ทะลุมิติไปเป็นสาวนาผู้ร่ำรวย - บทที่ 1642 เข้าเฝ้าไทเฮา
บทที่ 1642 เข้าเฝ้าไทเฮา
กู้เสี่ยวหวานไม่ขยับเขยื้อน แม้ว่าตอนนี้จะคุกเข่ามาเป็นเวลานานแล้วก็ตาม หากว่ากันตามตรงทุกกิริยาท่วงท่านางหญิงสาวนั้นอ่อนช้อย ไทเฮาจ้องมองหญิงสาวตรงหน้าเป็นเวลานาน จากนั้นนางก็เอ่ยขึ้นเสียงแผ่ว “รีบลุกขึ้นเถิด”
หลังจากที่กู้เสี่ยวหวานกล่าวขอบคุณอีกครั้ง นางก็ลุกขึ้นยืนด้วยท่าทางนอบน้อม
เมื่อเห็นกิริยาท่าทางของนาง ไทเฮาจึงกล่าวว่า “เงยหน้าให้ข้ามองหน้าเจ้า”
กู้เสี่ยวหวานตอบรับพระประสงค์ของไทเฮา พลางเงยหน้าขึ้นเงียบ ๆ ดวงตาของนางเรียบนิ่งราวกับทะเลสาบไร้คลื่น ไม่ถ่อมตัวหรือเอาแต่ใจ และเต็มไปด้วยความเคารพ
เมื่อเงยหน้าทุกอย่างก็ปรากฏอยู่ในสายตาของกู้เสี่ยวหวาน
ตรงหน้านางคือหญิงสาวอายุสี่สิบในชุดฮั่นฝู ผิวขาวอมชมพู นัยน์ตาเรียวคม สวมชุดสีเนื้อปักลายดอกโบตั๋นแดงและผีเสื้อหลากสีบริเวณแขนเสื้อและชายกระโปรง
ผมดำนุ่มนวลถูกรวบขึ้นเป็นมวยถูกประดับด้วยเครื่องหัวมากมาย ซึ่งทำให้ดูหรูหราและสง่างามอย่างยิ่ง
ใบหน้าที่ใจดีและอ่อนโยน มีเพียงดวงตาคู่นั้นที่เผยให้เห็นถึงความน่าเกรงขาม กิริยาท่าทางเต็มไปด้วยความสง่างาม
กู้เสี่ยวหวานมองไปที่ไทเฮา และนางก็มองกลับมาที่ตนเอง
นางเคยได้ยินเรื่องเกี่ยวกับสตรีผู้นี้ หากแต่ไม่เคยพบนางมาก่อน หญิงสาวจากชนบทที่ได้รับการสรรเสริญของฮ่องเต้ เกียรติยศแบบนี้เกรงว่าจะไม่มีหญิงสาวใดในชนบทได้รับเกียรตินี้
ไทเฮายังการเกลี้ยกล่อมฮ่องเต้ในครั้งนั้นได้ แต่ฮ่องเต้บอกว่าแม้หญิงคนนี้จะเกิดในชนบท แต่นางก็มีกิริยามารยาทที่น่ายกย่อง
ในเวลานั้นฮ่องเต้เพิ่งขึ้นครองบัลลังก์และต้องการเป็นที่โปรดปรานของชาวประชา เด็กคนนี้จึงเหมือนได้รับพรและกล่าวสู่ตำแหน่งขุนนาง
จนกลายเป็นที่พูดถึงทั่วเมืองหลวง
ทุกคนเดาว่าเสี้ยนจู่ผู้นี้คงเป็นคนต่ำช้าหยาบคาย เพียงเพราะเป็นเสี้ยนจู่ระดับห้าและสถานะของนางเองก็ต่ำต้อย จึงทำให้เกิดข่าวลือนี้มาสักระยะหนึ่งแล้ว แต่กลับไม่มีผู้ใดเห็นด้วยตาตนเอง
ไทเฮาเองก็ลืมเหตุการณ์นี้ไปแล้วเช่นกัน เมื่อใกล้ถึงวันเกิดขุนนางระดับห้าขึ้นไปล้วนถูกเชิญเข้าวัง และมีคนกล่าวว่าคนผู้นี้ถูกเชิญมาในฐานะขุนนาง
ความจริงไทเฮาลืมเลือนเหตุการณ์นี้ไปแล้ว
จนกระทั่งเมื่อวานนี้ฮ่องเต้มาบอกว่าเขาได้แต่งตั้งให้เสี้ยนจู่ขึ้นจวิ้นจู่แล้ว
ก่อนหน้านี้มีตำแหน่งจวิ้นจู่เพียงสองคนในอาณาจักรต้าชิง ผู้หนึ่งเป็นลูกสาวของหมิงอ๋องและสถานะของนางก็สูงส่งและโดดเด่น อีกคนเป็นหลานสาวของแม่ทัพใหญ่ ครอบครัวของนางสร้างความดีความชอบมานับไม่ถ้วน ดังนั้นนางจึงได้รับสถานะจวิ้นจู่โดยธรรมชาติ
อย่างไรก็ตาม จวิ้นจู่คนนี้ไม่ได้ทำคุณงามความดีอะไร แต่ฮ่องเต้กลับตอบแทนนางด้วยตำแหน่งนี้ และนางก็ได้รับการเลื่อนตำแหน่งจากเสี้ยนจู่ระดับห้าเป็นจวิ้นจู่ระดับสอง ซึ่งทำให้ไทเฮาอย่างนางยากที่จะยอมรับ ดังนั้นจึงสั่งให้กู้เสี่ยวหวานเข้าเฝ้าตนเองในวันนี้
