ทะลุมิติไปเป็นสาวนาผู้ร่ำรวย - บทที่ 1551 โหดเหี้ยมอำมหิต
บทที่ 1551 โหดเหี้ยมอำมหิต
หัวใจของเขาเต้นระรัวราวกับถูกปีศาจเข้าสิง ทันใดนั้น เขาก็ถอดจี้หยกบริเวณเอวออก แล้วยื่นให้กู้เสี่ยวหวานและเอ่ยเบา ๆ ว่า “ผ้าไหมหลิวเซียงของท่านเสี้ยนจู่หายากจริง ๆ แม้ว่าจี้หยกบนร่างกายของข้าจะไม่ได้ล้ำค่านัก แต่ข้าใส่มันมาตั้งแต่เด็ก ท่านอย่ารังเกียจไปเลย โปรดรับจี้หยกนี้ไว้แทนคำขอโทษของข้า”
กู้เสี่ยวหวานมองไปที่จี้หยกชิ้นนั้น มันคือจี้หยกที่ห้อยติดตัวซูจือเยว่ตลอดเวลา
เมื่อครู่นี้ซูเฉียนเยว่เอ่ยขอจี้หยกชิ้นนี้ให้หมิงตูจวิ้นจู่ แต่ซูจือเยว่ปฏิเสธอย่างเด็ดขาด บอกว่าจี้หยกนั้นเก่าแล้วและไม่คู่ควรกับหมิงตูจวิ้นจู่
ทว่าตอนนี้เขากลับเอามันมามอบให้กู้เสี่ยวหวาน
อย่างไรก็ตาม ในสมัยโบราณที่เคร่งครัดเรื่องประเพณีเช่นนี้ การรับของส่วนตัวของผู้ชายคนอื่นกลับไปด้วยย่อมไม่ใช่เรื่องที่ดี
กู้เสี่ยวหวานยิ้ม โค้งคำนับ และปฏิเสธอย่างรักษามารยาท “จี้หยกนี้ที่นายน้อยซูถืออยู่เป็นตัวแทนของท่าน หากมอบให้กับเสี่ยวหวาน เกรงว่ามันคงจะไม่เหมาะสม นายน้อยซูนำมันกลับไปเสียเถิด”
อย่างไรก็ตาม ซูจือเยว่ยังไม่ยอมแพ้ เขาก้าวไปข้างหน้าและวางมันลงในมือของกู้เสี่ยวหวาน “จี้หยกนี้เป็นตัวแทนของข้า หากมีเรื่องอะไรในอนาคต ท่านสามารถมาหาข้าพร้อมจี้หยกได้ ข้าจะปกป้องท่านด้วยชีวิต”
เมื่อได้ยินสิ่งที่เขาพูด กู้เสี่ยวหวานก็ทนไม่ได้อีกต่อไป นางชักมือกลับมาไพล่หลังแล้วพูดอย่างเย็นชาว่า “นายน้อยซู มีคำกล่าวว่าผู้ชายและผู้หญิงไม่สามารถใกล้ชิดกันได้ นายน้อยซูมีการศึกษาที่ดีและมีความสามารถ ข้าคิดว่าท่านน่าจะรู้ข้อนี้ดี แต่ตอนนี้ ท่านกำลังยกจี้หยกส่วนตัวของท่านให้ข้าต่อหน้าสาธารณชน ท่านมีเหตุผลอะไรกันแน่”
“จือเยว่ไม่ได้มีเจตนาร้ายใด ๆ ข้าแค่มีความรู้สึกผิดมากมายต่อท่านเสี้ยนจู่ จี้หยกนี้ข้าสวมใส่ตั้งแต่ยังเด็ก พระอาจารย์ฮุ่ยหย่วนได้ให้มาเพื่อแคล้วคลาดจากภัย
พิบัติ”
