ทะลุมิติไปเป็นสาวนาผู้ร่ำรวย - บทที่ 1636 หั่วซาว
บทที่ 1636 หั่วซาว
เมื่อเห็นใบหน้าเป็นกังวลของขันทีฉี กู้เสี่ยวหวานก็รู้ว่าเขาเข้าใจผิดไปไกล ดังนั้นนางจึงรีบพูดด้วยรอยยิ้ม “ขันทีฉี ท่านเข้าใจผิดแล้ว ข้าจะทำอะไร อีกครู่ท่านก็จะรู้ ท่านวางใจเถอะ”
ขันทีฉีเห็นนางบอกว่าไม่ต้องกังวล แต่เขาก็ยังสงสัยอยู่ ถ่านที่เขายกมาเมื่อครู่น่าจะใช้ทำอาหารได้ แต่นางไม่ได้บอกให้เอากระทะเหล็กกับกระบวยไป เขาจึงพูดอีกครั้ง “อย่างนั้นข้าน้อยจะไปหยิบอุปกรณ์ทำอาหารมาให้”
หลังจากพูดจบขันทีฉีกำลังจะจากไป กู้เสี่ยวหวานจึงรีบเรียกเขาเอาไว้ “ขันทีฉี ข้าไม่ต้องการมันจริง ๆ ไม่ต้องกังวล ข้าจะไม่ให้ฮ่องเต้กินของดิบอย่างแน่นอน และข้าวางแผนที่จะขอความกรุณาจากฮ่องเต้”
หลังจากพูดจบ นางยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ หันหลังกลับและเดินไปที่ศาลา
ขันทีฉียังคงงุนงง นางไม่มีกระทะหรือกระบวย แล้วจะทำอาหารได้อย่างไร
อย่างไรก็ตาม เมื่อเห็นท่าทางมั่นใจของกู้เสี่ยวหวาน ขันทีฉีก็อดไม่ได้ที่จะเชื่อนางด้วยเหตุผลบางอย่าง อาจเป็นเพราะรอยยิ้มสดใสบนใบหน้าของนาง หรืออาจจะเป็นความมั่นใจในดวงตาของนาง ซึ่งทำให้เขารู้สึกมั่นใจและเชื่อนางทันที
เมื่อเห็นว่าขันทีฉีไม่ตามมา กู้เสี่ยวหวานก็รู้ว่าเขากำลังจะดูนางปรุงอาหาร
ดังนั้นนางจึงหันศีรษะและยิ้มอีกครั้ง “ขันทีฉี ท่านช่วยข้าจุดไฟได้ไหม”
เมื่อขันทีฉีได้ยินว่านางขอให้ช่วย เขาก็ยิ้มและเข้าไปในศาลาเพื่อจุดไฟ
กู้เสี่ยวหวานแปรงตะแกรงหลายครั้ง เพราะนางกลัวว่าควันและถ่านจะติดอาหารมากเกินไป กู้เสี่ยวหวานขอตะแกรงปิ้งย่างมาสามชั้นแล้วอาศัยความร้อนของมันในการทำ และเพื่อป้องกันไม่ให้เถ้าถ่านเกาะอาหาร
ฮ่องเต้สวมเสื้อผ้าหรูหราตั้งแต่ยังเด็ก อาหารของเขาต้องเป็นอาหารรสเลิศ ต้องสะอาด อร่อยและมีคุณค่าทางอาหาร ท้องของเขาคงต้องบอบบางมาก อย่างไรก็ตามกู้เสี่ยวหวานต้องทำให้ได้เพราะฮ่องเต้สัญญาว่าจะทำให้ความปรารถนาของนางเป็นจริง
นางต้องการความกรุณาของฮ่องเต้ เพราะนางต้องการช่วยท่านลุงหลี่ออกมา
ร้านจิ่นฝูจะต้องปิดตัวลงก็ไม่เป็นอะไร ตราบใดที่นางช่วยท่านลุงหลี่ออกมาได้นั่นก็ดีมากแล้ว
