ทะลุมิติไปเป็นสาวนาผู้ร่ำรวย - บทที่ 1647 ออกจากวังด้วยความราบรื่น
บทที่ 1647 ออกจากวังด้วยความราบรื่น
“เจ้านั้นช่างดี สงบเสงี่ยม อ่อนโยนดั้งเบจมาศ ราวกับกล้วยไม้กลางหุบเขาลึก ความเปล่งประกายที่ทำให้ใครก็อยากเข้าใกล้ ไม่แปลกใจเลยที่เสด็จแม่และเสด็จพี่จะชอบ ทันใดนั้นองค์หญิงก็มองกู้เสี่ยวหวานด้วยสายตาที่กำลังสื่อความหมาย
กู้เสี่ยวหวานรู้สึกตกใจ และมีความคิดแวบเข้ามาในหัวของนาง
องค์หญิงผู้นี้คงไม่ได้คิดว่านางจะเข้าวังหรอกนะ
กู้เสี่ยวหวานก้มหน้างุด พลางตอบกลับด้วยความนอบน้อม “ทูลองค์หญิง เป็นความเมตตาของไทเฮาเหนียงเหนียง เป็นความกรุณาของฮ่องเต้ เสี่ยวหวานจึงมีวันนี้”
นางยังพูดไม่ทันจบ ก็เห็นองค์หญิงยกมือขึ้นแล้วพูดว่า “เจ้าอย่าเรียกข้าว่าองค์หญิงเลย ฟังดูแล้วไม่ค่อยน่าฟังเท่าไรนัก เรียกลี่หัวเหมือนที่อวี้ซูเรียกเถอะ ข้าอายุเท่ากันกับอวี้ซู จะว่าไปแล้วน่าจะอายุน้อยกว่าเจ้าสองปี ข้าได้ยินอวี้ซูพูดถึงเจ้าอยู่หลายครั้ง ยังบอกว่าเจ้าเป็นคนสนุกสนาน เดิมทีก็อยากจะพบหน้าเจ้าสักครั้ง แต่ด้วยฐานะของเจ้าก่อนหน้านี้ จะเข้ามาในวังคงไม่ใช่เรื่องง่าย ข้าจะออกจากวังก็ไม่ง่าย ครานี้ถือเป็นเรื่องดี เพราะตอนนี้เจ้าเป็นจวิ้นจู่ คราวหลังถ้าข้าอยากจะพบเจ้า ก็สามารถเชิญเจ้าเข้ามาที่วังได้”
เมื่อเห็นทั้งสองคุยกันอย่างมสนุกสนาน ใบหน้าของขันทีฉีก็เต็มไปด้วยพอใจ คอยติดตามอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลทางด้านหลัง
“อวี้ซูมีนิสัยซุกซนเช่นนั้น เจ้าทำให้นางเชื่อฟังเจ้าได้อย่างไร” ทั้งสองมีเพื่อนร่วมกัน ก็ยิ่งทำให้ความสัมพันธ์นี้ดูสนิทสนมกันขึ้นไปอีก
กู้เสี่ยวหวานกำลังฟังองค์หญิงเล่าถึงถานอวี้ซู บอกว่านางนั้นซนอย่างกับลิงกัง นางจึงพูดพร้อมหัวเราะว่า “นางเป็นเด็กดี เชื่อฟังข้ายิ่งนัก”
“เชื่อฟัง?” องค์หญิงได้ฟัง นางก็ทำสีหน้าไม่น่าเชื่อออกมา “เจ้าอาจจะไม่รู้ ยามที่ลิงน้อยนั้นโกรธ นางก็จะไม่สนใจข้าไปครึ่งค่อนเดือน แถบยังทุบข้าวของในตำหนักข้าอีก”
ดูแล้วความสัมพันธ์ของทั้งสองคงจะดีมากจริง ๆ
ครั้นเห็นองค์หญิงใหญ่เล่าเรื่องน่าอายของถานอวี้ซู กู้เสี่ยวหวานก็อดยิ้มตามไม่ได้
