ทะลุมิติไปเป็นสาวนาผู้ร่ำรวย - บทที่ 1640 ชายชรา
บทที่ 1640 ชายชรา
แม้ว่ามองจากระยะไกลจะเห็นได้ไม่ชัดเจน แต่กู้เสี่ยวหวานก็สามารถเห็นท่าทางการเดินของพวกเขาได้อย่างชัดเจน
พี่เย่จือปฏิบัติหน้าที่ในพระราชวัง แต่ไม่รู้ว่าเขาเป็นหนึ่งในทหารองครักษ์ที่ตรวจตราพระราชวังหรือไม่
พี่เย่จือ ข้าได้รับการแต่งตั้งเป็นอันผิงจวิ้นจู่แล้ว ท่านมีความสุขไหม
กู้เสี่ยวหวานจ้องไปที่ทหารที่ไม่รู้จักเหล่านั้น พลันอยากเจอคนที่นางรู้สึกคิดถึงขึ้นมา
แม้ว่าขันทีฉีจะยืนอยู่ข้าง ๆ เอ่ยเรียกนางสองครั้ง กู้เสี่ยวหวานก็ไม่ตอบสนอง และขันทีผู้ที่มีสายตาเฉียบแหลมไม่อาจพลาดกระแสหวั่นไหวในสายตาของกู้เสี่ยหวานได้
ความเปล่งประกายนี้ทำให้ร่างทั้งร่างเหมือนหลุดออกมาจากภาพวาด
ขันทีฉีถอนหายใจเบา ๆ ไม่รู้ในอนาคตว่าชายคนใดจะโชคดีพอที่จะได้แต่งงานกับหญิงผู้งดงามและเฉลียวฉลาดเช่นนี้
“จวิ้นจู่ ฮ่องเต้ทรงเรียกท่านเข้าเฝ้าแล้วพะยะค่ะ” ขันทีฉีเรียกกู้เสี่ยวหวานอีกครั้ง และในที่สุดกู้เสี่ยวหวานก็ดึงสติกลับ ท่าทางเขินอายเล็กน้อยเมื่อเห็นขันทีฉียืนอยู่ด้านข้าง
ขันทีฉีมองไปยังทิศทางสายตาของกู้เสี่ยวหวาน และเรียกนางเข้าไปข้างในโดยไม่ถามอะไร
เมื่อกู้เสี่ยวหวานหันกลับมาก็พบชายร่างสูงในชุดคลุมสีดำกำลังเดินออกมาจากตำหนักด้วยท่าทางสง่างาม กู้เสี่ยวหวานไม่สามารถมองเห็นใบหน้าของเขาได้อย่างชัดเจน แต่รู้สึกว่าท่าทางการเดินของเขาคล้ายกับของชายคนนั้นมาก ดังนั้นจึงอดไม่ได้ที่จะถามเพิ่มเติม “ขันทีฉี ชายผู้นั้นคือใคร”
ขันทีฉีมองชายผู้นั้นและพูดด้วยรอยยิ้ม “ตอบกลับจวิ้นจู่ เขาเป็นท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการ”
เมื่อกู้เสี่ยวหวานได้ยินสิ่งนี้ นางรีบปัดเป่าความคิดที่ว่าคนคนนี้ดูคุ้นเคยทิ้งและไม่พูดอะไรอีก นางติดตามขันทีฉีเข้าไปในตำหนักโดยไม่หันกลับมามอง
