ทะลุมิติไปเป็นสาวนาผู้ร่ำรวย - บทที่ 1595 พูดคุยในยามค่ำคืน
บทที่ 1595 พูดคุยในยามค่ำคืน
…………….
บทที่ 1595 พูดคุยในยามค่ำคืน
กู้เสี่ยวหวานขยับตัวแล้วลุกขึ้นจนเกิดเสียงดัง อาจั่วจึงเอ่ยถามขึ้นทันที “คุณหนู เกิดอะไรขึ้น”
ก่อนที่กู้เสี่ยวหวานจะตอบ แต่ก็ได้ยินอาจั่วพูดอย่างมีความสุขว่า “คุณหนู นายน้อยฉินกลับมาแล้ว”
พี่เย่จือกลับมาแล้ว
ผ่านไปไม่ถึงครึ่งเดือนตั้งแต่ครั้งสุดท้ายที่เขาจากไป ทำไมเขาถึงกลับมาเร็วกว่ากำหนด อย่างไรก็ตาม เมื่อได้ยินว่าเขากลับมาแล้ว ความหดหู่ในใจของกู้เสี่ยวหวานก็สลายไปทันที นางวิ่งไปเปิดประตูโดยไม่ได้คิด และไม่มีเวลาแม้แต่จะใส่รองเท้า
เมื่อวิ่งไปที่ประตู ทันทีที่เปิดประตูก็เห็นคนที่ตัวเองคิดถึงยืนอยู่นอกประตู
กู้เสี่ยวหวานคว้าอีกฝ่ายเข้ามาในอ้อมกอดของตนเองโดยไม่แม้แต่จะสนใจอาจั่วที่อยู่ด้านข้าง
ฉินเย่จือกอดคนในอ้อมแขนและมองไปที่อาจั่ว อาจั่วรีบลดศีรษะลงและหายตัวไปจากทางเดินทันที
ฉินเย่จือโอบรอบเอวกู้เสี่ยวหวาน พลางลูบผมยาวนุ่มสลวยสีดำขลับราวกับน้ำหมึกของลูกแมวในอ้อมแขน
คนในอ้อมแขนของเขานิ่งเงียบราวกับออดอ้อน คลอเคลียในอ้อมแขนของฉินเย่จือโดยไม่ส่งเสียง เมื่อนึกถึงสิ่งที่เขาได้ยินวันนี้ ฉินเย่จือก็รู้ว่าทำไมกู้เสี่ยวหวานถึงมีอาการเช่นนี้ ดังนั้นเขาจึงทำได้เพียงลูบผมยาวของนางโดยไม่พูดอะไรสักคำ
เมื่อคนในอ้อมแขนของเขาตัวเริ่มตัวสั่นอย่างควบคุมไม่ได้ ฉินเย่จือก็ลดศีรษะลงและตระหนักว่าลูกแมวยืนอยู่บนพื้นด้วยเท้าเปล่า ฉินเย่จือจึงได้แต่ตำหนิตนเองในใจ เขาอุ้มกู้เสี่ยวหวานขึ้นและก้าวเข้าไปในห้อง จากนั้นวางอีกฝ่ายลงบนเตียง
หัวใจของเขายังเป็นกังวล จึงจับเท้าของลูกแมวขึ้นและใช้อุณหภูมิของฝ่ามือทำให้เท้าของนางอุ่นขึ้น
“เด็กโง่ ทำไมถึงไม่ใส่รองเท้าเล่า ถ้าเป็นหวัดขึ้นมาจะทำอย่างไร” อุณหภูมิบนฝ่าเท้าของนางเริ่มอุ่นขึ้น และในที่สุดฉินเย่จือก็รู้สึกโล่งใจ
กู้เสี่ยวหวานกึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนเตียง ทำเพียงมองไปที่ฉินเย่จืออย่างแน่วแน่ เท้าเล็กของนางถูกกุมไว้ในฝ่ามือใหญ่ของฉินเย่จือและความอบอุ่นจากฝ่ามือของเขาทำให้กู้เสี่ยวหวานอบอุ่นจากเท้าของนางถึงศีรษะ
วันนี้มีหลายสิ่งหลายอย่างเกิดขึ้น นางไม่ได้เตรียมการใด ๆ ความตึงเครียดที่มีก็ผ่อนคลายลงเพียงเล็กน้อย
นางมองไปที่ฉินเย่จือ ดวงตาของนางเต็มไปด้วยความอ่อนโยน จนกระทั่งฉินเย่จือรู้สึกว่าเท้าในฝ่ามือของตัวเองไม่เย็นอีกต่อไป จากนั้นจึงค่อย ๆ วางเท้านางลงใต้ผ้าห่ม จากนั้นยกผ้านวมขึ้นและกึ่งนั่งกึ่งนอนโดยมีกู้เสี่ยวหวานอยู่ในอ้อมแขน
กู้เสี่ยวหวานเอนกายพิงแขนของเขาอย่างคุ้นเคย ก่อนก้มหน้าซบลงตรงหน้าอกของเขา ทำให้รู้สึกถึงการเต้นของหัวใจที่รุนแรงของฉินเย่จือได้อย่างชัดเจน ซึ่งทำให้หัวใจของนางสั่นไหว
“พี่เย่จือ” กู้เสี่ยวหวานเงยหน้าขึ้น ตามด้วยริมฝีปากอุ่นขยับเข้าไปใกล้
ทันทีที่ริมฝีปากทั้งสองสัมผัสกัน กู้เสี่ยวหวานก็รู้สึกราวกับว่าสติของนางถูกเขาดึงไปอีกครั้ง กลิ่นหอมและอุณหภูมิระหว่างริมฝีปากทำให้นางสับสน
