ทะลุมิติไปเป็นสาวนาผู้ร่ำรวย - บทที่ 1641 ขอบคุณในความกรุณา
บทที่ 1641 ขอบคุณในความกรุณา
ซูเทียนซื่อมองไปที่กู้เสี่ยวหวาน และเห็นนางนั่งอยู่ตรงนั้นด้วยท่าทางเรียบร้อยไร้ความความเย่อหยิ่ง ดวงตาของนางหลุบลงด้วยความเคารพ เขาจึงอดไม่ได้ที่จะชื่นชมในใจอีกครั้ง
ท่าทางแบบนี้เกรงว่าสตรีสูงส่งที่ถูกเลี้ยงมาจากตระกูลร่ำรวยก็ไม่อาจทำได้ ความนิ่ง สุภาพ สง่างามและโดดเด่นนั้นไม่อาจหาสิ่งใดมาเปรียบได้
แม้แต่ซูเทียนซื่อผู้ซึ่งได้เห็นความงามมานับไม่ถ้วนก็อดไม่ได้ที่จะลอบมองหน้านางอีกครั้ง
อาภรณ์สีเทา ปักลวดลายดอกฝูหรงสีแดงบริเวณสวยที่ชายกระโปรง สองสีตัดกันขับให้ผิวพรรณของนางขาวราวกับหิมะ ริมฝีปากสีแดงระเรื่อนั้นดูมีเสน่ห์
จึงอดไม่ได้ที่จะพูดด้วยรอยยิ้ม “ข้าดูไม่ออกจริง ๆ ว่าจวิ้นจู่มาจากชนบท ด้วยท่าทางเช่นนี้ เจ้าดูเหมือนสมาชิกของราชวงศ์ ถ้าข้าไม่ทราบว่าท่านแม่ของข้าเป็นผู้ให้กำเนิดข้าและลี่หัวเท่านั้น เกรงว่าข้าจะคิดว่าจวิ้นจู่คือน้องสาวที่พลัดพรากของข้า”
กู้เสี่ยวหวานได้เรียนรู้จากถานอวี้ซูว่าลี่หัวเป็นน้องสาวของฮ่องเต้องค์ปัจจุบันและเป็นลูกสาวทางสายเลือดของไทเฮาที่มีสถานะสูงส่งและรุ่งโรจน์ที่สุด
ฮ่องเต้กำลังชื่นชมตัวเอง
เมื่อกู้เสี่ยวหวานได้ยินสิ่งนี้ จึงรีบคุกเข่าลงและตอบด้วยความเคารพ “ไทเฮาเป็นผู้สูงส่ง องค์หญิงเป็นเชื้อพระวงศ์ หม่อมฉันเป็นเพียงหญิงสาวชาวบ้านจากชนบท ฝ่าบาทจะยกย่องหม่อมฉันเช่นนี้ได้อย่างไร”
นางรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อยที่ฮ่องเต้พูดเช่นนั้นและรีบกล่าว
จากนั้นเห็นซูเทียนซื่อโบกมือและพูดด้วยรอยยิ้ม “เจ้าไม่จำเป็นต้องอ่อนน้อมถ่อมตนขนาดนั้น ข้าได้ยินมาว่าเจ้าและฮู้กั๋วจวิ้นจู่เป็นเพื่อนสนิทกัน”
“ตอบกลับฝ่าบาท ใช่เพคะ”
“นั่นจะเป็นเรื่องง่าย ขันทีฉีพรุ่งนี้ข้าจะส่งพี่เลี้ยงสองคนไปสอนมารยาทจวิ้นจู่ที่จวนของจวิ้นจู่ แม้ว่าจวิ้นจู่จะมีมารยาทดีอยู่แล้ว แต่ในวังก็ยังมีข้อจำกัดมากมาย ข้าหวังว่าจวิ้นจู่จะตั้งใจเรียน เมื่อวานนี้ข้าไปพูดคุยกับไทเฮาว่าเจ้าทำซาวเข่าอร่อยมาก แต่ไทเฮาบ่นว่าข้าเป็นลูกอกตัญญู อาหารเลิศรสเช่นนี้แต่กลับไม่เหลือไว้ให้นาง ในอนาคตเจ้าต้องมาที่นี่อีก ไทเฮาอยากกินเท่าไรก็ให้นางกินเท่าที่ต้องการ”