ถ่านไฟกำลังลุกไหม้ กู้เสี่ยวหวานวางตะแกรงปิ้งย่างที่ทำความสะอาดแล้ว ไว้บนชั้นวางชั่วคราว และรอให้ตะแกรงปิ้งย่างร้อนขึ้น จากนั้นกู้เสี่ยวหวานก็วางของที่เสียบใส่ไม้ไผ่เมื่อครู่ลงบนตะแกรงปิ้งย่าง
เมื่อไฟเริ่มลุก อุณหภูมิของตะแกรงปิ้งย่างก็ค่อย ๆ เพิ่มขึ้น อาหารก็ร้อนฉ่า ปีกไก่สองข้างที่กู้เสี่ยวหวานเสียบเข้าด้วยกันก็มีน้ำมันไหลออกมาในขณะนี้
“ขันทีฉี ไฟร้อนเกินไป โปรดลดมันลงหน่อย” กู้เสี่ยวหวานรีบพูดกับขันทีฉีเมื่อห็นว่าไฟกำลังลุกไหม้ไปที่ตะแกรงปิ้งย่าง
ขันทีฉีตอบรับ และหยิบถ่านไฟสีแดงสองก้อนออกมาทันที และความแรงไฟก็ลดลง
กู้เสี่ยวหวานยังคงขยับมือ นางเงยหน้าขึ้นโดยไม่ตั้งใจและเห็นขันทีฉีเฝ้าดูการเคลื่อนไหวของนางอย่างอยากรู้อยากเห็น ดังนั้นนางจึงรีบอธิบายว่า “ไฟสำหรับทำอาหารต้องไม่แรงเกินไป หากแรงเกินไปจะทำให้อาหารเสีย น้ำมันที่อยู่ภายในจะแห้งและทำให้อาหารไหม้ ส่งผลต่อทั้งรูปลักษณ์และรสชาติ”
ขันทีฉีพยักหน้า ดวงตาของเขาจ้องมองที่กองไฟด้านล่าง และเขาก็มองไปที่การเคลื่อนไหวมือของกู้เสี่ยวหวานเป็นครั้งคราวด้วยดวงตาที่เต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น
เช่นเดียวกับเด็กที่ขยันขันแข็ง เขาถามถึงสิ่งนี้และสิ่งนั้น กู้เสี่ยวหวานรู้ทุกอย่างและเล่าทุกอย่างที่นางรู้ให้เขาฟัง
นี่เป็นครั้งแรกที่ขันทีฉีเห็นว่าอาหารสามารถปรุงได้เช่นนี้ เขาเบิกตากว้างและเห็นว่ากู้เสี่ยวหวานกำลังชโลมน้ำมันด้วยแปรงสะอาด โรยเกลือ และปัดผงใบกระวาน เครื่องปรุงรสอื่น ๆ และพลิกกลับไปมาเพื่อให้ทั้งสองด้านสุกเท่ากัน
หลังจากนั้นไม่นาน ปีกไก่ในมือของกู้เสี่ยวหวานก็ส่งกลิ่นหอมออกมา กลิ่นหอมของอาหารที่ปรุงผสมกับเครื่องปรุงรส และมีความเกรียมเล็กน้อย แค่ได้กลิ่นก็ทำให้คนน้ำลายไหล
ขันทีฉีมองไปที่ปีกไก่สีเหลืองทอง ความอยากอาหารทำให้น้ำลายของเขากำลังจะไหล แต่เขาก็กลืนมันกลับเข้าไปในทันที จากนั้นก็เอ่ยถามว่า “ต้องใช้เวลานานแค่ไหนในการย่าง ข้าน้อยจะได้ไปเชิญฮ่องเต้มา? ”
กู้เสี่ยวหวานเสียบตะเกียบแล้วพยักหน้า “ใกล้เสร็จแล้ว”
ขันทีฉีตอบรับพลางชำเลืองมองปีกไก่อย่างไม่เต็มใจที่จะไปนัก จากนั้นหยิบพู่ประจำกายของเขาออกมา และกำลังจะหันไปเชิญฮ่องเต้ แต่เขาจะรู้ได้อย่างไรว่าทันทีที่เขาเงยหน้าขึ้น เขาก็เห็นฮ่องเต้เดินเอามือไพล่หลังตรงมาทางนี้แล้ว
