ทะลุมิติไปเป็นสาวนาผู้ร่ำรวย - บทที่ 1635 ข้าไม่เชื่อในโชคชะตา
บทที่ 1635 ข้าไม่เชื่อในโชคชะตา
“เสียชีวิตไปแล้วหรือ?” เห็นได้ชัดว่าขันทีฉีแทบไม่เชื่อหูตัวเอง “ข้าน้อยได้ยินมาว่าท่านมีน้องชายฝาแฝดสองคน และน้องสาวอีกหนึ่งคน ท่านเลี้ยงดูพวกเขาอย่างไรหรือ?”
“น้องชายและน้องสาวของข้าเชื่อฟังมาก แม้ว่าเราจะไม่ได้รับการดูแลจากท่านพ่อท่านแม่ แต่พวกเราก็อยู่รอดกันมาได้ อย่างไรก็ตามตอนนี้เรามีชีวิตที่ดีมาก แต่ท่านพ่อท่านแม่ของเรากลับไม่สามารถได้รับพรนี้ ข้ารู้สึกเสียใจแทนพวกเขา” กู้เสี่ยวหวานกล่าวอย่างเศร้าใจ
เมื่อนางพูดเช่นนั้นออกไป นางก็นึกถึงท่านพ่อท่านแม่ซึ่งทำงานหนักเพื่อนางมาตลอดชีวิต แต่นางไม่เคยทำอาหารให้พวกเขากินและทำให้พวกเขามีความสุขได้เลย
แต่ถ้าพวกเขารู้ว่านางยังมีชีวิตอยู่ พวกเขาก็ต้องอยากเห็นลูกสาวของตนมีความสุข ไม่ใช่ลูกสาวที่โศกเศร้าใช่หรือไม่?
เมื่อกู้เสี่ยวหวานคิดถึงเรื่องนี้ ใบหน้าของนางก็เต็มไปด้วยความเศร้าโศก นางเงยหน้าขึ้นและใบหน้าที่งดงามของนางก็ปรากฏสีหน้าแปลกไป “ถ้าท่านพ่อกับท่านแม่รู้ว่าตอนนี้ข้าและน้องมีความสุข พวกเขาก็จะมีความสุขไปกับเราด้วย ตราบใดที่เรามีชีวิตที่ดี พวกเขาก็จะสบายใจ ตอนนี้สิ่งที่เราทำได้คืออยู่อย่างมีความสุขเพื่อให้พวกท่านสบายใจ”
ใบหน้าของกู้เสี่ยวหวานทั้งโศกเศร้าและเข้มแข็ง และด้วยเขามีประสบการณ์แบบเดียวกันนี้ ยิ่งทำให้ขันทีฉีรู้สึกเห็นอกเห็นใจนาง
เขามองดูหญิงสาวที่เปล่งประกายตรงหน้าอย่างลึกซึ้ง แม้ว่าสีหน้าของเขาจะสงบนิ่ง แต่หัวใจของเขารู้สึกเหมือนถูกคลื่นซัดจนปั่นป่วน
นางเสียท่านพ่อท่านแม่ไปตั้งแต่อายุได้หกขวบ ขณะนั้นน้องชายฝาแฝดของนางอายุเพียงสี่ขวบและน้องสาวของนางน่าจะอายุเพียงสองถึงสามขวบเท่านั้น นางต้องเลี้ยงน้องสามคนเป็นทั้งบิดามารดาในตัวคนเดียว
เขารู้สึกว่าตัวเองอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบากในเวลานั้น และตอนนี้ดูเหมือนว่าผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้าเขานั้น ลำบากยิ่งกว่าเขาในตอนนั้นเสียอีก
นางต้องเลี้ยงดูน้องสามคน ไม่เพียงแค่นั้น แต่ภายใต้สถานการณ์เช่นนั้นนางยังใช้ชีวิตอย่างอิสระและไม่ถูกจำกัด เลี้ยงน้องด้วยตัวคนเดียวและด้วยความสามารถของนางเอง นางจึงได้รับพระราชทานตำแหน่งจากฮ่องเต้
เกียรติยศแบบนี้สำหรับเด็กผู้หญิงที่ไม่มีบิดามารดาให้พึ่งพาแล้ว ทั้งยังต้องเลี้ยงดูน้อง ๆ นางคงต้องทำงานอย่างหนักเพื่อให้บรรลุผลสำเร็จในปัจจุบัน
ขันทีฉีนึกถึงตัวเองอีกครั้ง เมื่อแรกเข้าวัง เขาสิ้นเนื้อประดาตัว ไม่เพียงแต่ต้องทนสายตาของสาวใช้และขันทีในวังเท่านั้น เขายังต้องทนกับการกลั่นแกล้งจากขันทีใจร้ายอีกจำนวนหนึ่ง ครั้งนั้นเขาอยากตายแต่สุดท้ายเขาก็ยังรอดมาได้ ไม่ใช่เพื่อใคร เพียงเพราะเขาได้ผ่านเรื่องยากที่สุดในชีวิตมาแล้ว เขาจะยังกลัวความตายอยู่อีกได้อย่างไร?
