ทะลุมิติไปเป็นสาวนาผู้ร่ำรวย - บทที่ 1554 พี่สาวน้องสาวที่รักใคร่
…………….
บทที่ 1554 พี่สาวน้องสาวที่รักใคร่
เมื่อได้ยินว่าเป็นเช่นนั้น กู้เสี่ยวอี้ก็ถอนหายใจยาวด้วยความโล่งอก ใบหน้าเล็กที่ซีดเซียวจากความกลัวก็กลับมามีเลือดฝาดอีกครั้ง กู้เสี่ยวอี้จับมือของกู้เสี่ยวหวานและพูดอย่างฉุนเฉียวว่า “ท่านพี่ ทำไมท่านถึงพูดแบบนั้น ท่านคือพี่สาวของข้า ไม่ว่าท่านจะอยู่ที่ไหน ข้าก็จะไปกับท่าน นับประสาอะไรกับการเราจะกลับไปที่เมืองหลิวเจีย แม้ว่าท่านจะกลับไปที่หมู่บ้านอู๋ซี ท่านพี่อยู่ที่ไหน เสี่ยวอี้ก็จะอยู่กับท่าน เสี่ยวอี้จะไม่มีวันแยกจากท่านพี่ตลอดไป”
หลังจากพูดจบ นางก็เอนตัวเข้าไปอ้อมแขนของกู้เสี่ยวหวาน และเอาหน้าถูกับแขนของกู้เสี่ยวหวานอย่างออดอ้อนเหมือนลูกสุนัขที่ไม่ต้องการจากเจ้านายของตัวเอง
“เด็กโง่ เจ้าหมายความว่าเจ้าไม่อยากแต่งงานอย่างนั้นหรือ แต่ข้ายังอยากแต่งงานอยู่นะ” เมื่อถึงจุดหนึ่ง กู้ฟางสี่ก็เดินเข้ามาพร้อมกับขนมในถาดที่ทำขึ้นอย่างประณีต และได้ยินกู้เสี่ยวอี้พูดว่าต้องการที่จะอยู่กับกู้เสี่ยวหวานตลอดไป นางอดไม่ได้ที่จะพูดอย่างโกรธเคือง “ถ้าพี่สาวของเจ้าแต่งงานไปแล้ว ยังต้องพาเจ้าไปด้วยอย่างนั้นหรือ”
“ทำไมจะไม่ได้ล่ะ” กู้เสี่ยวอี้ดันตัวออกจากอ้อมแขนของกู้เสี่ยวหวานและมองไปที่กู้ฟางสี่ด้วยใบหน้าสับสน “ถ้าข้าบอกพี่ใหญ่ฉินว่าข้าต้องการไปกับท่านพี่ พี่ใหญ่ฉินจะต้องตอบตกลงอย่างแน่นอน”
เมื่ออาจั่วได้ยินสิ่งนี้ก็ปิดปากและหัวเราะ
หลังจากกู้ฟางสี่ได้ยินสิ่งนี้ก็ยกมือขึ้น แสร้งทำเป็นเหมือนจะตีกู้เสี่ยวอี้ “เจ้าเด็กโง่ หากพี่สาวของเจ้าแต่งงานแล้ว เจ้าจะตามไปได้อย่างไร?”