อาจั่วและโค่วตันที่อยู่เบื้องหลัง มองและติดตามกู้เสี่ยวหวานอย่างใกล้ชิด
ชายร่างกำยำที่เดินสวนมานั้นชะงักไปครู่หนึ่ง ครั้นหันศีรษะไปก็เห็นดอกไม้สีสดตรงชายกระโปรงสีเทาหายไปในประตูตำหนัก
ภายใต้หน้ากากสีทอง ริมฝีปากบางยกยิ้มขึ้นเล็กน้อย และรอยยิ้มที่หาได้ยากปรากฏขึ้นในดวงตา จากนั้นจึงส่งเสียงหัวเราะเบา ๆ ออกมา
ขันทีน้อยที่ติดตามเขาได้ยินเสียงหัวเราะนั้น จึงเงยศีรษะขึ้นมองดูราวกับไม่เชื่อ เมื่อคิดถึงสถานะของคนตรงหน้า จึงรีบก้มศีรษะอีกครั้ง
รอยยิ้มที่เบาบางจนเหมือนไม่มีอยู่จริง
กู้เสี่ยวหวานตามขันทีฉีเข้าไปในตำหนักทันที กู้เสี่ยวหวานขยับเข้าไปใกล้ ขันทีฉีก็ตะเบ็งเสียงดัง “อันผิงจวิ้นจู่มาแล้ว”
จากนั้นก็มีเสียงคนรับใช้และนางกำนัลทำความเคารพ
กู้เสี่ยวหวานเพิ่งมาที่นี่เมื่อวานนี้ นอกจากนี้นางไม่เคยเห็นฉากใด ๆ หากแต่ก็ไม่ได้สนใจเรื่องนี้มาก
นางเดินตัวตรงไปข้างหน้าโดยไม่มองไปด้านข้างและเอ่ยเพียงเบา ๆ ว่า “ลุกขึ้นเถอะ”
ผู้คนที่คุกเข่าข้างนางลุกขึ้นทีละคน หากแต่พวกเขาก้มหน้างุดไม่กล้าสบตาจวิ้นจู่โดยตรง
เมื่อเดินเข้าไปในสถานที่ที่เจอซูเทียนซื่อเมื่อวานนี้ แต่วันนี้กลับพบว่าเขาไม่ได้อ่านหนังสือ แต่กลับนั่งมองไปที่ตัวหมากรุกบนกระดานด้วยความรำคาญใจและกำลังขบคิดอย่างหนัก
แม้กู้เสี่ยวหวานจะเข้ามาแล้ว เขาก็ไม่ได้หันมาสนใจแม้แต่น้อย
ขันทีฉีรีบก้าวไปข้างหน้าเพื่อแจ้ง “รายงานฮ่องเต้ อันผิงจวิ้นจู่มาแล้ว”
กู้เสี่ยวหวานก้าวไปข้างหน้าและยืนอยู่ข้าง ๆ ด้วยความเคารพ
เมื่อซูเทียนซื่อเห็น เขาก็โบกมือให้ขันทีฉี และเขาก็ถอยกลับไปอย่างรู้เท่าทัน จากนั้นเขาก็ยืนอยู่ด้านข้าง มองไปที่กู้เสี่ยวหวานและแสดงรอยยิ้มที่สงบให้นาง
กู้เสี่ยวหวานตอบด้วยรอยยิ้ม ก้าวไปข้างหน้าและคุกเข่าลงเพื่อคำนับ “ถวายบังคมฮ่องเต้ ขอพระองค์ทรงพระเจริญหมื่นปี หมื่นปี หมื่น ๆ ปี!”