ขันทีฉียังรู้สึกเศร้าและเสียใจกับสถานการณ์ของหญิงสาวคนนี้ แต่ในใจของเขา เขารู้สึกชื่นชมต่อหญิงสาวอย่างจริงใจที่นางไม่หลบหนีเมื่อเผชิญกับความทุกข์ยาก และเดินทวนกระแสน้ำเพื่อต่อสู้กับความยากลำบาก
ในเมื่อสวรรค์ปฏิบัติต่อเขาอย่างใจร้าย เขาก็จะไม่เชื่อในโชคชะตานี้ แต่เขาต้องการที่จะก้าวข้ามมันด้วยปัญญาที่ตนมี
ความคิดที่น่าเศร้าของขันทีฉีตอนนี้หายไปแล้ว
เพิ่งได้เจอกันวันนี้ แต่ขันทีฉีมีความรู้สึกว่ากู้เสี่ยวหวานเป็นญาติของเขาไปเสียแล้ว เขาสูญเสียท่านแม่และสูญเสียบ้านไป ตั้งแต่นั้นมาเขาก็พเนจรอยู่คนเดียวในพระราชวังที่โหดร้าย และเหยียบกระดูกคนตายจำนวนมากจนมาถึงตำแหน่งนี้
เขาปีนขึ้นไปในตำแหน่งที่เขาไม่กล้าแม้แต่จะนึกถึงมาก่อน และยืนอยู่ข้างฝ่าบาท ในชีวิตของเขา เขาไม่มีครอบครัวแต่กลับมีอำนาจเหลือล้น
เมื่อก่อนเขาเคยคิดว่า คนอย่างเขาที่เป็นที่โปรดปรานของฮ่องเต้ การติดตามฝ่าบาทก็เหมือนการอยู่กับเสือ ถ้าวันหนึ่งเขาบังเอิญไปเหยียบหนวดเสือ เขาก็จบลงไม่สวย เขายังคงรู้สึกว่าการไม่มีครอบครัวจะเป็นอิสระและสะดวกกว่า
แต่ตอนนี้เขาไม่คิดอย่างนั้น
เขาไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับกู้เสี่ยวหวาน แต่เขามีความปรารถนาที่จะปกป้องนาง
ในพระราชวังแห่งนี้ แม้ว่าเขาจะเป็นเพียงขันทีผู้ต่ำต้อยที่ไม่สามารถแม้แต่จะยืดหลังให้ตรงได้ แต่เขาก็อยากที่จะปกป้องนาง เพื่อให้นางยังคงมีหัวใจที่อ่อนโยนเหมือนดั่งเช่นตอนนี้
“เสี้ยนจู่ ถ้ามีอะไรให้ข้าช่วย โปรดพูดออกมาโดยเร็วที่สุด” ขันทีฉีพูดด้วยรอยยิ้ม น้ำเสียงของเขาเผยให้เห็นถึงความอ่อนโยนและความเมตตา
กู้เสี่ยวหวานไม่ได้สังเกตเห็นความแปลกประหลาดของเขาและพูดว่า “ไม่จำเป็น ขันทีฉีท่านช่วยข้าได้มากแล้ว”
เมื่อเห็นการปฏิเสธของนาง ขันทีฉีก็ไม่รำคาญและไม่ไปไหน เขาแค่ยืนอยู่ในครัวและมองกู้เสี่ยวหวานทำอาหารต่อไป
