ทะลุมิติไปเป็นสาวนาผู้ร่ำรวย - บทที่ 1645 พระสนมต้องการซาวเข่า
บทที่ 1645 พระสนมต้องการซาวเข่า
ดังนั้น จึงนั่งบนเก้าอี้หินอ่อนและถามอย่างเขินอาย “ฝ่าบาทหม่อมฉันไม่ได้เข้าเฝ้าพระองค์มานานแล้ว นึกไม่ถึงเลยว่าวันนี้จะได้เข้าเฝ้าฝ่าบาทที่ทำตำหนักของไทเฮา หม่อมฉันคิดว่ามันเป็นพรหมลิขิต”
เป็นโชคชะตาที่สวรรค์กำหนดไว้
โหยวกุ้ยเฟยยิ้มมีเลศนัย ครั้นเห็นอาหารที่อยู่ข้างหน้าของฮ่องเต้ กลิ่นหอมกรุ่นช่างยั่วยวนน้ำลายสอเหลือเกิน “ฝ่าบาท กลิ่นอะไรหรือเพคะ เหตุใดหอมยิ่งนัก”
ฮ่องเต้ยังไม่ทันเปิดปากพูด หลังจากที่โหยวกุ้ยเฟยกวาดสายตามองอาหารตรงหน้าอย่างละเอียดก็ไม่รู้สึกโปรด และพูดอย่างขยะแขยง “นี้เนื้ออะไรไยสกปรกเช่นนี้ เจ้าไม่ได้ทำความสะอาดมันก่อนหรอกหรือ”
สีหน้าขยะแขยงของโหยวกุ้ยเฟยบ่งบอกทุกอย่างแล้ว นางกำลังบอกว่าของบนโต๊ะนี้สกปรกนัก
แต่ซูเทียนซื่อกลับหยิบขึ้นมาหนึ่งไม้แล้วกินเข้าไป โหยวกุ้ยเฟยยังไม่ทันห้ามเห็นซูเทียนซื่อนำเข้าปากไปเสียแล้ว “ฝ่าบาท ของสิ่งนี้อาจจะส่งผลร้ายแรงต่อร่างกายได้นะเพคะ”
“อร่อยมาก” ซูเทียนซื่อโยนไม้ในมือทิ้ง จากนั้นหยิบขึ้นมาอีกหนึ่งไม้แล้วยื่นให้ผู้เป็นมารดา “ท่านแม่ รสชาติไม่เลวเลย ท่านลองชิมดูสิ”
จากนั้นโหยวกุ้ยเฟยมองไปที่ไทเฮาที่กำลังกินของสกปรกนั้นอย่างเอร็ดอร่อย
องค์หญิงลี่หัวกินต่ออย่างไม่สนใจโหยวกุ้ยเฟย ทั้งยังพูดเสียงดังว่า “เสด็จพี่ อย่ามาแย่งข้านะ จานนี้เป็นของข้าทั้งหมด”
“เจ้ากินให้น้อยลงน้อยเถอะ เมื่อวานจวิ้นจู่บอกว่าสิ่งนี้ทำให้เกิดอาการร้อนในได้ ระวังพรุ่งนี้กินแล้วจะร้อนในจนพูดไม่ได้” ซูเทียนซื่อพูดเตือน
แต่ลี่หัวกลับตอบด้วยรอยยิ้ม “ของอร่อยขนาดนี้ หากจะทำให้พรุ่งนี้ข้าพูดไม่ได้ก็ไม่เป็นไร”
โหยวกุ้ยเฟยมองไทเฮาและองค์หญิงกำลังกินสิ่งที่ตนเองคิดว่าสกปรกด้วยความเอร็ดอร่อย ใบหน้าแดงระเรื่อพลันขาวซีด แม้ว่าไทเฮาจะไม่ได้ต่อว่าตัวเอง แต่ท่าทีเฉยเมยของพวกเขาทำให้โหยวกุ้ยเฟยรู้สึกตื่นตระหนก
