ทะลุมิติไปเป็นสาวนาผู้ร่ำรวย - บทที่ 1637 เรียกว่าซาวเข่า
บทที่ 1637 เรียกว่าซาวเข่า
กู้เสี่ยวหวานไม่ได้พูดออกมาตรง ๆ ว่าสิ่งนี้คือซาวเข่า แม้ว่าชื่อจะฟังดูดีและจำง่าย แต่คนที่อยู่ตรงหน้านางคือฮ่องเต้ ถ้าบอกเขาว่าสิ่งนี้คือซาวเข่า เขาอาจจะรังเกียจมันอย่างแน่นอน
อย่างไรก็ตาม กู้เสี่ยวหวานคำนวณผิดพลาดในครั้งนี้
หลังจากที่ซูเทียนซื่อเอ่ยว่าหั่วซาวหลายครั้ง เขายังกลับรู้สึกไม่ดีพอ และเอ่ยขึ้นอย่างไม่พอใจ “แม้ว่าหั่วซาวจะดีมาก แต่ข้าคิดว่าชื่อซาวเข่านั้นเหมาะสมกว่า”
ทันทีที่ซูเทียนซื่อพูดจบ มือขวาที่เปื้อนน้ำมันของกู้เสี่ยวหวานก็หยุดชั่วขณะ นางเงยหน้าขึ้นมองซูเทียนซื่ออย่างสงสัย ทันใดนั้นก็มีความคิดหนึ่งผุดขึ้นมาความคิดว่าซูเทียนซื่อเดินทางมาจากศตวรรษที่ยี่สิบเอ็ดหรือไม่ ไม่เช่นนั้นครั้งแรกที่เขาเห็นซาวเข่าเขาจะสามารถแยกชื่อซาวเข่าทั้งสองชื่อออกได้อย่างไร อาจกล่าวได้ว่าที่มาของชื่อซาวเข่าอาจได้รับมาจากเขา?
เมื่อเห็นเขาถามอย่างอยากรู้อยากเห็นและตื่นเต้น กู้เสี่ยวหวานก็คิดว่าตัวเองคงคิดมากไป
“อืม กลิ่นมันหอมมาก ข้าไม่เคยได้กลิ่นหอมแบบนี้มาก่อนเลย หอมมากจริง” สิ่งที่ซูเทียนซื่อพูดเกินจริงเล็กน้อย เขาเอนตัวไปด้านหน้ากองถ่าน มองของกินตรงหน้าจนแทบจะน้ำลายไหล
เมื่อเห็นว่าผมของเขากำลังจะหล่นลงมาบนตะแกรงปิ้งย่าง กู้เสี่ยวหวานจึงรีบคว้าไว้และพูดอย่างกระวนกระวายว่า “ฝ่าบาท ระวังไฟเพคะ
หลังจากพูดจบ นางก็จับผมของซูเทียนซื่อไว้ด้านข้างเพื่อป้องกันไม่ให้โดนไฟ ไม่เช่นนั้น หากเกิดอะไรกับฮ่องเต้ขึ้นมา นางอาจจะโดนโทษร้ายแรงก็เป็นได้
ซูเทียนซื่อเงยหน้าขึ้นก็เห็นมือเรียวยาวของนาง มือของกู้เสี่ยวหวานเนียนราวกับหยก แตะอยู่บนเส้นผมสีดำของเขา ขาวดำนั้นตัดกันราวกับตัวหมากบนกระดานหมากรุก
ซูเทียนซื่อมองมือเรียวนั้นอย่างอธิบายไม่ได้
ในทางกลับกัน ขันทีฉีก็ผงะไปเล็กน้อยและจ้องมองที่มือของกู้เสี่ยวหวานด้วยสายตาเป็นกังวล จากนั้นกู้เสี่ยวหวานก็ตระหนักได้ว่ามือของนางยังคงถือแปรงอยู่ แปรงทาน้ำมัน แปรงทาส่วนผสม และหยิบไม้เสียบ สิ่งที่สำคัญที่สุดคือมือของนางเพิ่งโรยเกลือไป
ก่อนหน้านั้นนางยังแล่เนื้อและสัมผัสเนื้อ
กู้เสี่ยวหวานได้กลิ่นแปลก ๆ มาจากมือของตนเอง
โอ้ สวรรค์
มือของนางเต็มไปด้วยความสกปรก แต่บังอาจเอามือนั้นไปแตะต้องผมของฮ่องเต้ นี่นางกำลังทำอะไรอยู่!
มันจะเป็นการดูถูกฮ่องเต้นหรือไม่
มันเป็นโทษร้ายแรงถึงการตัดศีรษะหรือไม่
หัวใจของกู้เสี่ยวหวานกู่ร้องเสียงดัง และขันทีฉีที่อยู่ด้านข้างก็มีท่าทางตึงเครียดอย่างเห็นได้ชัด และพยายามคิดหาวิธีจัดการกับมัน และวางแผนว่าหากฮ่องเต้กล่าวโทษตนเองในภายหลัง เขาจะรับโทษแทนเสี้ยนจู่เอง
หากแต่ใครจะรู้เหล่าว่าซูเทียนซื่อไม่ได้สนใจเรื่องนี้เลย และทำเพียงหันศีรษะ รวบผมด้วยมือและตะโกนเรียกขันที “ขันทีฉี มัดผมให้ข้าที!”