“ทำไมล่ะ?” กู้เสี่ยวอี้ไม่เข้าใจและรู้สึกสับสนเล็กน้อย “ข้าไม่อยากแยกจากท่านพี่ ถ้าข้าไปกับท่านพี่ด้วยจะเป็นอะไร”
ตอนนี้แม้แต่กู้เสี่ยวหวานก็ยังปิดปากและคลี่ยิ้มกว้าง
นางรู้ว่ากู้เสี่ยวอี้ไม่ต้องการแยกจากนาง แต่ก็ไม่คิดว่าท่านอาจะพูดเรื่องนี้ ดังนั้นจึงรีบเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ท่านอา อย่าล้อเล่นกับเสี่ยวอี้ ถ้านางเจอคนที่นางชอบในอนาคต ข้าจะอยู่อย่างไร”
เมื่อกู้เสี่ยวอี้ได้ยินสิ่งนี้ก็หันศีรษะและมองเสี่ยวหวานอย่างตำหนิ แก้มกลม ๆ ขึ้นสีแดงอมชมพูดูอ่อนโยนและเต็มไปด้วยเสน่ห์
กู้เสี่ยวหวานมองมันพลางเอ่ยว่า “ว่ากันว่าผู้หญิงจะมีการเปลี่ยนแปลงในปีที่สิบแปดของชีวิต และเสี่ยวอี้ของข้าก็สวยขึ้นเรื่อย ๆ อีกไม่กี่ปีหากเจ้าเติบโตขึ้น ข้าก็ไม่รู้ว่าจะมีชายสักกี่คนที่หลงใหลเจ้า”
“ท่านพี่ ท่านกำลังล้อเสี่ยวอี้อีกแล้ว” เมื่อได้ยินเช่นนี้ กู้เสี่ยวอี้ก็กระทืบเท้าด้วยความเขิน และวิ่งออกจากห้องไปอย่างว่องไว
เมื่อเห็นกู้เสี่ยวอี้วิ่งออกจากห้องไปอย่างเขินอาย รอยยิ้มที่เคยอยู่บนใบหน้าสวยก็หายไป กู้เสี่ยวหวานมองไปที่กู้ฟางสี่อีกครั้งและเอ่ยอย่างจนปัญญา “ท่านอา ข้าเกรงว่าเราต้องออกจากเมืองหลวงโดยเร็วที่สุด”
“เกิดอะไรขึ้น เสี่ยวหวานเกิดอะไรขึ้นในงานเลี้ยงครั้งนี้?” กู้ฟางสี่ถามอย่างประหม่าเมื่อได้ยินสิ่งนี้ จากนั้นยื่นปิ่งดอกบัวชิ้นหนึ่งและโจ๊กรังนกที่เย็นลงหนึ่งถ้วยให้หลานสาว
กู้เสี่ยวหวานมองไปที่กู้ฟางสี่ ตนยังไม่ได้บอกเรื่องนี้กับเสี่ยวอี้เพราะกลัวว่ากู้เสี่ยวอี้ยังเด็กเกินไปที่จะเข้าใจเรื่องนี้ แต่สมาชิกในครอบครัวต้องรู้เรื่องนี้ เพราะไม่รู้ว่าวันหนึ่งซูหมิ่นผู้โหดเหี้ยมผู้นั้นจะทำอะไรกับครอบครัวของตนเองบ้าง
กู้เสี่ยวหวานไม่ได้พูดสิ่งใดให้มากความ แต่อธิบายว่าหมิงตูจวิ้นจู่มีอคติกับนางและไม่ชอบนางมาก ๆ ทั้งยังย้ำว่าหญิงสาวคนนี้มีนิสัยโหดเหี้ยม และนางไม่รู้ว่าคนผู้นี้จะทำอะไรกับตัวเองบ้าง
เมื่อกู้ฟางสี่ได้ยินสิ่งนี้ก็ได้แต่ตกใจ “ถ้าอย่างนั้นเสี่ยวหวาน เรารีบออกจากเมืองหลวงโดยเร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ หมิงตูจวิ้นจู่ผู้นั้นโหดเหี้ยมและไร้ความปรานี ข้าเกรงว่านางจะไม่ปล่อยเจ้าไป”
กู้เสี่ยวหวานพยักหน้าและปลอบโยน “ท่านอา ข้ารู้ แต่เรามาที่นี่เพื่อเข้าเฝ้าไทเฮา และยังเหลือเวลาอีกสองเดือนกว่าจะถึงวันนั้น เราแค่ต้องผ่านสองเดือนนี้ไปให้ได้อย่างปลอดภัย หลังจากถวายของขวัญแด่ไทเฮาแล้ว เราจะกลับไปที่เมืองหลิวเจียและจะไม่กลับมาที่เมืองหลวงอีก”
