ทะลุมิติไปเป็นสาวนาผู้ร่ำรวย - บทที่ 1648 จับได้บนเตียงคาหนังคาเขา
บทที่ 1648 จับได้บนเตียงคาหนังคาเขา
“ท่านพี่ล้อข้าอีกแล้ว” ถานอวี้ซูพลันคิดถึงคำสามคำนั้น ใบหน้าก็ขึ้นสีแดงระเรื่อคล้ายเลือดฝาด กระทืบเท้าพูดด้วยความโกรธ ทำให้เสียงหัวเราะดังลั่นไปทั่วทั้งห้อง
หลังจากความครึกครื้นนั้นจบไป ถานอวี้ซูก็บอกข่าวหนึ่งกับนาง ทำให้กู้เสี่ยวหวานรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาอีกครั้ง
หนีปิ่งได้กลับมาทำงานกับกองกำลังรักษาความสงบ อำนาจที่ถูกเซี่ยงหย่วนหลินยึดครองก็ยึดกลับมา ตอนนี้ในมือของเซี่ยงหย่วนหลินไร้ซึ่งอำนาจ
ลูกจ้างร้านจิ่นฟูที่ถูกเซี่ยงหย่วนหลินทรมานได้รับการรักษา ไม่นานกองกำลังรักษาความสงบก็กลับมาสงบสุข ลูกจ้างร้านจิ่นฟูใจแข็งไม่ยอมพูดอะไรที่เกี่ยวกับร้านจิ่นฝูเลยแม้แต่น้อย พูดเพียงวว่ากู้เสี่ยวหวานสามาถรับช่วงต่อได้เพราะนางถือเป็นเจ้าของร้านจิ่นฝูคนที่สอง
คนเหล่านนี้เป็นพวกหัวแข็ง
“ตอนนี้ใต้เท้าหนีกลับคืนสู่ตำแหน่งเดิม และไม่ได้ไต่สวนลูกจ้างร้านจิ่นฝูอีกต่อไป เซี่ยงหย่วนหลินใช้วิธีการลงโทษพวกเขาขนาดนั้นยังไม่ยอมปริปากก็ไม่มีประโยชน์อะไรที่จะถามต่อ คาดว่าต่อให้ถามอะไรไปก็คงจะไม่ได้อะไร และเพราะมัวแต่สนใจกับการตามหาร่างคนตายอีกสองคนที่เหลือ” ถานอวี้ซูพูด สองร่างนั้นยังถูกซ่อนไว้อย่างมิดชิด น่าแปลกที่ไม่ใครรู้ว่าเขามาจากที่ใด โหยวเฉียนอยู่ในเมืองหลวงมาตลอด จะไปรู้จักกับคนเช่นนั้นได้อย่างไร
กู้เสี่ยวหวานตอบรับพลางพูดขึ้น “เขาไม่รู้จัก ไม่แน่ว่าอาจจะมีคนรู้จัก”
“ใคร”
“โหยวฝ่างฉินลูกชายคนโตบ้านรองตระกูลโหยว ได้ยินว่าเขาถูกโหยวไท่ซือปลดจากตำแหน่งจอหงวนที่ตำหนักจินหลวนเตี้ยน ตอนนี้ออกไปขึ้นเหนือลงใต้ ไม่แน่ว่า เขาอาจรู้จักคนตายสองคนนี้”
เมื่อนึกถึงโหยวฝ่างฉินกับซูหลินที่เคยนัดพบทำความรู้จักกัน กู้เสี่ยวหวานคิดอยู่ตลอด โหยวฝ่านฉินกับเรื่องนี้ต้องมีอะไรเกี่ยวข้องกันแน่นอน
กู้เสี่ยวหวานใช้เงินไปไม่น้อย แต่ก็ยังหาครอบครัวของคนที่ตายไม่พบ ที่กองกำลังรักษาความสงบก็ไม่มีข่าวอะไรคืบหน้า เดิมทีคิดว่าหากหาเบาะแสของคนตายพบเรื่องทุกอย่างก็จะจบลง แต่หลายวันต่อมา จู่ ๆ ก็มีคนมาที่เมืองหลวง บอกว่ารู้แล้วว่าผู้ตายคือใคร