“ทว่า มันก็เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นมานานแล้ว ตอนนี้นางเปลี่ยนไปมาก ข้าเพิ่งมารู้ทีหลังว่านางเปรียบเจ้าดั่งพี่สาวแท้ ๆ” รอยยิ้มขององค์หญิงเจือไปด้วยความเศ้รา “จริง ๆ แล้วข้านั้นอิจฉานางมาก เมื่อก่อนไม่มีพ่อแม่ มักจะติดตามปู่ที่ทำได้เพียงกวัดแกว่งมีดฆ่าคนในสนามรบ ต่อมาเสด็จแม่จึงเกิดความาสงสาร และรับนางมาอยู่ภายใต้การดูแลของตน เดิมทีแล้วนางไม่ใช้คนเรียบร้อย อยู่ในวังด้วยความสงบเสงี่ยมมานานหลายปี นางออกจากวังไปหลังจากที่ปู่ของนางกลับมาจากสนามรบ แต่ก็กลับมาเยี่ยมข้าและเสด็จแม่อยู่เสมอ นางก็มักจะเล่าเรื่องแปลก ๆ ที่นางพบเจอมาจากโลกภายนอกให้ข้าฟัง ยามที่นางเล่าถึงเรื่องราวที่พบเจอมา ใบหน้าที่เต็มไปด้วยความสุขของนาง ก็ทำให้คนรู้สึกอิจฉาที่นางได้ไปพบเห็นโลกกว้างภายนอก ส่วนข้าคงถูกจองจำอยู่ใต้กำแพงสูงนี้ตลอดไป และได้เห็นเพียงท้องฟ้าที่กว้างใหญ่นี้”
นางเงยหน้าขึ้นมองไปบนฟ้า ดวงตาของนางเต็มไปความโหยหาและปรารถนาจะพบเจอสิ่งแปลกใหม่
กู้เสี่ยวหวานเงยหน้าขึ้นมองตามสายตาของนางโดยไม่ได้พูดอะไร
กำแพงสูง อำนาจและความรุ่งโรจน์ มีคนไม่น้อยที่ปรารถนาสิ่งเหล่านี้ นั่นเป็นความเห็นแก่ตัวและความโลภของมนุษย์ มีความมั่งคั่งกลับต้องการอิสระ แต่เมื่อมีอิสระกลับต้องการอำนาจ
ทุกคนต่างก็มีความโลภ ก็เหมือนกับนาง นางต้องการมีชีวิตที่ดีไปพร้อมกับความฟุ่มเฟื่อย ทั้งยังต้องการอิสระให้ตัวเอง
ก่อนจากกัน องค์หญิงยังได้มอบของกำนัลให้นางเป็นเครื่องประดับและหยกจำนวนหนึ่ง พร้อมกับขอให้ครั้งหน้าที่กู้เสี่ยวหวานเข้าวังมา เล่าเรื่องภายนอกให้นางฟังบ้าง ดังนั้นกู้เสี่ยวหวานจึงรับปาก จากนั้นขันทีฉีจึงนำทางนางออกจากวัง
เมื่อมาถึงสวนชิง ถานอวี้ซูยังคงรอนางอยู่ที่บ้าน เมื่อเห็นกู้เสี่ยหวานกลับมา ทั้งยังได้รับของกลับมามากมาย จึงพูดด้วยความตื่นเต้นว่า “วันนี้เข้าวังเป็นอย่างไรบ้างราบรื่นดีหรือไม่เจ้าคะ”
กู้เสี่ยวหวานพยักหน้า “อืม ฮ่องเต้ ไทเฮา และองค์หญิงมอบของให้ข้ามากมาย”
กู้ฟางสีที่อยู่ด้านข้างพูดอมิตาพุทธออกมาอย่างรวดเร็ว วันนี้จิตใจนางไม่อยู่กับเนื้อกับตัว เอาแต่เฝ้าประตูใหญ่อยู่ตลอดเวลา สงสัยว่าทำไมหลานสาวยังไม่กลับมาสักที ดีที่ครั้งนี้กลับมาได้อย่างปลอดภัย ทั้งยังนำรางวัลกลับมามากมาย กู้ฟางสีจึงบอกว่านางต้องไปจุดธูปถวายพระอีกสักสองสามดอก
กู้เสี่ยวอี้รีบตามผู้เป็นอาไปด้วยความดีใจ
กู้เสี่ยวหวานไม่ได้รั้งพวกเขาเอาไว้ เพราะกู้เสี่ยวอี้นั้นอยู่กับท่านอามานาน การไหว้พระก็ถือเป็นหนึ่งในความสุขของนาง เดิมที นี่ก็ถือเป็นสิ่งที่หล่อเลี้ยงจิตใจผู้คน กู้เสี่ยวหวานจึงปล่อยให้นางไป