แท้จริงซูเทียนซื่อกำลังรอให้กู้เสี่ยวหวานทำอาหารอร่อย ๆ ให้เขา โดยจะอ่านหนังสือรอในห้องโถงใหญ่ แต่ด้วยกลิ่นหอมที่ลอยมาจากศาลา เขาก็หมดความสนใจในการอ่านทันที
เมื่อมองดู เขาก็เห็นกู้เสี่ยวหวานและขันทีฉีพูดคุยและหัวเราะอยู่ในศาลา เมื่อเห็นท่าทางที่มีความสุขของพวกเขา ซูเทียนซื่อจึงไม่ได้อ่านหนังสือต่อและเดินออกจากวังไปทางศาลาแทน
นางกำนัลและขันทีในราชสำนักกลุ่มหนึ่งตามมาข้างหลัง ซูเทียนซื่อโบกมือแล้วพูดว่า “ไม่จำเป็นต้องตามมา”
มีนางกำนัลและขันทีจำนวนมากติดตามเขาทุกวัน มันน่ารำคาญมาก
เมื่อเห็นฮ่องเต้กำลังเสด็จมา ขันทีฉีจึงรีบก้าวออกมาต้อนรับ “ฝ่าบาท!”
เมื่อกู้เสี่ยวหวานได้ยินเสียง นางก็เงยหน้าขึ้นและเห็นว่าฮ่องเต้กำลังเสด็จมา ขณะที่นางกำลังจะวางของในมือลงและกำลังจะคุกเข่า ซูเทียนซื่อโบกมือแล้วพูดว่า “ไม่ต้องเป็นทางการขนาดนั้น ทำงานของเจ้าต่อไปเถอะ”
เมื่อเขามาถึงศาลากลิ่นของส่วนผสมก็มาถึงจมูกของเขา ซูเทียนซื่อสูดหายใจเข้ายาว ๆ และรู้สึกว่าแม้แต่ท้องของเขาก็ยังมีกลิ่นหอม
เมื่อเห็นซูเทียนซื่อนั่งลง และมองวิธีการทำอาหารที่แปลกใหม่นี้ จากนั้นจึงมองเลยไปที่การย่างตะแกรงปิ้งย่างที่มีอาหารน่าอร่อย เขาก็อดไม่ได้ที่จะสงสัยว่า “วิธีทำอาหารนี้ ดูไม่เหมือนใคร มันเรียกว่าอะไร”
เมื่อเห็นว่าเขาสนใจมาก กู้เสี่ยวหวานก็ดีใจที่นางวางเดิมพันถูกในครั้งนี้
แค่มองสิ่งนี้ก็ทำให้เขาสนใจแล้ว และถ้าเขากินมันในภายหลัง เขาจะต้องหลงรักมันอย่างแน่นอน
ซาวเข่า*[1] เป็นที่ชื่นชอบของชาวจีนทุกคนในศตวรรษที่ยี่สิบเอ็ด
ถ้าได้กินคู่กับเบียร์เย็น ๆ ในตอนนี้ รสชาติจะวิเศษมาก
แค่คิดถึงเรื่องนี้ กู้เสี่ยวหวานก็รู้สึกคิดถึงอดีตเล็กน้อย แต่โชคดีที่ครั้งนี้นางเดาทางถูกและพูดว่า “ตอบฝ่าบาท นี่คือการย่างบนตะแกรงปิ้งย่าง หม่อมฉันตั้งชื่อมันว่าหั่วซาว ฝ่าบาทคิดว่าเป็นอย่างไร”
[1] แปลความหมายตรงตามอักษรคือปิ้งย่าง หมายถึง อาหารเสียบไม้ย่าง ซึ่งจะนำทั้งเนื้อหรือผักต่าง ๆ มาย่างให้สุกแล้วโรยหม่าล่าเฝิ่นตามทีหลัง จึงเรียกว่าซาวเข่าหรือที่คนไทยเรียกกันว่าหม่าล่า