กู้เสี่ยวหวานจัดของเสียบไม้ออกเป็นหมวดหมู่ต่าง ๆ แล้ววางบนจานที่สะอาด จากนั้นนางก็มองไปที่ขวดเครื่องเทศ ถ่าน และตะแกรงปิ้งย่าง นางคิดว่าคงเป็นไปไม่ได้ที่จะเอามาไว้ที่นี่ และต้องหาที่ที่ดีกว่านี้
เมื่อเห็นว่าขันทีฉียังอยู่ที่นั่น นางจึงรีบถามด้วยความเคารพว่า “ขันทีฉี ข้าต้องการหาสถานที่ที่มีอากาศถ่ายเทและข้าสามารถนั่งลงได้สะดวก ได้หรือไม่”
“แน่นอน” ขันทีฉียิ้มเมื่อเขาเห็นว่านางกำลังขอความช่วยเหลือเขาอยู่ เขาจึงรีบชี้ไปข้างนอกแล้วพูดว่า “มีศาลาอยู่ตรงนั้น ที่นั่นเป็นสถานที่ที่ดี”
เมื่อกู้เสี่ยวหวานได้ยินว่ามันเป็นศาลา มีที่ทำอาหาร ที่กินและที่สำหรับนั่ง ดังนั้นศาลาจึงเป็นตัวเลือกแรกสุด
“ได้ ขันทีฉีช่วยส่งคนมาช่วยข้าย้ายของเหล่านี้ไปที่นั่นสักสองสามคนได้หรือไม่” กู้เสี่ยวหวานชี้ไปที่สิ่งของด้านข้าง และพูดอย่างหมดหนทาง
ขันทีฉีเอามือไพล่หลังและพูดด้วยรอยยิ้ม “เสี้ยนจู่ ข้าน้อยจะช่วยเอง!”
หลังจากพูดจบ ขณะที่กู้เสี่ยวหวานตกตะลึงอยู่ ขันทีฉีก็ถือถ่านและตะแกรงปิ้งย่างในมือข้างหนึ่ง และอีกมือหนึ่งก็ถือกล่องอาหารของกู้เสี่ยวหวานที่เต็มไปด้วยเครื่องปรุง และเดินไปที่ศาลา
กู้เสี่ยวหวานเหลือเพียงจานเนื้อและผักที่นางเสียบไม้ไว้เมื่อครู่ นางจึงเดินถือพวกมันไปที่ศาลา
ขันทีฉีย้ายถ่านและตะแกรงปิ้งย่างไปที่ศาลา และเมื่อเขาหันกลับมา เขาเห็นกู้เสี่ยวหวานนำอาหารสดที่นางเพิ่งเสียบไม้มา เขาอดไม่ได้ที่จะงงงวยเล็กน้อยและถามว่า “ท่านเสี้ยนจู่ สิ่งเหล่านี้เป็นอาหารดิบทั้งหมด ท่านต้องการให้ฮ่องเต้ทานอาหารดิบหรือ”
ฮ่องเต้ไม่เคยทานอาหารดิบ มันเป็นเรื่องแปลกใหม่ แต่…
ขึ้นอยู่กับว่าฮ่องเต้จะกินมันหรือไม่
ใบหน้าของขันทีฉีเต็มไปด้วยความกังวล และเขาทนไม่ได้ที่จะมองดูเนื้อแดงก่ำ
ความแปลกใหม่นี้น่าตกใจเกินไป
……….