ทะลุมิติไปเป็นสาวนาผู้ร่ำรวย - บทที่ 1651 ในที่สุดก็หาเจอแล้ว
บทที่ 1651 ในที่สุดก็หาเจอแล้ว
หลังจากที่ร้านขายผ้าจิ่นซิ่วได้ยินข่าวนี้ก็รีบบอกคุณชายทันที พอทุกคนได้ฟังคำอธิบายจึงแน่ใจ ผ้าผืนสีเทาที่กุ้ยเฟยเห็นเป็นผ้าที่ขายในร้านขายผ้าจิ่นซิ่ว มันมีราคาแพงและหายาก
และเป็นคนที่เสิ่นเหวินเจวี้ยนตามหามาโดยตลอด
ในเมื่อผ้าผืนนั้นปรากฏในวังก็หมายความว่าแม่นางสองคนที่มาซื้อผ้าในตอนนั้นต้องไม่ใช่คนธรรมดาแน่นอน
มีเกียรติสูงศักดิ์
เสิ่นเหวินเจวี้ยนจึงเข้าใจว่าเหตุใดตัวเองตามหามาตั้งนานแต่ก็หาแม่นางคนนั้นไม่พบสักที ที่แท้ฐานะของแม่นางคนนี้เป็นคนที่สูงศักดิ์เช่นนี้นี่เอง
ไม่อย่างนั้นคงไม่ปรากฏตัวอยู่ในวัง
จือซูไม่ได้พูดอะไรมากบอกเพียงว่ากุ้ยเฟยเจอผ้าผืนหนึ่งในวังและให้ร้านขายผ้าจิ่นซิ่วไปหาผ้าผืนใหม่ที่ดีกว่าเดิมมา
เสิ่นเหวินเจวี้ยนรู้ว่าตนถามอะไรมากไม่ได้จึงตอบตกลง แต่กลับรู้สึกลังเลเล็กน้อย “ผ้าผืนนี้เป็นผ้าที่มีราคาแพงและหายากมาก ก่อนหน้านี้มีเพียงผืนนี้ผืนเดียวในใต้หล้า หากอยากได้ผืนที่เหมือนกัน เกรงว่าจะยาก ไม่อย่างนั้นข้าน้อยจะไปหาผืนที่ดี ๆ มาให้”
จือซูรู้ดีว่าผ้าที่ออกมาจากร้านขายผ้าจิ่นซิ่วนั้นเป็นผ้าที่ดีมาก ในทั่วต้าชิงมีเพียงผืนนี้ คิดได้ดังนั้นจึงตอบตกลง และนัดมารับในครั้งหน้าที่ออกจากวัง
เสิ่นเหวินเจวี้ยนรับคำสั่ง แต่กลับไม่ให้จือซูจ่ายค่ามัดจำไว้
“แม่นาง ผ้าผืนนี้เป็นเงินจำนวนมาก ข้าน้อยมอบให้แม่นาง” เสิ่นเหวินเจวี้ยนพูดขึ้น
จือซูตกตะลึง ผ้าราคาหลายพันตำลึง เนื่องจากราคาแพงดังนั้นทุกครั้งต้องจ่ายค่ามัดจำมากมาย ร้านขายผ้าจิ่นซิ่วถึงจะไปหาผ้ามาได้ ตอนนี้เขากลับบอกว่าไม่เอาเงิน
“ความหมายของเจ้าคือ?” จือซูบีบถุงเงินในมือแล้วถามด้วยความสงสัย
“ข้าน้อยมีเรื่องอยากจะถามแม่นางสักหน่อย ผ้าผืนนี้ก็มอบให้แม่นางโดยไม่รับเงิน” คำพูดนี้ของเสิ่นเหวินเจวี้ยนน่าสนใจ
ไม่ได้พูดว่าจะมอบให้สนมกุ้ยเฟยโดยไม่รับเงิน แต่บอกว่ามอบให้แม่นางจือซู
จือซูเข้าใจความหมายนี้และอดไม่ได้ที่จะหยิบเงินในกระเป๋าออกมา น้ำเสียงก็ดีขึ้นเล็กน้อย “เจ้าอยากถามอะไร”