“ฮึ สาวน้อยคนนี้รู้มากจริง ๆ ข้าคิดเอาไว้ว่า ถ้านางไม่มอบท่านให้ข้า ครั้งหน้าที่เข้าวังข้าจะไม่ไปเล่นกับนาง” ถานอวี้ซูแยกเขี้ยวแยกฟันพูดด้วยความดีใจ
เมื่อเห็นว่าถานอวี้ซูเรียกองค์หญิงว่าสาวน้อย จึงนึกถึงองค์หญิงลี่หัวที่เรียกถานอวี้ซูว่าลิงน้อย ความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองนั้นดูได้ไม่ยาก ช่างสนิทสนมกลมเกลียวกันจริงๆ
เมื่อเห็นว่ากู้เสี่ยวหวานดื่มชาโดยไม่พูดอะไร ถานอวี้ซูจึงนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ และพูดอย่างเก้อเขิน “ท่านพี่ เรื่องความสัมพันธ์ของข้ากับองค์หญิง ข้าไม่ได้บอกท่าน ท่านโกรธข้าไหม”
“ข้าจะโกรธเจ้าทำไมล่ะ” กู้เสี่ยวหวานวางถ้วยชาลง มองไปที่ถานอวี้ซูที่กำลังรู้สึกหวั่นเกรง
“ข้าไม่ได้บอกท่านเรื่องความสัมพันธ์ของข้ากับองค์หญิง” ถานอวี้ซูอธิบาย “จริง ๆ แ ล้วข้าอยากจะบอกท่านเรื่องความสัมพันธ์ที่ดีของข้ากับองค์หญิง แต่คิดว่าถ้าพูดออกมาก็คงไม่ได้ช่วยอะไร ตรงกันข้ามข้ากลับคิดว่าคงไม่ใช่เรื่องดี ดังนั้นข้าจึงคิดว่าครั้งหน้าที่พวกเราไปเข้าเฝ้าด้วยกันค่อยบอกท่าน คิดไม่ถึงว่า วันนี้พวกท่านจะได้พบกัน”
นางคิดว่ามันคงไม่มีประโยชน์อะไร ฐานะของท่านพี่ไม่ได้สูง ถ้าบอกนางเรื่องความสัมพันธ์ของตนเองกับองค์หญิง ถานอวี้ซูกลัวว่าถ้าพูดเรื่องนี้ จะเหมือนกับว่านางกำลังโอ้อวดฐานะตนเองอยู่ ดังนั้นจึงปิดปากเงียบ
กู้เสี่ยวหวานรู้อยู่แล้วว่าน้องสาวคนนี้กำลังกังวลใจ จึงรีบพูดปลอบใจว่า “ข้าไม่ได้โกรธเจ้าเลยสักนิด ตรงกันข้าม ข้ากลับรู้สึกขอบคุณเจ้าที่ทำเพื่อข้ามากมายเช่นนี้”
“จริงหรือเจ้าคะ” ดวงตาของถานอวี้ซูเป็นประกาย
“จริงแน่นอน ข้าจะกล้ารังแกน้องข้าได้อย่างไร หากเป็นเช่นนั้น หนิงผิงกลับมาคงได้มาหักกระดูกข้าแน่ ในจดหมายคราวก่อน เอาแต่ย้ำอยู่หลายรอบ ว่าต้องให้ข้าดูแลเจ้าให้ดีดี” กู้เสี่ยวหวานยกคำพูดของกู้หนิงผิงขึ้นมา
เห็นได้ชัดว่าหน้าของถานอวี้ซูเปลี่ยนเป็นสีแดงทันใด เมื่อพูดถึงเรื่องจดหมาย นางก็นึกถึงจดหมายที่พี่หนิงผิงเขียนให้นางคราวก่อน
เขาเขียนมาในจดหมายเป็นครั้งแรกว่า ‘ข้ารักเจ้า’ เพียงสามคำ
ตอนที่นางเห็นคำนี้ในจดหมาย ก็รีบปิดมันด้วยความเขินอาย ใบหน้าขึ้นสีแดงก่ำ ในใจรู้สึกกระวนกระวาย ทั้งยังรู้สึกตื่นเต้นมีความสุขจนท่วมท้นหัวใจ