ทะลุมิติไปเป็นสาวนาผู้ร่ำรวย - บทที่ 1650 ไป๋เพียวเพียว
บทที่ 1650 ไป๋เพียวเพียว
เซี่ยงหย่วนหลินตอบรับและเตรียมไปกับกัวจิน แต่คำพูดของจิงเหนียงทำให้เซี่ยงหย่วนหลินหยุดชะงัก “นายท่าน เกิดเรื่องใหญ่เช่นนี้เราควรไปรายงานซื่อจื่อหรือไม่ สถานที่ลึกลับเช่นนี้ เหตุใดคนอื่นถึงหาพวกเราเจอ”
“เจ้า… พวกเจ้าลอบสวมหมวกเขียวให้ข้า ยังจะมีเหตุผลอะไรอีก ข้าจะบอกพวกเจ้าให้ พวกเจ้าทำอะไรฟ้าดินเห็น พวกเจ้าทำเรื่องไร้ยางอาย ก็ต้องถูกคนเห็นทุกอย่างอยู่แล้ว” กัวจินตะโกนลั่น
เดิมทียังคิดว่าจิงเหนียงจะโกรธเคือง แต่หารู้ไม่จิงเหนียงผู้นี้ทำท่าทางแคะหู จากนั้นก็ยืนขึ้นอย่างไม่แยแสก่อนจะหยุดลงตรงหน้ากัวจินที่กำลังบ้าคลั่ง และพูดอย่างโอหัง
“ฮูหยินกัว ท่านอย่าลืมไป ว่าซื่อจื่อมอบข้าเป็นรางวัลให้นายท่าน ตอนนี้ข้าเป็นคนของนายท่านอย่างถูกต้อง พวกข้าไม่ได้ไร้ยางอาย แต่นายท่านพาข้ากลับบ้านอย่างชอบด้วยเหตุผล”
“ข้าไม่ยอมรับ” กัวจินตะโกนอย่างโกรธเคือง
“ท่านไม่ยอมรับก็ช่วยไม่ได้ หากท่านไม่ยอมรับ ท่านก็ไปพูดกับซื่อจื่อเอาเอง ขอโทษด้วยตอนนี้ข้ากับนายท่านไม่ว่างไปกับท่าน พวกข้ายังต้องไปหาซื่อจื่อ” พูดจบ จิงเหนียงก็ดึงเซี่ยงหย่วนหลินไป
เซี่ยงหย่วนหลินรู้ดีว่าจะต้องรายงานเรื่องนี้ให้ซูหลินโดยเร็วที่สุด เขาจึงไปกับจิงเหนียง ก่อนจากไปก็อธิบายกับกัวจินด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “อาจิน เจ้ากลับไปก่อนเถอะ ข้าจะไปหาซื่อจื่อ รอข้ากลับมาแล้วข้าค่อยอธิบายให้เจ้าฟัง”
พูดจบก็ไม่ได้สนใจว่ากัวจินจะเห็นด้วยหรือไม่และเดินตามจิงเหนียงไป
กัวจินมองแผ่นหลังเซี่ยงหย่วนหลินที่จากไป จากนั้นก็กรีดร้องอย่างบ้าคลั่ง แต่เซี่ยงหย่วนหลินยังคงเดินจากไปโดยไม่เหลียวหลังกลับมา
กัวจินโกรธมากจนคำรามเสียงดัง และมองดูผู้ชายของตัวเองไปกับหญิงอื่น
จนกระทั่งพวกเขาหายไปจากลานบ้าน กัวจินที่โกรธเป็นฟืนเป็นไฟในเมื่อครู่ ทันใดนั้นใบหน้าก็เต็มไปด้วยรอยยิ้มที่แปลกประหลาด
รอยยิ้มนั่นทำให้ผู้คนหวาดกลัวจนตัวสั่น
เซี่ยงหย่วนหลิน เจ้าปีกกล้าขาแข็งแล้ว คิดจะโบยบินแล้วสินะ
