ทะลุมิติไปเป็นสาวนาผู้ร่ำรวย - บทที่ 165 การยั่วยุของจือเหวิน
บทที่ 165 การยั่วยุของจือเหวิน
บทที่ 165 การยั่วยุของจือเหวิน
ในที่สุดหลังจากรอจนถึงวันหยุด พวกเขาก็คิดว่าสามารถกลับบ้านไปหาพี่สาวและน้องสาวได้แล้ว แต่ก็ถูกพี่ฉือโถวที่มาคอยดูแลขัดขวางไว้
พวกเขาต่างผิดหวัง ในขณะนั้นกู้หนิงผิงออกอาการห่อเหี่ยวเหมือนลูกโป่งถูกเจาะลม เมื่อสักครู่เขาตื่นเต้นมาก แต่ในตอนนี้เหมือนกับมะเขือยาวที่โดนแช่แข็ง ในใจเขาจึงหดหู่
แต่ก็ไม่มีทางอื่นใด กู้หนิงอันและกู้หนิงผิงเข้าใจอารมณ์และความตั้งใจของพี่สาวพวกเขา พวกเขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องอยู่ในสำนักศึกษาและกลับบ้านในครั้งหน้า
“หนิงผิง ท่องบทเรียนนี้!” หลังจากกินอาหารเย็น กู้หนิงอันก็พากู้หนิงผิงกลับไปที่ห้องเพื่อท่องบทเรียนอีกครั้ง
กู้หนิงผิงก้มหน้าและไม่พูดอะไรเพราะรู้สึกไม่ดีเล็กน้อย!
เมื่อกู้หนิงอันเห็นว่ากู้หนิงผิงไม่ตั้งใจเรียนเช่นนี้ก็รู้สึกโกรธ จึงชี้หน้ากู้หนิงผิงพร้อมกับน้ำเสียงที่ดังขึ้นเล็กน้อย “กู้หนิงผิง เจ้ามาทำอะไรที่สำนักศึกษากันแน่! ท่านพี่เสียเงินมากมายเพื่อส่งเรามาที่นี่ แต่เจ้ากลับไม่ได้เรียนคำศัพท์และท่องจำบทเรียน การทำการบ้านก็เช่นกัน เจ้าไม่ตั้งใจเรียนเช่นนี้ เจ้าไม่ละอายใจต่อท่านพี่บ้างหรือ!”
คำพูดทุกคำของกู้หนิงอันราวกับเข็มเหล็กที่แทงเข้าไปในหัวใจของกู้หนิงผิง แม้ว่ากู้หนิงผิงจะอายุน้อยกว่ากู้หนิงอันเพียงไม่กี่นาที เขากลับไม่สงบเหมือนกู้หนิงอัน แต่เขาเป็นเด็กอายุหกขวบที่รักการเล่นและกระตือรือร้น
กู้หนิงผิงเบะปากราวกับต้องการเอาใจกู้หนิงอัน “ท่านพี่ …… ”
“หนิงผิง เราอยู่ที่นี่มาสิบวันแล้ว ถ้าเจ้าไม่ได้เรียนรู้อะไรเลย ถ้าเรากลับบ้านและท่านพี่รู้ นางจะเสียใจแค่ไหน” กู้หนิงอันเกลี้ยกล่อมอย่างขมขื่น
“ข้าคิดถึงท่านพี่กับเสี่ยวอี้แล้ว” กู้หนิงผิงกล่าวอย่างขุ่นเคือง นี่เป็นครั้งแรกที่เขาออกจากบ้านมาสิบวันแล้ว เดิมทีสามารถกลับไปบ้านได้ทุกสองสัปดาห์ กู้หนิงผิงก็เก็บของอย่างมีความสุขและต้องการกลับไป แต่พี่ฉือโถวก็มาห้ามไว้
เขามาพร้อมกับเสื้อผ้าสองชุดและรองเท้าอีกสองคู่ พวกนี้เป็นของกู้หนิงอันและกู้หนิงผิงคนละชุด อีกทั้งยังนำของกินและเงินมาอีกเล็กน้อย พร้อมกับนำคำพูดของกู้เสี่ยวหวานมาบอก