หลังจากที่ท่านแม่ของเขารู้เรื่องการแต่งตั้งจวิ้นจู่เมื่อวานนี้ นางจึงเรียกเขาไปที่นั่นหลังจากฟังรายละเอียดของเขาแล้ว ไทเฮาเกิดความสนใจในตัวจวิ้นจู่
“ขอบคุณสำหรับความเมตตาของฮ่องเต้ ขอบคุณสำหรับความเมตตาของไทเฮา” กู้เสี่ยวหวานกล่าวคำขอบคุณ แต่ในใจนางรู้สึกเป็นกังวลเล็กน้อย
พระราชวังแห่งนี้เป็นเหมือนไฟ นางตั้งใจจะอยู่ห่างจากที่นี่ แต่นางไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่าขณะที่นางก้าวไปข้างหน้าทีละก้าว นางก็เข้าใกล้พระราชวังที่โหดร้ายแห่งนี้มากขึ้นเรื่อย ๆ
กู้เสี่ยวหวานรู้สึกเศร้าในใจ แต่นางไม่กล้าที่จะแสดงออก นางรีบก้มศีรษะลงและโค้งคำนับ
ซูเทียนซื่อโบกมือและความไม่พอใจที่เขาไม่ได้คิดถึงมาตรการตอบโต้ในเมื่อครู่ก็หายไป เมื่อคิดถึงจุดประสงค์การมาเยือนของกู้เสี่ยวหวานในวันนี้ เขาก็อารมณ์ดี “พวกเจ้า ให้รางวัลอันผิงจวิ้นจู่เป็นเงินหนึ่งพันตำลึงเงิน ทองคำและผ้าทอหนึ่งร้อยผืน พื้นที่อุดมสมบูรณ์หนึ่งร้อยหมู่ ไข่มุกราตรีเม็ดและหยกหรูอี้หนึ่งด้าม”
ด้านหนึ่งขันทีฉีทวนคำสั่ง “ฮ่องเต้ให้รางวัลอันผิงจวิ้นจู่เป็นเงินหนึ่งพันตำลึงเงิน ทองคำและผ้าทอหนึ่งร้อยชิ้น พื้นที่อุดมสมบูรณ์หนึ่งร้อยหมู่ ไข่มุกราตรีสิบเม็ดและหยกหรูอี้หนึ่งด้าม”
กู้เสี่ยวหวานคุกเข่าลงอีกครั้งเพื่อขอบคุณ “หม่อมฉันขอบคุณสำหรับความกรุณาของฮ่องเต้”
เทียนซื่อพยักหน้าพลางมองไปที่หมากรุกที่ยังไม่ได้รับการแก้ไข ทันใดนั้นความเย่อหยิ่งในใจของเขาก็เพิ่มขึ้นอีกครั้ง เขาโบกมือเล็กน้อยหยุดมองไปที่กู้เสี่ยวหวานแล้วพูดว่า “ขันทีฉี พานางไปเข้าเฝ้าไทเฮา”
กู้เสี่ยวหวานคุกเข่าลงอีกครั้งทำความเคารพต่อฮ่องเต้ แล้วเดินตามขันทีฉีออกไป
ตลอดทางออกจากตำหนักหย่างซิน นางกำนัลรวมถึงคนรับใช้ด้านข้างก็คุกเข่าลงอีกครั้งและทักทายจวิ้นจู่
กู้เสี่ยวหวานมองตรงไปข้างหน้า พลางบอกให้ลุกขึ้นด้วยท่าทางสงบนิ่ง และเดินตามขันทีฉีออกไป ระหว่างทางทำให้กู้เสี่ยวหวานได้เห็นความรุ่งโรจน์ของจวิ้นจู่ระดับสอง
ขณะเดินไปที่ตำหนักสือหนิง เมื่อนางกำนัลและคนรับใช้เห็นขันทีฉีและผู้มาเยือน ได้ยินมาว่าเสี้ยนจู่อันผิงได้รับการแต่งตั้งให้เป็นจวิ้นจู่เมื่อวานนี้ จึงถูกเรียกให้เข้าเฝ้า พวกเขาล้วนเดาสถานะของกู้เสี่ยวหวานออก นั่นทำให้นางประหลาดใจ