ตระกูลกัวปฏิบัติต่อเจ้าอย่างดี แต่เจ้ากลับปีกกล้าขาแข็งขึ้นมาคิดจะทรยศตระกูลกัว ได้! เช่นนั้นแล้วก็อย่าโทษข้าที่ไม่ดีต่อเจ้า สิบกว่าปีแล้วที่ยังเป็นรองผู้บัญชาการ หากขึ้นไม่ได้อย่างนั้นก็ลงมาเถอะ
เซี่ยงหย่วนหลินตามจิงเหนียงไปหาซูหลินพอไปแล้วก็ไม่ได้กลับมาอีก
การตายของโหยวเฉียนและคนแปลกหน้าทั้งสาม ไม่ใช่การตายของคนในเมืองหลวง เนื่องจากเมื่อตัวตนของพวกเขาเปิดเผย จึงทำให้เกิดความวุ่นวายขึ้น
และทำให้ทุกคนในตระกูลโหยวตกอยู่ในสถานการณ์หน้าสิ่วหน้าขวาน
ก่อนหน้านี้มีคนไปที่กองกำลังรักษาความสงบ ฟ้องว่าโหยวเฉียนนั้นเหยียดหยามย่ำยีคนในตระกูลและทำให้นางต้องแขวนคอตาย
แม่นางที่ตายคนนั้นชื่อไป๋เพียวเพียว ไม่มีพ่อแม่ แบกภาระไม่ไหว ทำสิ่งใดไม่เป็น
ของมีค่าในบ้านถูกคนในตระกูลโกงไปหมด สาวใช้ข้างกายนางก็แยกย้ายกันจากไป สุดท้ายแล้วก็เหลือเพียงแม่นมของนางอย่างไป๋ซื่อเป็นลูกของคนในตระกูลไป๋ที่ยังอยู่กับนางเพียงคนเดียว
มีครั้งหนึ่ง แม่นางไป๋ออกไปเดินเล่นบนถนน และได้พบกับโหยวเฉียนที่เอ้อระเหยลอยชายไปวัน ๆ
โหยวเฉียนตกหลุมรักไป๋เพียวเพียวที่เหมือนเทพเซียน คิดว่านางเป็นเทพธิดาที่ลงมาจากสรวงสวรรค์
ต่อมาก็ใช้เล่ห์เหลี่ยมหลอกล่อไป๋เพียวเพียว แต่ไป๋เพียวเพียวก็ไม่ติดกับดักนั้น อีกทั้งยังด่าโหยวเฉียนอย่างสาดเสียดเทเสีย เมื่อโหยวเฉียนเห็นว่าทำอะไรไม่ได้ จึงพาคนกลุ่มหนึ่งไปล้อมรอบลานบ้านตระกูลไป๋ จับแม่นมอย่างไป๋ซื่อและทำให้แม่นางไป๋แปดเปื้อนเสื่อมเสีย
แม่นางไป๋รู้สึกละอายใจมาก จากนั้นจึงแขวนคอตาย
ไม่เพียงเท่านั้น ไม่มีผู้ใดรับรู้เรื่องนี้ เพราะถูกตระกูลโหยวปิดปากไว้
ใครจะรู้ว่าแม่นมไป๋ที่ถูกส่งตัวย้ายไปในตอนนั้น กลับมาที่นี่อีกครั้ง และนำเรื่องทั้งหมดไปรายงานต่อกองกำลังรักษาความสงบ
แต่ทว่าไม่ได้มีเพียงโหยวเฉียนที่พัวพันกับเรื่องนี้ แต่ยังมีอีกคนหนึ่ง
ไป๋เพียวเพียวไม่ใช่คนในเมืองหลวง นางมาอยู่เมืองหลวงได้ไม่นาน คนที่พานางมาเมืองหลวงคือคุณชายใหญ่บ้านรองตระกูลโหยว โหยวฝ่างฉิน
โหยวฝ่างฉินชอบแม่นางคนนั้น และรู้ว่าแม่นางที่มีฐานะต่ำต้อยเช่นนี้ไม่สามารถเข้าตระกูลโหยวได้ ดังนั้นจึงจัดเตรียมบ้านอื่นไว้ให้นางอยู่ และใช้เป็นรังรักพวกเขาเพื่อรอวันแต่งภรรยา จากนั้นค่อยพาไป๋เพียวเพียวที่งามหยาดเยิ้มผู้นี้ไปเป็นอนุ