ตราบใดที่หมิงตูจวิ้นจู่ยังไม่แต่งงานกับซูจือเยว่ เกรงว่าซูหมิ่นจะไม่ปล่อยนางไป ดังนั้นตนจึงหวังว่าซูจือเยว่จะไม่สนใจตัวเอง และวันนี้ตัวเองได้ปฏิเสธซูจือเยว่ไปแล้ว หวังว่าซูจือเยว่ที่หยิ่งหยิ่งยโสจะเลิกสนใจตัวเองเสียที
กู้เสี่ยวหวานคิดอย่างรอบคอบ แต่นางไม่รู้ว่า แม้ซูจือเยว่คนนี้จะเกิดมาพร้อมกับช้อนเงินช้อนทองและไม่เจอมีปัญหาใด ๆ ในชีวิต แต่เขาก็ยังกล้าแสดงออกอย่างมั่นใจ และสิ่งที่เขาเชื่อจะไม่มีวันเปลี่ยนแปลง
เหมือนกับว่าถ้าเขาไม่ชอบซูหมิ่น เขาก็จะไม่มีวันชอบนางเด็ดขาด แม้ว่านางจะยอมทิ้งสถานะจวิ้นจู่เพื่อเอาใจเขาและเข้าใกล้เขาก็ตาม
ขณะเดียวกัน บ้านตระกูลซูอยู่ในสภาวะตึงเครียด
รถม้าแล่นไปไกลแล้ว ซูจือเยว่ยังคงถือจี้หยกนั้นไว้ในมือ เฝ้าดูทิศทางที่รถม้าของกู้เสี่ยวหวานแล่นออกไปด้วยความงุนงง จนกระทั่งหน่วนชิวสาวใช้ข้างฮูหยินซูเอ่ยเรียก เขาจึงได้สติขึ้นมา
“เจ้าบอกว่าท่านแม่ให้มาตามข้าหรือ” ซูจือเยว่ถามด้วยความงุนงง
“ฮูหยินรอนายน้อยอยู่นานแล้วเจ้าค่ะ” หน่วนชิวก้มศีรษะลงเล็กน้อย ไม่กล้าสบตาซูเยว่จือแม้แต่น้อย
“หมิงตูจวิ้นจู่อยู่ที่ไหน?” ซูจือเยว่ก้าวเท้าเดินเข้าไปในบ้าน ทันใดนั้นก็นึกถึงบางสิ่ง ขึ้นมาและถามอย่างระมัดระวังเล็กน้อย
“เจ้าคะ?…” หน่วนชิวเงยหน้าขึ้นด้วยความประหลาดใจเมื่อได้ยินเช่นนั้น และเมื่อเห็นท่าทางของซูจือเยว่ จึงถามกลับด้วยความสงสัย “จวิ้นจู่ออกไปนานแล้วไม่ใช่หรือเจ้าคะ? ตอนที่ฮู้กั๋วจวิ้นจู่ออกไป หมิงตูจวิ้นจู่ก็ตามออกไปติด ๆ ฮูหยินกับคุณหนูจะไปส่งจวิ้นจู่ แต่จวิ้นจู่บอกว่านางรู้จักที่นี่ดีและบอกให้ฮูหยินกลับไปพักผ่อน จากนั้นจวิ้นจู่จึงออกไป”
ซูจือเยว่รู้สึกราวกับถูกสายฟ้าฟาด
“เจ้าหมายความว่านางออกไปจากที่นี่แล้ว?” ซูจือเยว่ถามด้วยความงุนงง มองไปรอบ ๆ อย่างไม่เชื่อ
หน่วนชิวพยักหน้า “ใช่แล้วเจ้าค่ะ”
หมิงตูจวิ้นจู่เป็นจวิ้นจู่ นางมีเกียรติมากกว่านายท่าน ถ้านางไม่ออกทางประตูหน้า นางก็ต้องออกทางประตูหลัง
ใบหน้าของซูจือเยว่ซีดลง
ตอนที่รถม้าของฮู้กั๋วจวิ้นจู่หยุดอยู่ที่ประตู ถ้าซูหมิ่นออกไปแล้ว ๆ…
ซูหมิ่นก็ต้องเห็นและได้ยินทุกสิ่งที่เขาพูดกับกู้เสี่ยวหวานในเมื่อครู่ และด้วยนิสัยของซูหมิ่นนั้น เมื่อซูจือเยว่คิดเรื่องนี้ก็ราวกับคิดถึงสิ่งที่น่ากลัว เขารู้สึกเหมือนมีงูพิษกำลังเลื้อยขึ้นมาที่เอว หลัง และศีรษะทีละนิด ๆ
จากนั้นงูพิษก็ขู่ฟ่อออกมา
สายลมกระโชกแรงพัดพาความหนาวเย็นในช่วงปลายฤดูใบไม้ร่วงมาปะทะกับร่างกายของเขา
…………….