ทะลุมิติไปเป็นสาวนาผู้ร่ำรวย - บทที่ 1646 ความโกรธของนางสนม
บทที่ 1646 ความโกรธของนางสนม
อาหารที่อยู่ในมือของโหยวกุ้ยเฟยแทบจะกลายเป็นสีดำ ไม่ใช่ว่าเพราะย่างนานเกินไปจนไหม้ หากแต่เป็นเพราะมันยังดิบอยู่ เอาเป็นว่ารอจนถึงตอนที่ถูกจัดวางอยู่บนโต๊ะ รูปร่างหน้าตาของมันคงจะไม่น่าดูแน่
ซูเทียนซื่อมองไปที่เนื้อเสียบไม้สองสามไม้ที่ย่างอยู่บนเตา พลางถามด้วยรอยยิ้ม “นี่คือของที่โหยวกุ้ยเฟยเป็นคนย่างงั้นหรือ”
นางบีบมือตัวเองแน่นด้วยความลำบากใจ นางถือเนื้อเสียบไม้นี้อยู่ตลอด พลิกไปพลิกมาไม่หยุดจนทำให้มือเมื่อยไปหมด “ฝ่าบาท นี่เป็นครั้งแรกของหม่อมฉัน ครั้งต่อไป หม่อมฉันต้องทำได้ดีกว่านี้แน่นอนเพคะ”
ซูเทียนซื่อหยิบซาวเข่าขึ้นมาไม้หนึ่ง พลางชี้ไปที่รอยไหม้ “ตรงนี้ไหม้แล้ว แต่ดูตรงนี้ ยังดิบอยู่เลย เจ้าคงไม่ยากให้ข้าและเสด็จแม่กินอันนี้จริง ๆ หรอกใช่ไหม”
“ไม่ใช่แน่นอนเพคะ” เมื่อโหยวกุ้ยเฟยได้ยินดังนั้น จึงรีบผลักของเหล่านั้นไปด้านข้าง “หม่อมฉันจะย่างอีกครั้ง ครั้งนี้จะต้องย่างออกมาได้ดีแน่นอนเพคะ”
โหยวกุ้ยเฟยยังต้องการใช้เสน่ห์ปลายจวักเอาใจซูเทียนซื่อ แต่ซูเทียนซื่อกลับไม่สนใจแล้วพูดกับไทเฮาว่า “เสด็จแม่ ลูกยังมีงานที่ต้องทำอีก ดังนั้นลูกขอตัวก่อน”
การทรงงานเรื่องสำคัญของฮ่องเต้ แน่นอนว่าไทเฮาเหนียงเหนียงคงไม่รั้งตัวฮ่องเต้ไว้ จึงรีบตรัสว่า “งานราชการเป็นงานสำคัญ เป็นงานที่ฮ่องเต้จะละเลยไม่ได้ เช่นนั้นรีบไปเถอะ”
ซูเทียนซื่อลุกขึ้นและคำนับไทเฮา แล้วเดินจากไปท่ามกลางเสียงแสดงความเคารพของผู้คน
โหยวกุ้ยเฟยหยิบของที่ซูเทียนซื่อชื่นชอบออกมาสองไม้ แต่ยังไม่ทันเริ่มย่างก็เห็นฮ่องเต้เดินออกไปแล้ว สีหน้าของนางจึงเปลี่ยนไปทันที
ไทเฮาจึงถอนหายใจพลางกล่าวว่า “ข้ารู้สึกเหนื่อยแล้ว กลับตำหนักกันเถอะ”
แล้วจึงเดินนำออกไปท่ามกลางเสียงทำความเคารพ
โหยวกุ้ยเฟยที่กำลังถือของที่ไทเฮาโปรดปราดชะงักงัน
สุดท้ายคนที่ยังไม่ได้เดินออกไปคือองค์หญิงลี่หัว ในมือของนางยังมีเนื้อย่างเสียบไม้ที่ยังทานไม่หมด นางจึงโยนมันให้สาวใช้ที่อยู่ด้านข้าง แล้วเดินมาหยุดข้างหน้ากู้เสี่ยวหวาน “เป็นครั้งแรกที่ข้าพบเจ้า เจ้าคือจวิ้นจู่ถ้าเช่นนั้นข้าจะพาเจ้าไปดูสวนดอกไม้รอบ ๆ จากนี้เจ้าคงได้มาที่นี่บ่อย ๆ ข้าจะพาเจ้าทำความคุ้ยเคยกับวังนี้เสียตอนนี้เลยแล้วกัน”