เดิมทีแล้วนางก็อยากจะลิ้มลองรสชาติแปลกใหม่นี้เหมือนกัน แต่ซาวเข่าที่อยู่ตรงหน้าทั้งหมดถูกองค์หญิงช่วงชิงไปหมดแล้ว จึงอดไม่ได้ที่จะรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย เพื่อพิสูจน์ว่าเมื่อครู่ตนเองเอ่ยผิดไป จึงเริ่มหาทางพิสูจน์ว่าเมื่อครู่ตัวเองพูดอะไรผิด
ครรสายตาเห็นขันทีฉีกำลังย่างซาวเข่าอยู่ข้าง ๆ ทั้งยังมีหญิงสาวอีกคนในอาภรณ์สีเทา ชายกระโปรงและแขนเสื้อปักลวดลายดอกฝูหรงสีแดง ภายใต้การขับเน้นนั้นทำให้นางดูสง่างาม
เดิมคิดว่าการสวมอาภรณ์สีเทาจะทำให้เกิดกลิ่นอายหม่นหมอง แต่ตรงกันข้าม สีมืดมนนี้เมื่อรวมกับสีแดงกลับยิ่งขับให้นางโดนเด่น
รูปโฉมของสตรีนางนี้ไม่ได้โดดเด่นนัก แต่ท่วงทีพราวเสน่ห์งามพิลาส
โหยวกุ้ยเฟยมองหญิงสาวคนนั้นด้วยความอิจฉา นางไม่คุ้นตาหญิงสาวคนนี้ แต่เมื่อวานนี้ฮ่องเต้ได้ประกาศพระราชโองการเป็นการส่วนพระองค์ แต่งตั้งเสี้ยนจู่อันผิงเป็นอันผิงจวิ้นจู่ระดับสอง ได้ยินว่าวันนี้นางเข้าวังเพื่อเข้าเฝ้าไทเฮา คาดว่าหญิงคนนี้คงจะเป็นเสี้ยนจู่อันผิงที่คนพูดถึงกัน
ไม่ใช่สิ ตอนนี้เป็นอันผิงจวิ้นจู่แล้ว
“ผู้หญิงคนนี้งดงามยิ่งนัก ท่วงทีผ่าเผยสง่างาม เปล่งประกายทั่วใต้หล้า” โหยวกุ้ยเฟยก้าวเดินพลางพยุดลงข้างกู้เสี่ยวหวาน ดูเหมือนว่านางกำลังย่างบางอย่างจึงอดไม่ได้ที่จะมอง ตอนเห็นความเรียบง่ายพลันเกิดความคิดหนึ่งขึ้นมาว่าเมื่อกี้ตัวเองพูดอะไรผิด แม้ว่าฮ่องเต้ไม่ได้ตำหนิตนเอง แต่นางก็ควรจะยอมรับความผิดลาดของตัวเอง
“นี่คืออันผิงจวิ้นจู่ที่ได้รับการแต่งตั้งจากฮ่องเต้เมื่อวานนี้” ไทเฮาตรัสว่า “วันนี้นางมาเข้าเฝ้าเพื่อเป็นการขอบคุณ”
โหยวกุ้ยเฟยยิ้ม “ช่างเป็นหญิงสาวที่เพรียบพร้อมที่หาได้ยาก ปีนี้เจ้าอายุเท่าไหร่แล้ว”
กู้เสี่ยวหวานลุกขึ้น ขมวดคิ้วและตอบด้วยความเคารพ ไม่โอนอ่อนและไม่ได้เย่อหยิ่ง “ตอบกลับกุ้ยเฟย ปีนี้อายุสิบหกเพคะ”
“เจ้าอายุไล่เลี่ยกับข้าเลย” โหยวกุ้ยเฟยเอ่ยอย่างตื่นเต้น