เมื่อได้ยินเสียงของฮ่องเต้ ขันทีฉีรีบถอนหายใจโล่งอก พลางก้าวไปข้างหน้าเพื่อมัดผมให้ฮ่องเต้ และไม่ต้องกลัวว่ามันจะสัมผัสเปลวไฟอีกครั้ง
ความสนใจทั้งหมดของซูเทียนซื่อถูกดึงดูดโดยอาหารตรงหน้า ดังนั้นจึงไม่สนใจการกระทำหยาบคายของกู้เสี่ยวหวาน
ครั้นเห็นเขาไม่ถือสา กู้เสี่ยวหวานก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก ขันทีฉีที่อยู่ด้านข้างก็ลอบถอนหายใจด้วยความโล่งอกเช่นกัน
ท่าทางเช่นนี้ของฮ่องเต้ช่างหาได้ยากนัก
ถ้าเป็นเรื่องปกติ หากมีผู้อื่นบังอาจแตะต้องเส้นผมของฮ่องเต้ พวกเขาคงจะถูกลงโทษโบยไปแล้ว
ดูเหมือนว่าฮ่องเต้จะปฏิบัติต่อเสี้ยนจู่อันผิงผู้นี้แตกต่างจากคนอื่น
ขันทีฉีครุ่นคิดเรื่องนี้อย่างกะตือรืนร้น พลางมองไปที่เสี้ยนจู่อันผิงที่กำลังจดจ่ออยู่กับการทำอาหาร คิดกับตัวเองว่าดูเหมือนเร็ว ๆ นี้ตนเองอาจจะมีเจ้านายเพิ่มขึ้นอีกคน
เพียงแค่มองท่าทางของเสี้ยนจู่อันผิงคนนี้ และนึกถึงความสามารถ ใบหน้าอันงดงามนั้น จะมีชายใดในโลกนี้สามารถต้านทานความงดเหล่านี้ได้
ขันทีฉีลอบยิ้มเงียบ ๆ คนเดียวพลางถอยหลังไป พยายามเอาตัวออกจากบรรยากาศตรงนี้ให้มากที่สุด
ปีกไก่ถูกย่างจนกลายเป็นสีเหลืองทองวางเรียงรายบนจานสีขาวสะอาด ส่งกลิ่นหอมชวนน้ำลายสอ
ตอนนี้ซูเทียนซื่อถอยห่างออกไปโดยไม่สนใจการทำอาหารของกู้เสี่ยวหวานแล้ว แต่กลับจ้องเขม็งไปที่ปีกไก่ย่างสีเหลืองทองที่กำลังส่งกลิ่นหอม พลางกลืนน้ำลายอยู่ลายครั้ง “อาหารนี้กินได้แล้วหรือไม่”
ท่าทางนั้นราวกับเด็ก
“ได้แล้วเพคะ มันถูกย่างจนสุกแล้ว” ก่อนที่กู้เสี่ยวหวานพูดจบ ซูเทียนซื่อก็หยิบปีกไก่ขึ้นมาใส่ปาก แต่กู้เสี่ยวหวานก็หยุดเขาไว้อย่างรวดเร็ว “ฝ่าบาท ระวังร้อนเพคะ!”
โชคดีที่กู้เสี่ยวหวานห้ามเขาเอาไว้ได้ทันเวลา ไม่เช่นนั้น ซูเทียนซื่อคงเขมือบไก่คำใหญ่จนถูกลวกปากไปเสีย
รอจนกระทั่งอาหารเริ่มเย็นลง ซูเทียนซื่อจึงรีบหยิบปีกไก่ขึ้นมากัดกิน
ปีกไก่อวบอ้วนเนื้อแน่น หนังถูกย่างจนเหลืองกรอบ คลุกเคล้าด้วยเครื่องปรุงรสหอมกรุ่น ผสมผสานความเผ็ดร้อนและชาลิ้น รสชาติเหล่านั้นเหมือนกำลังเต้นรำอยู่ในปาก เขาไม่เคยลิ้มลองรสชาติเช่นนี้มาก่อน
“มันอร่อย มันอร่อยมาก” ซูเทียนซื่อกัดไก่อีกครั้ง พลางชูนิ้วโป้งให้กู้เสี่ยวหวานอย่างตื่นเต้น “ข้าชอบ ข้าชอบ”
เมื่อกัดไก่เข้าปาก เขาก็ไม่สามารถหยุดกินมันได้อีกเลย
การกินของเขารวดเร็วกว่าความเร็วในการย่างของกู้เสี่ยวหวาน หลังจากกินเสร็จเขาก็จ้องมองสิ่งของที่อยู่ในมือของกู้เสี่ยวหวานอย่างกระตือรือร้น เขาไม่สามารถรอได้อีกต่อไป จึงหยิบอาหารขึ้นมาย่าง ขันทีฉีที่เห็นเช่นนั้นก็รีบทำตามเช่นกัน
พวกเขาทั้งสามคนนั่งรอบกองไฟพูดคุยและหัวเราะในขณะที่ย่างซาวเข่า โชคดีที่กู้เสี่ยวหวานเตรียมอาหารไว้มากมาย เมื่อซูเทียนซื่ออิ่มแล้วแต่ยังเหลืออาหารอีกมาก ซูเทียนซื่อลูบท้องป่อง ๆ ของตัวเองและพูดอย่างพึงพอใจ “พวกเจ้ากินเสร็จแล้ว ข้าจะให้รางวัลพวกเจ้า”
ขันทีฉีกลืนน้ำลายอึกใหญ่ตั้งแต่ได้กลิ่นในครั้งแรก หลังจากได้รับคำสั่งจากฮ่องเต้ เขาก็ไม่สามารถเก็บเสียงประท้วงในท้องเขาได้อีกต่อไป จึงหยิบไม้เสียบเนื้อต่าง ๆ มาไม้หนึ่งและเริ่มกินมัน
แม้ว่ามันจะร้อนมาก แต่เขาก็ยังไม่อยากคายสิ่งที่เขากัดเข้าไปเพราะรู้สึกเสียดาย
……….