“ขอบังอาจถาม แม่นางรู้หรือไม่ว่าใครเป็นคนใส่ผ้าสีเทาผืนนั้น” เสิ่นเหวินเจวี้ยนระงับความตื่นเต้นไว้แล้วถามออกมา
“ผ้าสีเทาผืนนั้นของข้าขายไม่ออกจนเก็บไว้ในร้านมานานมากแล้ว เพราะไม่รู้ว่าใครใส่แล้วจะทำให้มันดูมีสีสันงดงามขึ้นมา ดังนั้นจึงถูกเก็บไว้ในร้านจนฝุ่นเกาะมาโดยตลอด ครั้งนี้พระสนมเห็นก็ชื่นชอบขึ้นมา เห็นได้ชัดว่าคนทำต้องทำชุดออกมาได้ยอดเยี่ยม ข้าน้อยจึงอยากรู้ว่าคนผู้นั้นใช้วิธีใดกัน ที่ทำให้ผ้าสีมืดครึ้มธรรมดาผืนนั้นงดงาม อีกทั้งยังทำให้กุ้ยเฟยชื่นชมไม่หยุด” เสิ่นเหวินเจวี้ยนถามขึ้นอย่างเคารพ
จือซูได้ยินก็เข้าใจขึ้นมาทันทีและไม่ได้แปลกใจเลยที่คนทำธุรกิจมักจะแสวงหาความมั่งคั่งร่ำรวย
ครั้นมองดูถุงเงินหนัก ๆ ในมือตัวเองอีกครั้ง นี่เป็นเพียงเงินมัดจำเท่านั้น ยังมีการชำระครั้งสุดท้ายจำนวนมาก หากเอาเงินทั้งหมดนี้เก็บไว้กับตนเองละก็ อย่างนั้น…
จือซูยิ้ม สีหน้าที่หยิ่งผยองเมื่อครู่ก็อ่อนโยนขึ้นมาไม่น้อย แล้วพูดด้วยรอยยิ้ม “ข้ายังโชคดีที่บังเอิญได้เห็นครั้งหนึ่ง ผ้าสีเทาผืนนั้นถูกปักด้วยดอกฝูหรงสีแดง การรวมกันของสีเทาแดงนั้นยิ่งทำให้เสื้อผ้าดูสง่างาม กุ้ยเฟยบอกว่าชอบตั้งแต่ครั้งแรกที่เห็น คิดไม่ถึงว่าผ้าที่สีมืดเช่นนี้ เมื่อทำเสื้อผ้าออกมาจะทำให้ดูสง่างามและมีเกียรติ อีกทั้งยังเหมาะกับผู้หญิงทุกคน ไม่ว่าจะอายุเท่าไหร่ก็ตาม”
“อย่างนั้นข้าต้องขอคำแนะนำจากแม่นางคนนั้นดี
ๆ หน่อยแล้ว” เสิ่นเหวินเจวี้ยนประสานมือและพูดด้วยรอยยิ้ม
“ไม่ทราบว่าเป็นขุนนางคนใดในวังที่สวมชุดนี้”
เมื่อนึกถึงคนนั้นที่ก่อนหน้านี้ถูกแต่งตั้งเป็นเสี้ยนจู่อันผิง นึกถึงท่าทางที่เอือมระอาของกุ้ยเฟย จือซูอดไม่ได้ที่จะพูด “ไม่ใช่คนสูงศักดิ์ เป็นเพียงสาวชาวบ้านที่ได้รับความโปรดปรานจากฮ่องเต้ จึงถูกแต่งตั้งขึ้นมาเท่านั้น”
เสิ่นเหวินเจวี้ยนยังอยากถามเพิ่มอีกสักหน่อย แต่เห็นจือซูลุกขึ้นพลางเอ่ยบางอย่าง “ยามนี้ใกล้มืดแล้ว ข้าต้องกลับแล้วล่ะ”
เสิ่นเหวินเจวี้ยนเห็นนางจะไปก็ไม่รั้งนางไว้ คนใช้ที่อยู่ข้าง ๆ นำกระเป๋าเงินมาอีกใบและให้จือซู “นี่เป็นของขวัญจากคุณชายข้า”
จือซูรับมาแล้วคว่ำลงเบา ๆ ในใจนางรู้สึกมีความสุขมาก ออกมาครั้งนี้หาเงินมาได้ตามที่ทั้งชีวิตต้องการ
