ทะลุมิติไปเป็นสาวนาผู้ร่ำรวย - บทที่ 1546 ซูจือเยว่สืบสวนจนถึงที่สุด
บทที่ 1546 ซูจือเยว่สืบสวนจนถึงที่สุด
ซูเฉี่ยนเยว่มองดูเงินที่กลิ้งมาหยุดลงตรงเท้าของตนเอง จากนั้นก็ผงะถอยหลังด้วยความตกใจ เมื่อเห็นสายตาที่เย็นชาของซูหมิ่น ถึงตระหนักได้ว่าเมื่อครู่นางยั้งสติไม่อยู่ จึงรีบก้มศีรษะแล้วไปยืนอยู่ข้างหลังฮูหยินซู
“บอกมาว่าเจ้าชื่ออะไร ทำงานอยู่ส่วนไหน เหตุใดจึงต้องใส่ร้ายเสี้ยนจู่อันผิง” หลายชิ่งตวาดด้วยความโกรธเคือง
เดิมทีสาวใช้คนนั้นเองก็มีนิสัยขลาดกลัว ตอนนี้ถูกซูจือเยว่ตวาดเสียงดังด้วยความโกรธ จึงทำให้ยิ่งหวาดกลัวจนตัวสั่น ร่างกายไร้เรี่ยวแรง ไม่มีแม้แต่แรงจะเปล่งเสียง
“ข้าน้อย…ข้าน้อยชื่อเสี่ยวเหมย ทำงานอยู่ในครัวเจ้าค่ะ ก่อไฟอยู่ในครัวตลอด” สาวใช้คนนั้นร่างกายสั่นสะท้านอย่างคุมตัวเองไม่ได้จนแทบจะมุดหัวลงพื้น ริมฝีปากสั่นระริกเอ่ยอย่างตระกุกตระกักออกมาทีละคำ ราวกับว่าพลังในร่างกายนางค่อย ๆ ถูกใช้ไปจนหมด
“ถ้าเจ้าเป็นแค่สาวใช้ที่ก่อไฟอยู่ในครัว แล้วเหตุใดจึงมีเงินมากมายขนาดนี้ บอกมาว่าเจ้าเอาเงินนี้มาจากที่ไหน” หลายชิ่งก็ตวาดเสียงดังลั่น
สาวใช้คนนั้นยังตัวสั่นไม่หยุด นางก้มหน้าลงและคุกเข่าอย่างขลาดกลัว ไม่แม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมา
ในใจคิดเรื่องที่เกิดขึ้นในตอนนั้น
ตอนแรกที่ถูกจับตัวได้ นางยังคงปฏิเสธหัวชนฝา ตอนที่อยู่ในงานเลี้ยง นางทำเสื้อของแขกผู้หนึ่งเปรอะเปื้อนจึงทำให้โดนตำหนิ นอกจากนี้นางเข้ามาอยู่จวนตระกูลซูได้ไม่นาน และยังอยากอยู่ที่จวนจวนตระกูลซูไปอีกนาน ๆ จึงสวมรอยเป็นคนใช้เข้าไปในงานเลี้ยงแล้วทำเสื้อแขกสกปรก แต่ต่อให้นางมีความกล้าเต็มร้อยก็คงไม่กล้าทำ
“พูดมา เป็นใครกันแน่ที่ส่งเจ้ามาใส่ร้ายเสี้ยนจู่” มีคนตะโกนขึ้นอย่างดุดัน
เสี่ยวเหมยร่างกายสั่นไหวอย่างคุมไม่ได้จนแทบจะทรุดลง นางไม่รู้จริง ๆ ว่าเป็นใคร
เสี่ยวเหมยก้มหัวโขกพื้นไม่หยุดจนเกิดเสียงดัง “นายน้อย ไม่ใช่ข้าน้อยจริง ๆ เจ้าค่ะ ข้าน้อยแค่เห็นว่าในสวนนั้นครึกครื้นยิ่งนักจึงอยากเข้าไปสนุกด้วยก็เท่านั้น แต่เป็นเพราะถ้วยชาของแขกท่านนั้นว่างเปล่า ข้าจึงเดินไปหมายจะเติมชาให้นาง แต่ข้าน้อยไม่ทันระวังจึงทำให้เสื้อของเสี้ยนจู่อันผิงเปียก ข้าไม่ได้ตั้งใจจริง ๆ”
เสี่ยวเหมยผู้นั้นยังไม่ทันพูดจบก็มีเสียงกรีดร้องโหยหวนดังขึ้น และในสายตาทุกคนตอนนี้เห็นเพียงซูจือเยว่เตะสาวใช้คนนั้นด้วยความโกรธ และพูดอย่างเกลียดชัง “เจ้าช่างกล้ามากนัก แขกผู้มีเกียรติของจวนตระกูลซูเจ้าก็ยังกล้ายุ่ง สมองของเจ้ามีแต่ขี้เลื่อยหรืออย่างไร!”