“พระสนมสูงส่งดุจทองคำพันชั่ง กิริยาชะมอยชะม้ายหยาดเยิ้ม หญิงสาวชาวบ้านธรรมดาอย่างหม่อมฉันไม่กล้าเทียบชั้นกับพระสนมผู้สูงส่งหรอกเพคะ” กู้เสี่ยวหวานไม่รู้ว่าคนตรงหน้ากำลังหมายความอย่างไร จึงได้แต่ตอบอย่างนอบน้อม
ได้แต่ครุ่นคิดในใจว่านางต้องการสื่อสิ่งใดกันแน่
พี่เย่จือเคยบอกว่านางเคยเข้าเฝ้าฮ่องเต้ต้องการให้ฮ่องเต้ประหารชีวิตลุงหลี่ ตอนนี้นางรู้ฐานะของตัวเองแล้ว ไม่รู้ว่านางวางแผนอะไรอีก
“เจ้าช่างเจียมเนื้อเจียมตัว” โหยวกุ้ยเฟยพูดด้วยรอยยิ้ม จากนั้นหันไปพูดกับไทเฮาและฮ่องเต้ “ฝ่าบาท ข้าเพิ่งเห็นจวิ้นจู่ย่างบางอย่าง ข้าย่างให้พวกท่านชิมบ้างดีหรือไม่”
“หายากนักที่เจ้าจะมีความคิดเช่นนั้น แล้วแต่เจ้าสะดวกเลย” ฮ่องเต้ไม่พูดสิ่งใดมากความ พลางยกชาขึ้นจิบ องค์หญิงลี่หัวกินซาวเข่าในจานตัวเองก็ไม่มีใจจะพูดอะไร ไม่รู้ว่านางผู้นี้กำลังคิดอะไรกันแน่
โหยวกุ้ยเฟยถอนหายใจ จากนั้นกู้เสี่ยวหวานถอยหลบ ขันทีฉีเห็นโหยวกุ้ยเฟยมารีบหลีกทางให้ เกรงว่าหากตนเองไม่ทันระวังจะบังเอิญให้ทำให้กุ้ยเฟยเกิดอันตราย
โหยวกุ้ยเฟยปฏิเสธความช่วยเหลือจากกู้เสี่ยวหวานและขันทีฉี นางเฝ้าดูวิธีย่างของกู้เสี่ยวหวานมานานแล้ว รู้สึกว่าการย่างซาวเข่าค่อนข้างง่าย นางจึงพูดด้วยรอยยิ้ม “ข้าต้องการย่างออกมาสองสามอย่างให้ฝ่าบาทและไทเฮาด้วยตัวเอง ถือว่าเป็นการแสดงความตั้งใจของข้า”
ฮองเต้เห็นแบบนั้นก็โบกมือให้กู้เสี่ยวหวานและขันทีฉี ทั้งสองก็ถอยกลับไปข้างหลัง เหลือโหยวกุ้ยเฟยอยู่ที่หน้าเตาคนเดียว
นางเลือกวัตถุดิบมาสองสามชนิด เลือกไปด้วยพูดด้วยรอยยิ้มไป “ไทเฮาชอบกินอันนี้ ฮ่องเต้ชอบสิ่งนี้ องค์หญิงชอบกินอันนี้”
หยิบออกมาสองสามอย่าง จากนั้นวางลงบนตะแกรงย่างเลียนแบบกู้เสี่ยวหวาน
แม้ว่านางจะบอกว่าเคยเห็นกู้เสี่ยวหวานย่างซาวเข่า แต่ก็ไม่เคยลองมาก่อนด้วยซ้ำ ตอนย่างจึงมีท่าทางเงอะงะไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไร
ทาน้ำมันน้อยก็ไหม้เกรียม ทาน้ำมันเยอะก็หยดลงบนถ่านทำให้เปลวไฟลุกโชน โหยวกุ้ยเฟยไม่รู้จะทำอย่างไร จากนั้นทาเครื่องปรุง หากแต่เผลอใส่เกลือเยอะเกินไป สถานการณ์วุ่นวายยิ่งนัก
……….