ท่านพี่บอกว่าที่บ้านไม่มีเรื่องอะไรต้องเป็นห่วง ทางไกลขนาดนี้กู้หนิงอันและกู้หนิงผิงไม่ต้องกลับไป เมื่อมีเวลาว่างก็ให้ตั้งใจเรียนกับท่านอาจารย์
หลังจากที่พี่ฉือโถวพูดจบ ก็ดูราวกับว่ามีเรื่องเร่งด่วนบางอย่างทำให้เขารีบกลับไป
กู้หนิงผิงเก็บของของเขา แต่ในขณะนั้นจิตใจของเขาก็เหมือนไฟที่ถูกดับลง และเขาก็ไม่สามารถกลับมารู้สึกตัวได้อีกเป็นเวลาหลายวัน
ความคิดของกู้หนิงอันสงบลง เขาก็รู้ดีว่ากู้เสี่ยวหวานหมายถึงอะไร คือปล่อยให้พวกเขาอยู่ในสำนักศึกษา ใช้เวลาในสถานที่นี้ศึกษาให้มากขึ้น
กู้หนิงอันสามารถยับยั้งใจและใช้พี่สาวน้องสาวให้เป็นแรงจูงใจในการศึกษา เขาเรียนต้องรู้ต่อไป ในชั้นเรียนเบื้องต้นการบ้านของเขาล้วนยอดเยี่ยมทุกครั้ง ความพยายามและความก้าวหน้าของกู้หนิงอันล้วนอยู่ในสายตาของสวีเซียนหลิน เขารักนักเรียนคนนี้มาก
เมื่อรู้ว่าพ่อแม่ของเด็กสองคนนี้เสียชีวิตไปนานแล้วและครอบครัวต้องพึ่งพาพี่สาวที่มีอายุเพียงแปดขวบ เขาก็รู้สึกลำบากใจกับครอบครัวนี้มากขึ้น กังวลเกี่ยวกับเด็กสองคนนี้ตลอดเวลา
เมื่อกู้หนิงอันได้ยินคำพูดของน้องชายก็รู้สึกอ่อนไหว แต่ยังคงกล่าวอย่างหนักแน่น “ท่านพี่ไม่ต้องการให้เรากลับบ้านเพราะหวังว่าพวกเราจะใช้เวลาว่างนี้ตั้งใจเรียน ถ้าเรื่องแค่นี้ยังคิดไม่ได้ ท่านพี่ก็คงปวดใจ”
“ท่านพี่ ข้าเข้าใจแล้ว!” เมื่อกู้หนิงผิงเห็นว่าสิ่งที่พี่ชายของเขาพูดนั้นจริงจังมาก ดังนั้นเขาจึงรีบอธิบายอย่างรวดเร็ว “ข้าแค่กังวล ข้าไม่ได้เห็นพวกเขามานานกว่าสิบวันแล้ว และยังไม่สามารถกลับไปได้ กลัวว่าถ้ากลับไปท่านพี่จะตี ทำได้แค่เป็นห่วง”
“กังวลไปก็เปล่าประโยชน์ รออีกสักพักพวกเราก็ได้พักแล้ว เมื่อถึงเวลาก็รีบตื่นรีบกลับบ้านก็จะได้เจอท่านพี่กับน้องสาวแล้วไม่ใช่หรือ? ” กู้หนิงอันกล่าว “ในตอนนั้น ท่านพี่จะต้องทดสอบพวกเราอย่างแน่นอน ถ้าบอกให้ท่านพี่รู้ว่าเจ้ายังไม่ได้เรียนอะไรสักอย่างในสำนักศึกษา ท่านพี่จะต้องไม่สบายใจอย่างแน่นอน!”
“ท่านพี่ ข้าไม่ต้องการให้พี่สาวไม่สบายใจ!” กู้หนิงผิงรีบพูดหลังจากได้ยินว่ากู้เสี่ยวหวานจะรู้สึกไม่สบายใจ “ท่านพี่ ข้ามาเพื่อท่องบทเรียน ข้าจะไปท่องบทเรียนเดี๋ยวนี้!”