จากนั้นก็เห็นผู้คนคำนับนางไปตลอดทาง
ด้านนอกของตำหนักถูกปูด้วยแผ่นหิน คนเหล่านั้นดูเหมือนจะไม่กลัวความเจ็บปวดเลยและคุกเข่าลงโดยไม่ลังเล
เมื่อนึกถึงความจริงที่ว่าตอนนี้ตัวเองอยู่ในตำหนักหย่างซิน ตนเองก็เคยทำเช่นนี้เหมือนกัน นางกำนัลจะคำนับเมื่อมีเจ้าขุนมูลนายเดินผ่าน กว่าจะหมดเข่าพวกเขาก็คงจะช้ำกันพอดี
เมื่อนึกถึงสิ่งนี้ กู้เสี่ยวหวานรู้สึกว่านี่เป็นวิธีที่ทุกคนต้องทำ
แม้ว่านางจะแสวงหาความเท่าเทียมกันสำหรับทุกคน และไม่ต้องการให้คุกเข่าทุกครั้ง แต่ความคิดโบราณที่สืบต่อมานาน ดังนั้นนางจึงต้องปฏิบัติตามนี้
หากนางเป็นเหมือนผู้หญิงที่เดินทางข้ามเวลาคนอื่น ๆ และเรียกหาแต่ความเท่าเทียม ไม่เคารพกฎเกณฑ์ นางคงถูกลงโทษจนตายไปแล้ว
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้และคิดว่าคนที่ตนเองกำลังจะได้พบตอนนี้คือสตรีผู้สูงศักดิ์ที่สุดในแผ่นดิน ความระแวดระวังของนางก็เพิ่มขึ้น
ขันทีฉียิ้มและนำกู้เสี่ยวหวานไปจนถึงตำหนักสือหนิง
กู้เสี่ยวหวานเดินไปตลอดทางเฝ้าดูทางเดินยาวของพระราชวังโดยไม่ละสายตา ความโอ่อ่าของพระราชวังนั้นทั้งสูงตระหง่านและงามสง่า
เมื่อพวกเขามาถึงประตูตำหนักสือหนิง ขันทีฉีก็ขอให้กู้เสี่ยวหวานรอที่ประตูตำหนักในขณะที่เขาผละเข้าไปด้านใน
หลังจากนั้นไม่นาน ขันทีฉีก็ออกมาตะโกนเสียงดัง “ไทเฮารับสั่งให้กู้เสี่ยวหวานอันผิงจวิ้นจู่เข้าเฝ้า”
จากนั้นกู้เสี่ยวหวานก็เดินตามขันทีฉีเข้าไปในตำหนักสือหนิง และเดินเข้าไปในห้องโถง
ห้องโถงใหญ่ของตำหนักสือหนิงอยู่ตรงกลางมีทางเดินด้านหน้าและด้านหลัง ปูด้วยกระเบื้องเคลือบสีเหลือง ส่วนชายคาวางทับกันเห็นเป็นกากบาทคู่หนึ่ง แม้ว่าการตกแต่งจะดูเรียบง่าย แต่ก็เผยให้เห็นความหรูหรา
กู้เสี่ยวหวานไม่กล้ามองไปรอบ ๆ นางก้มศีรษะลงและเดินตามไปทีละก้าว เมื่อเห็นดอกโบตั๋นและลายเมฆที่ปักด้วยด้ายสีทองบนกระโปรงห่างออกไปไม่ไกล นางจึงคุกเข่าและก้มศีรษะลงด้วยความเคารพและกล่าวว่า “หม่อมฉันกู้เสี่ยวหวานถวายบังคมไทเฮา ขอไทเฮาอายุยืนพันปี พันปี พัน ๆ ปี”
นางสัมผัสได้ถึงสายตาของไทเฮาหากแต่ไม่ได้ยินเสียงใด ๆ กู้เสี่ยวหวานคุกเข่าอยู่ตรงนั้นไม่ยอมขยับเขยื้อน มีเพียงความเคารพและสงบนิ่ง