“ข้าขอโทษนายน้อยซู เสี่ยวหวานไม่เชื่อเรื่องภูตผีและเทพเจ้า และไม่เชื่อว่าจี้หยกเล็ก ๆ นี้จะสามารถกำหนดชีวิตและความตายของข้าได้ นายน้อยซูควรเก็บจี้หยกไว้และมอบให้กับคนที่ต้องการมัน ถ้าไม่มีอะไรแล้ว เสี่ยวหวานขอตัวก่อน” หลังจากพูดจบ นางก็โค้งคำนับและขึ้นไปบนรถม้าโดยมีอาจั่วคอยประคองไว้ โดยไม่หันกลับไปมองด้านหลัง
ซูจือเยว่ต้องการจะพูดอย่างอื่น จึงเตรียมที่จะก้าวไปข้างหน้า หากแต่อาโม่ก็รีบก้าวลงจากรถม้าแล้วยืนอยู่ข้างหน้าซูจือเยว่ อาโม่ยื่นมือออกไปหยุดเขาพลางพูดอย่างระมัดระวัง “นายน้อยซู ได้โปรดหลีกทางให้เราด้วย”
ซูจือเยว่เป็นผู้ฝึกศิลปะการต่อสู้ กลิ่นอายแข็งแกร่งที่เล็ดลอดออกมาจากบุคคลนี้ทำให้ซูจือเยว่ต้องมองอีกครั้ง
ซูจือเยว่เห็นว่าบุคคลนี้มีรูปร่างสูงและดูปราดเปรี้ยว ร่างกำยำสวมเสื้อคลุมสีคราม ช่วงไหล่กว้างและเอวคอดกิ่ว เขาเป็นคนที่เอาชนะองครักษ์ส่วนตัวของซูหมิ่นที่วัดกว่างหยวนได้ในครั้งนั้น
ซูจือเยว่เคยเห็นศิลปะการต่อสู้ของชายคนนี้มาก่อน ดังนั้นเขาจึงเกิดความสงสัย
ชายผู้นี้มีทักษะศิลปะการต่อสู้ที่แข็งแกร่ง เขาไม่เหมือนองครักษ์ทั่วไป หากฮ่องเต้มอบองครักษ์ให้ฮู้กั๋วจวิ้นจู่ เหตุใดจึงดีกว่าของหมิงตูจวิ้นจู่มากนัก?
ซูจือเยว่รู้สึกงงงวย ในขณะที่เขากำลังสงสัย อาโม่ก็กระโดดขึ้นม้าไปแล้ว
รถม้าเคลื่อนตัวออกไปอย่างช้า ๆ และวิ่งไกลออกไปจนหายลับไปบนถนน เขามองไปที่จี้หยกในมือและลูบมันอยู่อย่างนั้น
เขาไม่ได้สังเกตเลยสักนิดว่า ไม่ไกลจากตรงนี้มีรถม้าคันหรูหราจอดอยู่ที่หัวมุมถนน มือคู่หนึ่งยกม่านขึ้น ดวงตาเปล่งประกายของนางเต็มไปด้วยความโกรธและเกลียดชัง
นางไม่ได้ในสิ่งที่ขอ แต่เขากลับให้มันกับคนอื่น
ทำไมกัน…
กู้เสี่ยวหวาน ทำไมเจ้าถึง…
ดวงตาแห่งความเคียดแค้นคู่นั้นราวกับดวงตาของงูพิษและเต็มไปด้วยเจตนาฆ่าอันแรงกล้า และเมื่อม่านถูกลดระดับลง ดวงตาที่สดใสแต่ชั่วร้ายเหล่านั้นก็ถูกปิดลง
“กลับบ้าน”
รถม้าสุดหรูเคลื่อนตัวข้ามหัวมุมถนนอย่างช้า ๆ ทิ้งชายที่ยังคงยืนอยู่หน้าประตูจวนด้วยความงุนงง
กู้เสี่ยวหวาน ถ้าข้าไม่ได้ครอบครอง เจ้าก็ต้องไม่ได้เช่นกัน
หากข้าไม่ต้องการ ข้าก็จะทำลายมัน
รถม้าของตระกูลถานยังคงแล่นอยู่บนท้องถนน ภายในรถม้านั้นเงียบสนิท กู้เสี่ยวหวานและถานอวี้ซูไม่ได้พูดคุยอะไรกันตลอดทาง