เมื่อได้ยินสาวใช้ยังคงปฏิเสธที่จะยอมรับว่านางจงใจทำลายชื่อเสียงของกู้เสี่ยวหวาน ซูจือเยว่ก็ยิ่งโกรธเคือง
เขาไม่คิดเลยว่าความโกรธจะพุ่งเข้าสู่หัวใจเหมือนแม่น้ำที่ท่วมท้นไหลเข้าสู่มหาสมุทร เขาก้าวขาไปข้างหน้าแล้วเตะสาวใช้คนนั้นที่กำลังกอดตัวเอง สาวใช้พลันร้องออกมาด้วยความโศกเศร้าเสียใจ
แต่ไหนแต่ไรมา ซูจือเยว่ไม่เคยลงมือกับใครมาก่อน ยิ่งกับผู้หญิงไม่ต้องพูดถึงเลย แต่ว่าครั้งนี้ เขายอมแหกกฎของตนเองเพื่อเสี้ยนจู่อันผิงผู้เดียว
ท่าทางที่บ้าคลั่งของซูจือเยว่ ไหนเลยจะเหมือนคุณชายที่ท่าทีสง่างามในทุกวัน เพื่อเสี้ยนจู่อันผิงคนเดียว ความโกรธของเขาก็ทะยานพุ่งขึ้นฟ้า ไม่แม้แต่จะสนใจภาพลักษณ์ของตัวเองเลยสักนิด
เหมือนทุกคนจะสัมผัสได้ถึงอะไรบางอย่างและหันมาอย่างพร้อมเพรียงกัน จ้องมองไปที่หมิงตูจวิ้นจู่ด้วยสายตาใคร่สงสัย
“จือเยว่ นางไม่ใช่แค่สาวใช้ต่ำต้อยไร้ประโยชน์หรือย่างไร เจ้าอย่าสูญเสียตัวตนของตนเองไปเลย” ฮูหยินซูก็ตระหนักได้ถึงความผิดปกติบางอย่าง จึงรีบเอ่ยปาก “วันนี้งานเลี้ยงที่แสนสำคัญเช่นนี้ถูกก่อกวนโดยสาวใช้ผู้ต่ำต้อย หากเรื่องนี้ถูกเผยแพร่ออกไป จะหาว่าบ่าวในจวนตระกูลซูไม่มีระเบียบวินัย แม้แต่สาวใช้ที่ก่อไฟอยู่ในครัวก็ยังเข้ามาลานบ้านรับใช้แขกได้ เอาตัวสาวใช้ผู้ต่ำต้อยคนนี้ไปโบยเสีย!”
ฮูหยินซูเอ่ยปากพูดอย่างเย็นชาและต้องการลงโทษสาวใช้คนนี้ให้ตายไปเสีย โดยไม่ได้สอบถามให้แน่ชัดว่าใครกันที่ต้องการใส่ร้ายกู้เสี่ยวหวาน
ดูเหมือนฮูหยินซูผู้นี้ต้องการปกปิดเรื่องนี้ให้จมดิน
กู้เสี่ยวหวานไม่เชื่อว่าสาวใช้คนนี้จะเข้ามาในส่วนจัดงานเลี้ยงอย่างไม่ตั้งใจ อีกทั้งยังบังเอิญมารินชาให้นาง ทุกอย่างล้วนมีเหตุผล ไม่มีเหตุแล้วจะมีผลได้อย่างไร
กู้เสี่ยวหวานเห็นสาวใช้คนนั้นหวาดกลัวจนตัวสั่นก็ถอนหายใจอย่างคร่ำครวญว่า ในบ้านที่ใหญ่โตเช่นนี้ คนยากจนและต่ำต้อยเป็นเพียงผ้าที่ครอบครัวตระกูลใหญ่คลุมไว้เพื่อปกปิดความอัปยศของพวกเขาเท่านั้น
วันนี้ฮูหยินซูอยากตีสาวใช้ต่ำต้อยคนนี้ให้ตายเพราะเรื่องแค่นี้ แต่ว่า…
กู้เสี่ยวหวานกลับไม่ต้องการและไม่ยินยอมให้สาวใช้ตกเป็นแพะรับบาป จึงเอ่ยขึ้นด้วยเสียงแผ่วเบา “ฮูหยินซู ช้าก่อน” เสียงที่แผ่วเบาและอ่อนโยน แต่ทุกคำที่พูดออกมานั้นน่าเกรงขามจนไม่มีใครกล้าเอ่ยขัด