คนคนนี้ กู้เสี่ยวหวานก็รู้จัก ตอนนั้นนางถูกคนใส่ร้ายว่าฆ่าเหมียวเอ้อคนทำบัญชีของร้านจิ่นฝู ต่อมาซูหมางผู้บัญชาการเรือนจำแห่งภูเขาหมินที่ขึ้นชื่อเรื่องความโหดเหี้ยมเลือดเย็นได้มาสืบสวนเรื่องเหมียวเอ้อและเจ้าหน้าที่ควบคุมนักโทษด้วยตัวเองที่เมืองหลิวเจีย
ตอนนี้เขามายังเมืองหลวง และตรงไปหาใต้เท้าหนีที่กองกำลังรักษาความสงบเพื่อพูดคุยเรื่องบางเรื่อง และไม่มีผู้ใดรับรู้
แต่ทันทีที่ซูหมางมาถึง เขาก็ยืนยันตัวตนของผู้เสียชีวิตสองคนนั้น
เดิมที ผู้เสียชีวิตสองคนนั้นได้ก่ออาชญากรรมจึงถูกส่งไปเหมืองที่ภูเขาหมิน คดีของสองคนนั้นไม่ใช่คดีฆาตรกรรมจึงไม่นับว่าเป็นคดีใหญ่ เมื่อครบกำหนดจึงปล่อยตัวไป และคิดว่าคงไม่เกิดเรื่องใด แต่คาดไม่ถึงว่าจะเกิดเรื่องใหญ่อย่างการถูกฆาตกรรมขึ้น
ทันทีที่แปะป้ายประกาศและระบุตัวตนของทั้งสองคน ทั่วทั้งในเมืองหลวงก็เกิดความโกลาหล
ผู้ที่อยู่ในกฎระเบียบเช่นนี้จะไปรู้จักกับนักโทษที่ภูเขาหมินได้อย่างไร แถมยังนั่งกินข้าวที่โต๊ะเดียวกัน เรื่องแปลกประหลาดเช่นนี้ก็ทำให้คนอดสงสัยไม่ได้
แต่ซูหมางมาเมืองหลวงครั้งนี้ ไม่ใช่แค่มาชี้แจ้งเรื่องตัวตนของคนตายสองคนนั้น
แต่เป็นฮ่องเต้ที่มีพระราชโองการส่วนตัวถึงซูหมาง ให้ดำรงตำแหน่งรองผู้บัญชาการของกองกำลังรักษาความสงบ และให้พักอยู่กับเซี่ยงหย่วนหลิน
หลังจากระบุตัวตนของคนตายได้แน่ชัดแล้ว เรื่องที่ต้องตรวจสอบคือเรื่องคนตายสามคนนี้เกี่ยวข้องอะไรกับโหยวเฉียน และนอกจากคนตายสามคนนี้ หลี่ฝานไม่เห็นอะไรเลย ดังนั้นไม่ต้องพูดถึงความแค้นในใจ
ผ่านไปซักพัก ข่าวลือก็แพร่สะพัดไปทั่วเมืองหลวงว่าร้านจิ่นฟูนั้นถูกคนใส่ร้าย
กู้เสี่ยวหวานเห็นสถานการณ์เช่นนี้แล้ว รู้สึกเบาใจลง หลักฐานทั้งหมดที่มีตอนนี้เป็นประโยชน์กับร้านจิ่นฝู ต่อไปก็จะได้เห็นว่าคนที่อยู่เบื้องหลังเรื่องนี้ต้องการจะทำอะไรกันแน่
ตอนนี้เซี่ยงหย่วนหลินถูกหนีปิ่งยึดอำนาจคืน อีกทั้งซูหมางก็ปรากฏตัวขึ้นที่นี่ ดังนั้นเขาจึงยิ่งรู้สึกว่าตนเองไม่มีที่ยืนในกองกำลังรักษาความสงบ ทำให้เกิดความกลัดกลุ้มจนแทบจะทนไม่ได้ ไม่แม้แต่จะไปเหยียบที่กองกำลังรักษาความสงบ วันวันเอาแต่คลุกอยู่กับจิงเหนียงผู้นั้น