นางขยับท่าทางเอนกายลงบนหน้าอกของฉินเย่จืออีกครั้งและโอบรอบคอของเขาไว้ จนไม่เหลือช่องว่างระหว่างกัน
ฉินเย่จือสอดมือเข้าไปในเรือนผมสีดำราวกับน้ำหมึก ริมฝีปากสีดอกกุหลาบและกลิ่นที่คุ้ยเคย เขาคิดถึงเหลือเกิน แม้ว่าจะเพิ่งผ่านมาไม่กี่วันก็ตาม แต่ในความคิดของเขามันยาวนานหลายปี
หลังจากจูบจนพอใจ ฉินเย่จือก็ปล่อยนางไป หากแต่เขากลับนิ่งงันไม่ขยับเขยื้อน เขากอดคนในอ้อมแขนแน่นและพยายามอย่างดีที่สุดเพื่อควบคุมอารมณ์ที่พุ่งสูงขึ้นราวกับคลื่นยักษ์
แต่กู้เสี่ยวหวานไม่ได้สังเกตอะไรเลย นางแค่รู้สึกว่าเป็นโชคดีที่สุดที่ได้เจอฉินเย่จือในคืนนี้ ตราบใดที่นางได้อยู่กับเขา ความเศร้าทั้งหมดจะหายไปในทันที เช่นเดียวกับในตอนนี้นางสามารถนอนอย่างสงบในอ้อมแขนของเขา ฟังเสียงหัวใจที่เต้นแรงซึ่งดูเหมือนว่าในตอนนี้จะเต้นเร็วกว่าเดิม
“พี่เย่จือ ทำไมวันนี้ถึงกลับมา?” กู้เสี่ยวหวานถามพลางเงยหน้าขึ้นมองไปที่ฉินเย่จือด้วยดวงตาพร่ามัวและริมฝีปากที่แดงก่ำ
ความสับสนเช่นนี้ภายใต้ไข่มุกราตรี กู้เสี่ยวหวานดูสวยงามราวกับดอกกุหลาบ
ฉินเย่จือรู้สึกเพียงว่าลำคอบีบตันขึ้น ช่องท้องส่วนล่างของเขาดูเหมือนจะมีกระแสน้ำเย็นไหลผ่าน ร่างกายของเขาแข็งทื่อเหมือนก้อนหิน เขาแอบส่ายหัวและยิ้มอย่างขมขื่น ขยับร่างกายออกไปด้านข้างเล็กน้อย จากนั้นม้วนผมยาวสีน้ำหมึกของนางพลางถามด้วยเสียงแหบแห้ง “ข้ารู้เรื่องร้านจิ่นฝูมาจากในวัง”
“โหยวกุ้ยเฟยคนนั้นหรือเปล่า” กู้เสี่ยวหวานถามอย่างประหม่าเมื่อได้ยินสิ่งนี้
ฉินเย่จือเงยหน้าขึ้นและบอกกู้เสี่ยวหวานทุกสิ่งที่เขาได้ยิน “ข้าได้ยินมาว่าโหยวกุ้ยเฟยคุกเข่าอยู่หน้าตำหนักของฮ่องเต้ เพื่อขอให้ฮ่องเต้หาความยุติธรรมให้น้องชายตนเอง แต่นางบอกว่าน้องชายของนางถูกใส่ร้ายและถูกสังหารโดยคนของร้านจิ่นฝู และนางต้องการล้างแค้นให้น้องชายของนางก่อนที่กองกำลังรักษาความสงบจะไขคดีได้”
“ฮ่องเต้เห็นด้วยหรือ” กู้เสี่ยวหวานขมวดคิ้วแน่นและรู้สึกประหม่าอย่างมาก
เมื่อเห็นท่าทางกังวลของนาง ฉินเย่จือก็รู้สึกไม่สบายใจอย่างมาก แต่เขาไม่สามารถออกมาช่วยนางแก้ปัญหานี้ได้ ตอนนี้นางต้องพึ่งพาตัวเอง “ไม่ ฮ่องเต้สั่งให้หนีปิ่งตามหาฆาตกรภายในสามวัน”
“ผู้บัญชาการหนีตกจากหลังม้าและยังไม่ได้สติ” กู้เสี่ยวหวานกล่าวด้วยความโกรธ
ฉินเย่จือพยักหน้า “รองผู้บัญชาการที่รับผิดชอบคดีนี้คือเซี่ยงหย่วนหลิน และเขากับลวี่เทาถือว่าเป็นญาติกัน”
กู้เสี่ยวหวานพยักหน้า “ข้ายังได้ยินมาว่าคนผู้นี้ดูสง่างาม แต่จิตใจของเขามืดมน เขาถือว่าชีวิตมนุษย์ไร้ค่า ถ้าได้ตกอยู่ในเงื้อมมือของเขา เกรงว่าคงจะเกิดความสูญเสียครั้งใหญ่ ข้ากลัวว่าคนในร้านจิ่นฝูจะไม่สามารถทนได้”
ฉินเย่จือพยักหน้า “นั่นคือสิ่งที่ข้ากังวล”
“พี่เย่จือ ข้าไม่เชื่อว่าลุงหลี่จะวางยาคนอื่น แล้วท่านล่ะ?”
“ข้าก็ไม่เชื่อเหมือนกัน” ฉินเย่จือกล่าวอย่างหนักแน่น
“แต่แล้วทำไมถึงมีคนตายในร้านจิ่นฝูล่ะ?” กู้เสี่ยวหวานถามด้วยเสียงแผ่วเบา
…………….