อาจั่วและโค่วตันที่ตามมาข้างหลังก็คุกเข่าลงเช่นกัน
วันนี้กู้เสี่ยวหวานมาเพื่อแสดงความขอบคุณฮ่องเต้ ดังนั้นสาวใช้ที่นางพามาที่นี่จึงมีความพิเศษมากเช่นกัน
ในราชวงศ์มาเป็นคู่ดีกว่ามาคนเดียว โดยเฉพาะอย่างยิ่งการมาแสดงความขอบคุณต่อฮ่องเต้
ไม่สำคัญว่านางพาอาจั่วมาคนเดียวเมื่อวานนี้ เพราะนางทิ้งอาจั่วไว้นอกท้องพระโรง วันนี้เมื่อมาแสดงความขอบคุณ ดังนั้นนางจึงต้องพาสาวรับใช้เข้ามาด้วยกันโดยธรรมชาติ
ดูเหมือนว่าซูเทียนซื่อจะหมกมุ่นอยู่กับสิ่งตรงหน้า และไม่มีกะจิตกะใจจะคุยกับกู้เสี่ยวหวาน ดวงตาของเขาจับจ้องไปที่กระดานหมากรุกตรงหน้าและพูดขึ้นว่า “ลุกขึ้นเถอะ พวกเจ้าหาที่นั่งให้อันผิงจวิ้นจู่”
ในไม่ช้าก็มีคนรับใช้ในห้องโถงนำเก้าอี้มาให้ กู้เสี่ยวหวานกล่าวขอบคุณและนั่งลง
นางนั่งลงบนเก้าอี้อย่างหมิ่นเหม่ หลังจากที่กู้เสี่ยวหวานนั่งลงก็มองไปที่พื้นข้างหน้านางด้วยความเคารพ ไม่กล้าเงยหน้ามองรอบ ๆ
ฮ่องเต้ไม่ได้พูดอะไร นางจึงไม่มีความตั้งใจจะพูด
เป็นผลให้ภายในตำหนักไม่มีผู้ใดส่งเสียง หากแต่มีเสียงถอนหายใจเป็นครั้งคราวของซูเทียนซื่อ “ไม่ได้ เดินไปทางนี้ไม่ได้”
จากนั้นก็ถอนหายใจอีกครั้ง
เขาหลงใหลในการเล่นหมากรุกมากจนลืมจุดประสงค์ที่แท้จริงในการเข้าเฝ้าของกู้เสี่ยวหวาน
ขันทีฉีเฝ้าดูกู้เสี่ยวหวานอย่างระมัดระวังจากด้านข้าง แต่เขาก็ไม่แปลกใจเมื่อเห็นนางนั่งเงียบ ๆ บนเก้าอี้ ก้มศีรษะให้ด้วยความเคารพด้วยความอ่อนน้อมถ่อมตน
นางเป็นคนที่ยอดเยี่ยม ไม่แปลกใจเลยที่ฮ่องเต้จะชื่นชอบ แม้ว่าเขาที่พบกันเพียงสองครั้งก็ยังอยากจะปกป้องนาง
ขันทีฉีมองไปที่ฮ่องเต้ที่หมกมุ่นอยู่กับสิ่งตรงหน้า และมองไปที่อันผิงจวิ้นจู่ซึ่งนั่งอยู่ด้านข้าง แต่เขายังแสร้งทำเป็นไม่เห็นและยืนอยู่อย่างสงบนิ่ง
หลังจากนั้นไม่นาน ซูเทียนซื่อก็วางหมากรุกในมือของเขากลับเข้าไปในกล่องด้วยความโกรธ และพูดด้วยความไม่พอใจว่า “ชายชราคนนี้ เขาไม่รู้วิธีเล่นหมากรุกที่ง่ายกว่านี้หรือ เล่นยากขนาดนี้ ต้องการทำให้ข้าลำบากอย่างนั้นหรือ”
ผู้เดียวที่อยู่ในวังเมื่อครู่นี้คือท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการ แต่ดูเหมือนว่าเขาจะยังเด็กอยู่
กู้เสี่ยวหวานนึกถึงคนที่นางเห็นนอกห้องโถงและคิดกับตัวเองว่ารูปร่างที่หล่อเหลาเช่นนั้น ไม่สามารถบอกได้ว่าเป็นชายชรา
ขันทีฉีคุ้นเคยกับการที่ฮ่องเต้ดุผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์มานานแล้ว เมื่อเห็นว่าในที่สุดฮ่องเต้ก็ได้สติกลับมา เขารีบก้าวไปข้างหน้าและกระซิบเตือน “ฝ่าบาท ท่านอันผิงจวิ้นจู่มาแล้ว”
จากนั้นซูเทียนซื่อก็กลับมารู้สึกตัว ปรากฎว่าเขาต้องการให้นางเข้ามาเพื่อขอบคุณเขา