และเมื่อนึกถึงสถานการณ์ที่ตนเองเผชิญอยู่ตอนนี้ก็รู้สึกเดือดดาลขึ้นมา “ครั้งที่แล้วมันไม่ตาย ถือว่าโชคของมันแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่ามันจะไปขอพระราชโองการจากฮ่องเต้ น่ารังเกียจ”
อีกแค่นิดเดียว ตำแหน่งผู้บัญชาการกองกำลังรักษาความสงบก็จะเป็นของเขา
“ท่านอย่าร้อนใจไปเลย ยังไงท่านก็ยังมีซื่อจื่ออยู่ ท่านไปขอให้เขาช่วย เขาคงไม่อยู่เฉยอย่างแน่นอน” จิงเหนียงคลอเคลียอยู่ในอ้อมแขนของเซี่ยงหย่วนหลิน แผ่นหลังขาวเนียนราวกับกับหิมะนั่นช่างมีเสน่ห์
“จริงด้วย เหตุใดข้าถึงคิดไม่ถึงกันนะ ข้าจะไปหาซื่อจื่อ เขาเคยรับปากกับข้าแล้วว่าจะทำให้ข้าได้ครอบครองตำแหน่งนั้น” เซี่ยงหย่วนหลินใช้มือทุบไปที่หัวตัวเอง แล้วหัวเราะเสียงดัง “เจ้าช่างเป็นแสงแห่งโชคของข้าจริง ๆ รอข้าได้ครองตำแหน่งนั้น ข้าจะแต่งเจ้าเข้ามาเป็นอนุภรรยาของข้า”
“ท่านนี่ช่างชอบล้อเล่นกับข้าจริง ๆ แต่ท่านอย่าลืม ท่านยังมีภรรยาที่ร้ายกาจในบ้านอีกคน เรื่องนี้ทุกคนรู้ดี รองผู้บัญชาการเซี่ยงจะแต่งข้าเข้าบ้าน ท่านไม่กลัวว่าจะโดนภรรยาจัดการเอาหรือ?” เมื่อจิงเหนียงเห็นก็เริ่มเล้าโลมตนอีกครั้ง และเอ่ยกระแหนะกระแหน
“ฮึ ภรรยาที่ร้ายกาจเช่นนั้น ไม่ว่านางจะทำอะไรก็มีแต่โชคร้าย” เซี่ยงหย่วนหลินได้ฟังก็พ่นลมหายใจเย็นชา พลางเอ่ยขึ้นด้วยความรำคาญ “แต่ไหนแต่ไรมาข้าก็ไม่เห็นว่านางจะน่ามองตรงไหน ถ้าไม่ใช่เพราะนางมีประโยชน์ ข้าคงหย่ากับนางไปนานแล้ว ทั้งอัปลักษณ์ทั้งยังโมโหร้าย ผู้หญิงเช่นนี้ผู้ชายคนไหนจะทนได้ ถ้าข้าได้ขึ้นเป็นผู้บัญชาการกองกำลังรักษาความสงบเมื่อใด และถ้านางเชื่อฟังและเอาใจข้า ข้าจะให้นางเป็นฮูหยินใหญ่ แต่ถ้านางไม่เชื่อฟังข้า ข้าก็จะหย่ากับนาง” เซี่ยงหย่วนหลินพูดอย่างโกรธแค้น
“หย่ากับข้าแล้วเจ้าคงจะดีใจมาก ข้าก็จะไม่รับใช้เจ้าอีกต่อไป วันนี้ข้าจะหย่ากับเจ้า” น้ำเสียงเกรี้ยวกราดดังขึ้นด้านนอก และประตูก็ถูกคนใช้กระแทกเข้ามา
ร่างเปลือยเปล่าสองร่างที่อยู่บนเตียงก็ปรากฏต่อหน้าต่อผู้คน
เซี่ยงหย่วนหลินตระหนกตกใจ กุลีกุจอคว้าเสื้อผ้าขึ้นมาใส่ แต่เขาหารู้ไม่ว่าคนที่มาทีหลังนั้นเร็วกว่า ตรงเข้าไปกระชากผ้าห่มที่ใช้ปกปิดร่างกายออก เผยร่างเปลือยเปล่าทั้งสองร่างต่อสายตาผู้คน
……….