คงจะดีไม่น้อยหากมีองค์หญิงช่วยพานางไปทำความคุ้นเคยกับวังนี้
กู้เสี่ยวหวานรีบแสดงความขอบคุณ และกล่าวลากับโหยวกุ้ยเฟยที่ยืนหน้าดำหน้าแดงอยู่ จากนั้นจึงตามองค์หญิงออกไป
และในเวลาเดียวกันขันทีฉีก็หันมากล่าวลานาง หลังจากกล่าวลาโหยวกุ้ยเฟยอย่างรวดเร็ว ก็รีบเดินออกไปพร้อมกู้เสี่ยวหวาน
เมื่อครู่ที่ฮ่องเต้เดินออกไป นางไม่เห็นว่าข้างกายจะมีขันทีที่คอยติดตาม ครั้งนี้กลับเห็นขันทีติดตามเสี้ยนจู่ผู้นั้นอยู่ข้างกาย เมื่อนึกถึงฐานะของขันทีผู้นี้ นางก็กำหมัดแน่น
เมื่อครู่ศาลานี้แน่นขนัดไปด้วยผู้คน แต่ตอนนี้เหลือเพียงนางกับสาวใช้ที่ติดตามนางมาด้วยเพียงสองสามคน ช่างดูโดดเดี่ยวยิ่ง
โหยวกุ้ยเฟยอยากจะปาข้าวของในมือทิ้งเสีย เพียงทว่าตอนนี้นางอยู่ภายในตำหนักของไทเฮาเหนียงเหนียง นางจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากดับไฟ
“คนก็กลับกันไปหมด พวกเรากลับตำหนักเถอะ” น้ำเสียงกระเง้ากระงอดสีหน้าดูเศร้าใจ จากนั้นจึงเดินนำสาวใช้สองสามคนออกไป
เมื่อกลับมาถึงตำหนักตนเอง สาวใช้ที่รีบตามนางออกมาก็ถูกด่าว่าทุบตีอย่าเหี้ยมเกรียม
แต่ยังดีที่สาวใช้ข้างกายคนสนิทสี่คนไม่เคยถูกตำหนิหรือทุบตีเลยสักครั้ง จริง ๆ แล้วสาวใช้ทั้งสี่คนนี้นางเป็นคนพามาจากจวน เปรียบเสมือนครอบครัวของนาง ล้วนซื่อสัตย์ภักดีต่อนาง
หลังจากทุบตีด่าว่าสาวใช้แล้ว อารมณ์ร้อนกรุ่นพลันดับมอด สั่งให้คนเข้ามาเก็บกวาดห้อง แล้วทิ้งตัวนอนลงบนเตียงอย่างเกียจคร้าน ก่อนจะเอ่ยเรียกจือชูเข้ามา
“ของที่ข้าสั่งให้เจ้าไปซื้อมา เจ้าซื้อมาได้หรือไม่”
“ตอบกลับเหนียงเหนียง หม่อมฉันซื้อมาแล้วเพคะ เพียงแต่ที่หน้าประตูวังมีการตรวจตราเข้มงวด ช่วงนี้จึงยังนำเข้ามาไม่ได้” จือชูตอบกลับ
“ไร้ประโยชน์ ข้าให้เจ้าซื้อของแค่นี้เจ้ายังใช้เวลานาน” โหยวกุ้ยเฟยต่อว่า จือชูจึงรีบคุกเข่าลงที่พื้นแล้วพูดว่า “ข้าสมควรตาย ข้าสมควรตาย”
“เจ้าสมควรตาย แต่ยังไม่ใช่ตอนนี้” โหยวกุ้ยเฟยเอ่ยน้ำเสียงเรียบ “เจ้าต้องออกไปนอกวังอีก ชุดที่จวิ้นจู่ผู้นั้นสวมใส่ในวันนี้ช่างงดงามจริง ๆ เจ้าไปที่ร้านผ้าแล้วซื้อมาให้ข้าสักผืน”