กู้หนิงอันพยักหน้าและโล่งใจมากที่เห็นน้องชายดูกระตือรือร้น เหมือนผู้ใหญ่มองเด็กน้อย
ในห้องเล็ก ๆ ที่มีแสงไฟราง ๆ คล้ายเมล็ดถั่ว เด็กชายทั้งสองได้เพ่งมองตำราเรียนในมืออย่างระมัดระวัง
สองสามวันต่อมา ขณะกู้หนิงอันและกู้หนิงผิงกำลังจะไปกินอาหารเย็น พวกเขาก็เห็นกู้จือเหวินลูกพี่ลูกน้องคนโตของพวกเขา
หลายวันแล้วที่ไม่ได้เจอกู้จือเหวิน เมื่อเจอเขาในวันนี้ก็พบว่ากู้จือเหวินสวมเสื้อผ้าใหม่ กางเกงใหม่ และรองเท้าใหม่ แม้แต่แถบคาดศีรษะบนศีรษะของเขาก็เปลี่ยนเป็นของใหม่
กู้จือเหวินเดินเชิดหน้าไปท่ามกลางกลุ่มนักเรียนด้วยอาการเย่อหยิ่ง นักเรียนที่อยู่รอบ ๆ มองไปที่กู้จือเหวินด้วยความอิจฉา
ตอนนี้กู้จือเหวินอยู่ในช่วงวัยรุ่นและกำลังติดตามสวีเซียนหลิน สถานที่ที่สวีเฉิงเจ๋อสอนและสถานที่ที่สวีเซียนหลินสอนนั้นแยกจากกันด้วยกำแพง ซึ่งมักจะมองไม่เห็นกันตอนเรียน แต่สามารถมองเห็นได้เมื่อรับประทานอาหารเท่านั้น
“จือเหวิน ครอบครัวเจ้าซื้อบ้านหลังใหญ่ในเมืองนี้หรือ!” นักเรียนคนหนึ่งแสดงความอิจฉา
“ใช่แล้ว จือเหวิน บ้านของเจ้าสวยมาก คงต้องใช้เงินเป็นจำนวนมากเป็นแน่!”
“ที่นั่นเป็นที่ที่คนรวยและมีอำนาจในเมืองนี้อาศัยอยู่ และราคาหลายร้อยตำลึงเงินเงินทีเดียว!”
“โอ้ จือเหวิน ครอบครัวของเจ้ารวยมาก!”
“ใช่แล้ว ใช่แล้ว!”
กู้จือเหวินฟังความอิจฉาของเพื่อนร่วมชั้นที่อยู่รอบตัวเขา และรู้สึกพึงพอใจเป็นอย่างมาก
กู้หนิงอันและกู้หนิงผิงบังเอิญพบเจอ จึงรีบพยักหน้าและกล่าวทักทาย พวกเขาที่กำลังจะจากไป
กู้จือเหวินเงยหน้าขึ้นสูงและไม่แม้แต่จะมองไปที่พวกเขา
อย่างไรก็ตาม นักเรียนบางคนกลับเกิดอาการกระสับกระส่ายและต้องการท้าทายอะไรบางอย่าง
เด็กชายคนหนึ่งที่ติดตามกู้จือเหวินได้ขวางทางของพี่น้องทั้งสองคนและมองหัวจรดเท้าด้วยเจตนาร้าย
หลังจากมองแล้ว เขาก็หัวเราะอย่างชั่วร้าย แล้วหันไปทางกู้จือเหวินและพูดอย่างประจบสอพลอ “จือเหวิน น้องชายสองคนนี้ ข้าได้ยินมาว่าพวกเขาเป็นญาติของเจ้า!”
“ฮึ……”
กู้จือเหวินดูไม่เต็มใจที่จะยอมรับว่ามีญาติแบบนี้ในครอบครัวของเขา ดังนั้นเขาจึงสูดหายใจอย่างเย็นชาและมองออกไปอย่างไม่พอใจ ราวกับว่าเขาไม่เต็มใจที่จะพบกับพวกกู้หนิงอัน
……………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
ตั้งใจเรียนนะหนิงผิง ถ้าพี่สาวรู้ว่าไม่ตั้งใจเรียนคงเสียกำลังใจแย่ อุตส่าห์หาเงินส่งให้เรียนแล้ว
มาหาเรื่องอะไรกันอีกเนี่ย
ไหหม่า(海馬)