ดวงตาคู่หนึ่งมองไปที่กู้เสี่ยวหวานอย่างประหม่า เต็มไปด้วยความรู้สึกผิดและโทษตัวเอง
นางแค่อยากพากู้เสี่ยวหวานออกมาเปิดหูเปิดตา เดิมทีนางแค่ต้องการฟังบทกวีและเพลงในเมืองหลวงอย่างเงียบ ๆ แล้วจากไป แต่นางไม่คาดคิดว่าจะเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น
“เจ้าไม่ต้องขอโทษเรื่องนี้ ไม่มีใครรู้ว่าเรื่องแบบนี้จะเกิดขึ้น” กู้เสี่ยวหวานไม่โทษถานอวี้ซู
อาอวี้และอาจั่วกำลังชงชาอยู่หน้าโต๊ะเตี้ย โดยมีอาชิงคุกเข่าอยู่ด้านข้าง ดูเหมือนว่ากำลังปัดฝุ่นออกจากโต๊ะด้วยท่าทางจริงจัง
อาจั่วยังคงมีท่าทางนิ่งสงบและสังเกตปฏิกิริยาของอาชิงอย่างระมัดระวัง
“ซูหมิ่นคนนี้ ทำไมนางถึงเกรี้ยวกราดเช่นนี้ ครั้งล่าสุดเป็นเพียงความผิดพลาดที่ไปรบกวนนางและซูจือเยว่โดยไม่ได้ตั้งใจ ทำไมนางถึงเอาแต่ยึดติดกับเรื่องนี้ น่ารังเกียจจริง ๆ” ถานอวี้ซูพูดด้วยความโกรธ
กู้เสี่ยวหวานชำเลืองมองอีกฝ่าย เมื่อเห็นท่าทางไม่พอใจของถานอวี้ซู และนึกถึงการทะเลาะกันระหว่างถานอวี้ซูกับซูหมิ่นเพราะพยายามปกป้องตนเอง กู้เสี่ยวหวานก็รู้สึกอบอุ่นในใจ
แต่ซูหมิ่นคนนี้ เกรงว่ากู้เสี่ยวหวานจะต้องจัดการกับอีกฝ่ายแล้วจริง ๆ
ใช่แล้ว ทำไมถึงต้องมีเรื่องให้นางลำบากใจอยู่ตลอดเลยนะ
อาจเป็นเพราะซูจือเยว่มองตัวเองอย่างนั้นหรือ?
“หมิงตูจวิ้นจู่เป็นแบบนี้มาตลอดเลยหรือ” กู้เสี่ยวหวานถาม
ถานอวี้ซูดูเหมือนจะนึกถึงบางอย่างขึ้นมาได้ ในดวงตาจึงเต็มไปด้วยอาการตื่นตระหนก
“ข้ายังจำได้ว่าเมื่อสองปีที่แล้ว ซูหลินผู้เป็นลูกชายของหมิงอ๋อง พี่ชายของซูหมิ่นตกหลุมรักนักแสดงคนหนึ่ง นางร้องเพลงได้ดีมาก เขาเลยอยากจะได้นางมาเป็นของตัวเอง แต่จะรู้ได้อย่างไรว่านักแสดงคนนั้นหยิ่งยโส และบอกว่าตัวเองมีคนรักซึ่งเป็นบัณฑิตที่ยากจน เพราะเช่นนั้นจึงทำให้ซูหลินโกรธเคืองเป็นอย่างมาก ในฐานะที่ตัวเองเป็นผู้สืบทอด บัณฑิตที่ยากจนคนนั้นจะเทียบกับตัวเองได้อย่างไร ดังนั้นเขาจึงอยากจะล่วงเกินผู้หญิงคนนั้น แต่ใครจะรู้ว่าผู้หญิงคนนั้นยอมตายเพื่อรักษาพรหมจรรย์ เจอเหตุการณ์แบบนี้ นางจึงขอตายเสียดีกว่า”
…………….