เมื่อจือชูได้ยิน นางจึงถอนหายใจด้วยความโล่งอก โค้งคำนับตอบรับ “เพคะ หม่อมฉันจะไปเดี๋ยวนี้”
“แล้วก็บอกท่านพ่อ ไม่ต้องออกหน้าแทนครอบครัวรองแล้ว เพราะฮ่องเต้ก็ทรงมีพระราชโองการแต่งตั้งผู้หญิงคนนั้นให้เป็นจวิ้นจู่ ไม่ว่าพวกเราจะทำอย่างไรก็คงเปลี่ยนความคิดของฮ่องเต้ไม่ได้” โหวยกุ้ยเฟยหวนนึกถึงท่าทีของฮองเฮา ฮ่องเต้และองค์หญิงผู้นั้นที่ปฏิบัติต่อกู้เสี่ยวหวาน ก็โกรธจนอยากจะฉีกหญิงคนนั้นเป็นชิ้น ๆ
ยามที่ฮ่องเต้เดินจากไป ขันทีที่ติดตามกลับไม่เดินนำออกไป ขันทีผู้นั้นกลับมาอยู่ข้างกู้เสี่ยวหวานตลอด ดูไม่ยากว่าฮ่องเต้ทรงชอบนางผู้นี้มาก
ขันทีผู้นี้เป็นขันทีที่คอยติดตามดูแลฮ่องเต้อย่างใกล้ชิด ตั้งแต่ตอนที่ฮ่องเต้ยังทรงอยู่ในวัยกำดัด คอยอยู่ข้างกายมาโดยตลอด มันช่างน่าแปลกใจนัก
คำพูดและการกระทำของเขา ก็แสดงออกถึงความคิดของฮ่องเต้
เขาอยู่ข้างกายกู้เสี่ยวหวาน นั้นก็หมายความว่าฮ่องเต้ทรงโปรดปรานอันผิงจวิ้นจู่ผู้นี้ใช่หรือไม่
อายุไล่เลี่ยกัน ทั้งยังงดงามราวกับดอกบัวที่พึ่งโผล่พ้นน้ำ หญิงสาวที่งดงามเช่นนี้ เป็นผู้ใดก็ย่อมตกหลุมรักเป็นธรรมดา
ไม่มีผู้ใดเข้าวังมานานแล้ว ทุกคนในวังล้วนเป็นคนเก่าแก่ ไม่แปลกที่ฮ่องเต้จะทรงหวั่นไหว
โหยวกุ้ยเฟยยิ้มอย่างเยือกเย็น คิดว่าตอนนี้ในวังมีเพียงฮองเฮา นางและสนมหวางอีกคนนั้นจะเงียบเหงาเกินไป ก็ไม่แปลกที่ฮ่องเต้ทรงมีพระราชโอการแต่งตั้งจวิ้นจู่อีกคน
เดิมทีคงมีความคิดเช่นนี้
เมื่อคิดถึงนางสนมหวางที่ขี้อิจฉาผู้นั้น นางก็อดหัวเราะออกมาไม่ได้
กู้เสี่ยวหวาน จะคอยดูว่าเมื่อเข้าวังเจ้าจะอยู่รอดไปได้อย่างไร
กู้เสี่ยวหวานเดินตามองค์หญิงลี่หัวจนออกมาถึงด้านนอกห้องของไทเฮา โหยวกุ้ยเฟยผู้นั้นก็หายไป นางจึงถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก นับว่าสลัดนางออกได้แล้ว
ท่าทางทุกคนที่มีต่อโหยวกุ้ยเฟยตอนที่อยู่ในลาน ล้วนอยู่ในสายตาของกู้เสี่ยวหวาน โหยวกุ้ยเฟยผู้นี้หยิ่งยโสใช้ความเมตตาของฮ่องเต้ ทำตัวตามอำเภอใจ แต่นางกลับไม่รู้ว่าความอดทนของคนนั้นมีขีดจำกัดเสมอ
ต่อให้รักแค่ไหน ก็ต้องมีวันที่หมดความอดทน