่าความตึงเครียดระหว่างทั้งสองในเมื่อครู่ไม่เคยเกิดขึ้น
จากนั้นรีบหันหลังแล้วเดินจากไปพร้อมกับรอยยิ้มที่มุมปาก แต่ในตอนที่หันกลับมา ความเกลียดชังในสายตานั้นทำให้ผู้คนหวาดกลัว
เมื่อกู้เสี่ยวหวานเห็นว่าคนที่สร้างศัตรูให้ตนเดินจากไปแล้วก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก ซูเฉี่ยนเยว่ผู้นี้ยังอ่อนแอเกินไปหน่อย
เป็นแค่เด็กผู้หญิงอายุสิบกว่าปี แต่ก็มีความคิดจะจัดการกับข้า
ถึงแม้ว่าชาติที่แล้วนางจะไม่รู้วิธี แต่ชีวิตก่อนก็ดูโทรทัศน์และภาพยนตร์มามาก ต่อให้ไม่เคยลงมือทำ แต่ก็เคยผ่านหูผ่านตามาก่อน
เป็นแค่เรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ซูเฉี่ยนเยว่ผู้นั้นเป็นคนมีนิสัยใจร้อน เมื่อครู่ตอนที่เสียเปรียบ คิด ๆ ดูแล้ว นางคงไม่ปล่อยเรื่องนี้ไปแน่
“ท่านพี่ พวกเราไปชมดอกเบญจมาศกันเถอะ ไม่ต้องไปสนใจคนผู้นั้นแล้ว นางอาศัยว่ามีมิตรภาพแน่นแฟ้นกับซูหมิ่น เลยไม่เห็นใครอยู่ในสายตา” ถานอวี้ซูพูดอย่างไม่พอใจ
แท้จริงแล้ว ความสัมพันธ์ระหว่างซูเฉี่ยนเยว่ผู้นี้กับซูหมิ่นนั้นดีจริง ๆ พอนึกถึงครั้งที่แล้ว นางมีท่าทางคล้ายซูหมิ่นที่สง่างาม ซูหมิ่นยังมีความอดทนไปปลอบนาง ดูแล้วระหว่างทั้งสองคนมีความลับบางอย่าง เพราะไม่อย่างนั้นซูหมิ่นคงไม่เรียกร้องความรักจากซูเฉี่ยนเยว่เหมือนในตอนนี้
หรือเป็นเพราะ… ซูจือเยว่
ดูเหมือนว่าหมิงตูจวิ้นจู่ผู้นี้ไม่สนใจขอบเขตระหว่างชายหญิงเลยสักนิด อยากได้อะไรก็ต้องได้มา แม้จะเป็นการกระทำที่ไร้ยางอายก็ตาม