“เสี้ยนจู่อันผิง” ฮูหยินซูเห็นอีกฝ่ายขัดขวางตนไว้ ถึงแม้ว่าคำที่นางพูดเมื่อครู่จะฟังดูน่าเกรงขาม แต่ก็คิดว่าอีกฝ่ายเป็นเพียงแค่เสี้ยนจู่ระดับห้ากลับหยิ่งยโสโอหังเช่นนี้ จึงรู้สึกไม่ชอบใจขึ้นมา
“สาวใช้คนนี้ไม่ระวังจนทำให้เสื้อของเจ้าเปียก ตอนนี้ก็หาตัวพบแล้ว นางบอกว่าเป็นความผิดพลาดที่ไม่ได้ตั้งใจก่อ ในเมื่อไม่ตั้งใจ แต่กลับทำให้ชื่อเสียงจวนตระกูลซูเสื่อมเสีย หากฮูหยินอย่างข้าจะโบยบ่าวคนนี้ให้ตาย ก็ถือว่าเป็นการอธิบายให้เสี้ยนจู่และกู้ศักดิ์ศรีให้แก่จวนตระกูลซูของข้า” ฮูหยินซูพูดอย่างน่าเกรงขาม
เมื่อกวาดสายตามองไปรอบ ๆ อย่างเย็นชา สาวใช้เหล่านั้นที่ยังรับใช้อยู่ข้าง ๆ ต่างก็ก้มหน้าลง พวกนางหวาดกลัวจนไม่กล้าแม้แต่จะหายใจออกมา
“ท่านแม่ เสี้ยนจู่อันผิงไม่ได้หมายความเช่นนี้ หากฆ่าสาวใช้คนนี้อย่างตามอำเภอใจ อย่างนั้นคนที่อยู่เบื้องหลังนางที่สั่งให้นางใส่ร้ายเสี้ยนจู่อันผิงคือใครกันแน่ พวกเราต้องหาผู้ที่อยู่เบื้องหลังมาให้ได้เพื่อคืนความยุติธรรมให้เสี้ยนจู่อันผิง” ซูจือเยว่รีบอธิบาย
การอธิบายนี้ทำให้ทุกคนแตกตื่น
ซูจือเยว่ออกตัวแทนกู้เสี่ยวหวาน
ตอนที่พูดแทนเสี้ยนจู่อันผิง การกระทำนั้นทำให้ท่านแม่ขุ่นเคือง
ใบหน้าของซูหมิ่นดำเหมือนก้นหม้อ นางมองซูจือเยว่และกู้เสี่ยวหวานไปมา สายตาของเขาทำให้ทุกคนประหลาดใจ
กู้เสี่ยวหวานคิดไม่ถึงว่า เพื่อตนเองแล้ว ซูจือเยว่ถึงกลับโต้ตอบกลับมารดา ดังนั้นจึงอดไม่ได้ที่จะเหลือบมองซูจือเยว่ด้วยความประหลาดใจ
และก็เห็นเขาเหลือบมองมาที่นางอย่างเขินอาย รอยยิ้มเล็ก ๆ ปรากฏขึ้นที่มุมปาก หากแต่มันรวดเร็วจนคนอื่นมองไม่เห็น จากนั้นหันกลับไปมองที่ฮูหยินซูและรอคำตอบ
ในใจของฮูหยินซูเริ่มคิดอย่างหนัก หากตอนนี้นางยังไม่สามารถเดาใจของลูกชายได้ เช่นนั้นหลายปีมานี้ก็ชีวิตในฐานะแม่มาอย่างไร้ประโยชน์
ซูจือเยว่คลานออกมาจากท้องของนาง เขากำลังคิดอะไรอยู่ ทำไมนางจะไม่รู้
“จือเยว่ คนผู้นี้ยอมรับแล้วว่าเป็นนางที่ไม่ระวังจนทำให้เสื้อของเสี้ยนจู่อันผิงเปียก เป็นความผิดของสาวใช้ต่ำต้อยคนนี้ เจ้ายังจะพูดอะไรอีก” ฮูหยินซูมองซูจือเยว่พร้อมถามด้วยรอยยิ้มและส่งสัญญาณเตือน
…………….