จือซูเดินออกไป แม้แต่ขาที่ก้าวเดินก็รู้สึกสั่นเล็กน้อย
เสิ่นเหวินเจวี้ยน คิดอย่างรอบคอบเกี่ยวกับคำจือซูพูดเมื่อครู่นี้ แต่กลับรู้สึกสับสนเล็กน้อย
เป็นสาวชาวบ้าน เป็นที่โปรดปรานของฮ่องเต้ ถูกแต่งตั้งเป็นคนสูงศักดิ์
ในขณะที่เสิ่นเหวินเจวี้ยนกำลังเดาว่าใครในเมืองหลวงที่มีฐานะและสูงศักดิ์เช่นนี้ อาจารย์เลี่ยวที่อยู่ข้าง ๆ ก็เอ่ยปากพูดอย่างตื่นเต้น “คุณชาย
คนสูงศักดิ์ที่แม่นางพูดเมื่อครู่ คงจะเป็นเสี้ยนจู่อันผิง นางมาจากชนบท แต่เนื่องจากช่วยเหลือผู้คนเมื่อตอนประสบภัยแล้งฮ่องเต้จึงมีพระราชโองการแต่งตั้งนางเป็นเสี้ยนจู่อันผิง ได้ยินว่าปีนี้เสี้ยนจู่อันผิงอายุเพียงสิบหกปีเท่านั้น นางยังมีน้องชายสองคน
น้องสาวหนึ่งคน และน้องสาวของนางอายุเพียงสิบสองหรือสิบสามปี”
อย่างนั้นก็ถูกต้องแล้ว
“เจ้าแน่ใจนะว่าไม่ผิด” เสิ่นเหวินเจวี้ยนตื่นเต้นเล็กน้อย และกลัวว่าตัวเองจะทำพลาดอีกครั้ง
“ควรเป็นความจริงหากพูดตามอายุ อายุของสองคนนั้นและอายุของสองพี่น้องเสี้ยนจู่ไม่ต่างกัน” อาจารย์เลี่ยวพูดอย่างหนักแน่น
เสิ่นเหวินเจวี้ยนพยักหน้าดวงตาเปล่งประกายด้วยความตื่นเต้น
ตามหามาหลายเดือนแล้วไม่มีข่าวคราวอะไร ครั้งนี้ ในที่สุดก็หาเจอแล้ว มีเบาะแสแล้ว
เมื่อกู้เสี่ยวหวานได้ยินว่าแม่นมไป๋ไปกองกำลังรักษาความสงบเพื่อฟ้องร้องโหยวเฉียนที่เหยียดหยามไป๋เพียวเพียวคุณหนูของนางจนต้องแขวนคอตาย กู้เสี่ยวหวานก็แปลกใจมาก
“แม่นมไป๋ผู้นี้รู้สึกว่าคำพูดและจุดประสงค์ของนางต่างกันอย่างสิ้นเชิง นางบอกว่าเพื่อหาตัวฆาตกรแทนตระกูลโหยวและเพื่อแบ่งเบาความทุกข์ของโหยวฝ่างฉิน แต่ข้าฟังยังไงก็รู้สึกว่าแม่นมไป๋ผู้นี้อยากปกปิดซ่อนเร้นบางอย่าง แต่กลับกลายเป็นเปิดเผยให้โลกรู้ ไป๋เพียวเพียวผู้นั้นถูกโหยวฝ่างฉินพากลับมา โหยวเฉียนรังแกคนอื่น โหยวฝ่างฉินจะต้องโยนความผิดไปที่โหยวเฉียน แน่นอนว่าเมื่อมีโอกาสฆ่าโหยวเฉียนเพื่อล้างแค้นให้แม่นางไป๋ แต่เหตุใดแม่นมไป๋ถึงพูดว่าโหยวฝ่างฉินเป็นคนดีให้ความสำคัญกับความรู้สึกที่มีต่อกันและยังพูดว่าจะช่วยขุนนางตามหาตัวฆาตกรอีก” กู้เสี่ยวหวานพูดกับตัวเอง จากนั้นถานอวี้ซูก็ตามนางออกมาด้วยท่าทางที่สงสัย
……….