เมื่อได้พบนางไทเฮาก็รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย
ทั้งก่อนหน้านี้ไทเฮายังได้ยินเรื่องที่เกิดขึ้นในงานเลี้ยงบทกวีที่จัดขึ้นในตระกูลซู แต่เมื่อได้เห็นหญิงสาวในวันนี้ ความรู้สึกคาดไม่ถึงในใจของนางก็รุนแรงมากขึ้นเรื่อย ๆ
กู้เสี่ยวหวานตรงหน้านางอายุเพียงสิบหกปี รูปร่างเพรียวบาง ดวงตาสวยงามคู่นั้นราวกับภาพวาด นอกจากนี้หากมองเพียงแวบแรกลักษณะใบหน้าของนางไม่ได้โดดเด่นสะดุดตา
แต่แววตากลับสงบนิ่งราวกับทะเลสาบไร้คลื่น จมูกของนางเรียวเล็ก ริมฝีปากแดงระเรื่องดงามนัก
ผิวขาวราวกับหิมะ ท่วงท่สง่างาม ผมสีดำขลับรวบขึ้นเป็นมวยมีเพียงปิ่นปักผมหยกเท่านั้นที่สอดไว้ ดอกฝูหรงแดงถูกแกะสลักบนปิ่น และอาภรณ์สีเทา แม้จะดูเรียบง่าย แต่ก็สง่างาม และเสื้อผ้าบนร่างกายของนาง แม้แต่ไทเฮาที่ได้เห็นสิ่งที่สวยงามที่สุดในดินแดนมามากมายก็อดไม่ได้ที่จะชื่นชม
ดอกฝูหรงสีแดงสดถูกปักไว้ที่ชายกระโปรงของสีเทา ความแวววาวของผ้านั้นราวกับระลอกคลื่นของน้ำตัดกับดอกชบาสีแดงอย่างสิ้นเชิงซึ่งทำให้ผู้หญิงตรงหน้าดูอ่อนเยาว์
ไทเฮาอวดว่าตัวเองงดงามราวกับดอกไม้เมื่อครั้งนางยังเด็ก ดังนั้นฮ่องเต้และองค์หญิงจึงเกิดมาหน้าตางดงาม
แต่เมื่อเห็นอันผิงจวิ้นจู่ กลิ่นอายที่เปล่งออกมาจากร่างกายของนางทำให้ผู้คนอยากเข้าใกล้ ดวงตาที่เปล่งประกายหากมองแล้วไม่อาจละสายตาได้ นางไม่มีท่าทางดุร้ายเลยแม้แต่น้อย
มีบรรยากาศที่อ่อนโยนทำให้ผู้คนตกหลุมรักตั้งแต่แรกพบ ในอนาคตนางจะต้องเป็นคนที่งดงามยิ่งกว่านี้อย่างแน่นอน
ไทเฮามองไปที่กู้เสี่ยวหวานด้วยความชื่นชม
นางเป็นผู้หญิงที่โอนอ่อนหรือหยิ่งยโส
“เจ้าคงเป็นกู้เสี่ยวหวานอันผิงจวิ้นจู่ที่ได้รับการแต่งตั้งจากฮ่องเต้” ไทเฮาสำรวจนางเสร็จแล้วก็หยิบชาโสมที่ด้านข้างขึ้นมาดื่ม
“ตอบกลับไทเฮา หม่อมฉันได้รับความกรุณาจากฮ่องเต้และได้รับการแต่งตั้งเป็นจวิ้นจู่ บัดนี้หม่อมฉันมาเพื่อขอบคุณความกรุณาของฮ่องเต้ และขออวยพรให้ไทเฮาเพคะ” กู้เสี่ยวหวานตอบอย่างนอบน้อม
ไทเฮาหัวเราะเมื่อได้ยินดังนั้น และพูดด้วยรอยยิ้มกับนางกำนัลที่อยู่ด้านข้าง “จิ่นอี ผู้หญิงคนนี้ช่างกล้าหาญ ข้าถามเพียงประโยคเดียว แต่กลับตอบยาวเสียขนาดนี้
คำตอบของกู้เสี่ยวหวานไม่มีความเขินอาย ตรงกันข้ามกันน้ำเสียงของนางผ่อนคลาย ไม่เร่งรีบหรือพูดตะกุกตะกักเพราะความประหม่าที่ต้องเผชิญหน้ากับไทเฮา ไร้ความซึ่งความหวาดกลัวเมื่อต้องพบกับคนตรง
จิ่นอีที่อยู่ด้านข้างมีอายุไล่เลี่ยกับไทเฮา ดังนั้นนางจึงคุ้นเคยกับไทเฮาเป็นอย่างดี ดูเหมือนว่าจะเป็นคนข้างกายที่ติดตามไทเฮามานาน
จิ่นอียิ้มและพูดว่า “นั่นเพราะไทเฮาที่เข้าถึงได้ง่าย ไม่เช่นนั้นจวิ้นจู่คงจะตกใจกลัวจนพูดออกมาไม่เป็นประโยคแล้ว?”
“ใช่แล้วจิ่นอี เชิญนั่งก่อน ข้าไม่ได้พบคนวิเศษเช่นนี้มานานแล้ว คาดว่าเราคงต้องมีเรื่องคุยกันยาว” ไทเฮาสั่งให้คนจัดที่นั่ง กู้เสี่ยวหวานจึงคุกเข่าลงอีกครั้งเพื่อขอบคุณในความกรุณา
……….