ใครจะรู้ว่าสถานที่แห่งนั้นไม่ได้ถูกซ่อนไว้มิดชิด จนโหยวเฉียนมาพบเข้าและยังมาพัวพันกับคดีการเสียชีวิตนี้
“เหตุใดไม่มารายงานหลังโหยวเฉียนเสียชีวิต ทำไมตอนนั้นเจ้าไม่ออกมาพูดความจริง” ซูหมางจ้องอีกฝ่ายเขม็ง ทำให้คนหวาดกลัวเล็กน้อย
เมื่อแม่นมไป๋เห็นซูหมางมีท่าทางเช่นนี้ก็ตกใจจนตัวสั่นและเงียบเสียงลง “ข้า…ข้าไม่กล้า คุณหนูของข้าถูกเดรัจฉานผู้นั้นเหยียดหยาม ข้าแทบอยากจะฆ่ามันให้ตาย กินเนื้อมัน แต่ไม่คิดว่าเขาจะตายแล้วจริง ๆ ข้า…ข้ากลัวว่าจะก่อเรื่องให้ตัวเองลำบากจึงไม่กล้ามาฟ้องร้อง”
“หลังจากคุณหนูเจ้าตาย โหยวฝ่างฉินเคยไปหาเจ้าหรือไม่” ซูหมางถามขึ้น
แม่นมไป๋คิดครู่หนึ่งแล้วพยักหน้า
“เขาเคยมาหาข้า บอกว่าขอโทษต่อคุณหนูข้า เขาอยากแต่งกับคุณหนูเพื่อให้คุณหนูมีความมั่นคง แต่ใครจะไปรู้ว่าจะถูกเดรัจฉานนั้นทำให้แปดเปื้อน ยังบอกอีกว่าหากเขาไม่ได้พาคุณหนูเข้ามาในเมืองหลวง คุณหนูก็คงไม่ตาย เขาอยากล้างแค้นให้คุณหนู แต่ตระกูลโหยวให้ความสำคัญกับครอบครัวและสายเลือดเดียวกัน เป็นไปไม่ได้ที่จะขัดแย้งกันเอง ดังนั้น แม้ในใจเขาจะเกลียดและแค้นมาก แต่จะไม่ทำอะไรกับเดรัจฉานคนนั้น เขาเอาเงินให้ข้าจำนวนหนึ่ง หลังจากนั้นก็ให้ข้าออกจากเมืองหลวงและไปใช้ชีวิตในวัยชราอย่างสงบสุข”
“แล้วตอนนี้เหตุใดเจ้าจึงมาอีก”
แม่นมไป๋สบตาและนึกถึงคำที่ใครบางคนบอกนางก่อนมาที่นี่ แค่นางพูดความจริงทุกอย่างก็จ คลี่คลายและนางก็จะสุขสบายไปทั้งชีวิต ดังนั้นนางจึงพูดตามที่คนผู้นั้นสอนมา “คนตายมีเกียรติสูง คุณชายใหญ่ตระกูลโหยวดีกับตระกูลไป๋ ดีกับข้า เป็นคุณหนูข้าที่ไม่มีวาสนามากพอ ตระกูลโหยวเป็นตระกูลที่มีความเมตตาคุณธรรม คุณชายใหญ่ตระกูลโหยวเป็นคนดี ข้าจะช่วยเขาตามหาฆาตกร แบ่งเบาภาระแทนเขา”
ซูหมางได้ยินเช่นนี้ก็นิ่งอึ้งไปครู่หนึ่ง แต่กลับไม่ได้พูดอะไรสักคำ แล้วปล่อยคนไป
แม่นมไป๋ผู้นี้มาช่วยโหยวฝ่างฉินตามหาผู้ร้ายที่ไหนกัน ความจริงแล้วกลับเหมือนมาส่งเขาไปตายชัด ๆ
และตอนนี้ร้านขายผ้าจิ่นซิ่วในเมืองหลวงก็ยุ่งมากเหมือนลูกข่าง
ได้ยินว่าโหยวกุ้ยเฟยถูกใจผ้าผืนหนึ่งในร้าน ซึ่งเป็นผ้าสีเทาเหมือนระลอกน้ำ และขอให้ร้านขายผ้าจิ่นซิ่วหามาอีกผืน
……….