ทะลุมิติไปเป็นสาวนาผู้ร่ำรวย - บทที่ 1653 สอบสวนแม่นมไป๋
บทที่ 1653 สอบสวนแม่นมไป๋
“เจ้าอยู่บ้าน ฝึกเขียนอักษรและวาดภาพต่อไป เมื่อก่อนเคยทำเยี่ยงใด ตอนนี้ก็จงทำเช่นนั้น” ซูหลินกล่าวเคล้ารอยยิ้ม “อย่างไรก็ตาม จิตใจเหี้ยมเกรียมเสียยิ่งนัก เพียงหญิงสาวที่หักหลังเพียงคนเดียว เจ้ากลับสรรหาวิธีทรมานนางอย่างอำมหิต ทำให้ข้าได้ตาสว่าง”
“ผู้ใดทรยศต่อข้า ผู้นั้นย่อมพบเจอจุดจบอันเลวร้าย ทรมานแสนเข็ญเสียยิ่งกว่าความตาย” โหยวฝ่างฉินหวนนึกถึงอดีตอันแสนขมขื่น กล่าวขึ้นเสียงอาฆาตแค้น
“เป็นเช่นนี้เอง ในเมื่อเจ้าหาข้าพบแล้ว ข้าย่อมต้องช่วยเจ้าอย่างแน่นอน”
“ขอบคุณท่านมาก ภายหลังหากท่านต้องการ ต่อให้ต้องบุกน้ำลุยไฟข้าจะทุ่มเทสุดกำลัง” โหยวฝ่างฉินคำนับสามครั้ง และสาบานเสียงหนักแน่น
ซูหลินกระตุกยิ้ม พลางรุดขึ้นหน้าประคองอีกฝ่ายลุกขึ้น “เจ้าเป็นคนมีพรสวรรค์ น่าเสียดายที่ฝ่าบาทสนใจเพียงครอบครับใหญ่ตระกูลโหยวเท่านั้น เจ้ามีความสามารถเช่นนี้ หากได้เกิดมาในครอบครัวใหญ่จะวิเศษแค่ไหนกัน”
โหยวฝ่างฉินไม่ได้เอื้อนเอ่ยคำใดและหลุบตามองพื้นดินเบื้องล่าง แววตาหมองหม่นอย่างไม่อาจอธิบายได้
ไม่นานหลังโหยวฝ่างฉินเอ่ยขอตัวลา พลันได้ยินเสียงซูหลินตะเบ็งเสียงดัง “ใครก็ได้ เผาลานนั่นทิ้งให้สิ้นซาก!”
ครั้นเห็นมีคนตอบรับคำสั่ง อาโม่จึงรีบตามบุคคลนั้นไปทันที ตามไปจนกระทั่งถึงลานเล็กแห่งหนึ่งที่ซ่อนจากสายตาผู้คน
ลานเล็กนั้นแม้จะไม่ได้กว้างขวาง หากแต่ถูกตกแต่งอย่างโอ่อ่า ดูเหมือนว่าจะเป็นสถานที่ให้โหยวฝ่างฉินซ่อนบางอย่างไว้
ครั้นอาโม่มาถึง สิ่งของภายในบ้านดูเหมือนจะถูกโจรกรรมไป ข้าวของกระจัดกระจายไม่เป็นระเบียบ แม้แต่ห้องส่วนตัวของไป๋เพียวเพียวล้วนเต็มไปด้วยฝุ่นจับหนาเตอะ
เรือนหลังนี้ไม่มีผู้ใดอาศัยอยู่มานาน คาดว่าแม่นางไป๋คงตายไปได้สักระยะหนึ่งแล้ว
หลังจากฟังการสนทนาระหว่างโหยวฝ่างฉินและซูหลิน อาโม่เดาว่าการตายของไป๋เพียวเพียวและโหยวเฉียนมีส่วนเกี่ยวข้องกับโหยวฝ่างฉิน แต่ไม่มีหลักฐานเพียงพอที่จะพิสูจน์ได้ว่าโหยวฝ่างฉินเป็นผู้บงการเรื่องนี้
คนของซูหลินถูกอาโม่จัดการจนหมดสติล้มลง
อาโม่เดินสำรวจรอบเรือน เพื่อดูว่าตนเองสามารถหาเบาะแสใดได้บางหรือไม่ ภายในห้องรกร้างนี้ มองจากสภาพแล้วเกรงว่าคงถูกรื้อค้นมาหลายครั้ง ไม่เช่นนั้นคงไม่มีสภาพเช่นนี้
คนพวกนั้นกำลังค้นหาสิ่งใดอยู่
อาโม่ค้นหาทุกซอกทุกมุม ในที่สุดในก็พบรูหนูรูหนึ่งบนบริเวณด้านหลังตู้ ทั้งยังพบผ้าเช็ดหน้าที่มีรอยฉีกขาดบริเวณมุม บนผ้าเช็ดหน้าผืนนั้นมีข้อความเขียนอยู่ ดูเหมือนว่ามันจะถูกเขียนด้วยเลือด
ข้อความสั้น ๆ ไม่กี่คำ
โหยวฝ่างฉินทำร้ายข้า
โหยวเฉียน หวังซาน
รู้จักเพียงโหยวฝ่างฉินสามคำนี้เท่านั้น ส่วนคำอื่นนั้นไม่ได้ให้ความสนใจ
เมื่อรู้เบาะแสสำคัญของเรื่องนี้แต่ยังไม่กล้าตัดสินใจเพียงลำพัง หลังจากจับคนวางเพลิงได้แล้ว จึงรีบกลับไปหากู้เสี่ยวหวานที่สวนชิง
……
ครั้นกู้เสี่ยวหวานเห็นผ้าเช็ดหน้าผืนนี้ จึงขบคิดเรื่องนี้อยู่นาน หากแต่ก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี บนผ้าเช็ดหน้าเขียนไว้ว่าโหยวฝ่างฉินทำร้ายข้าอย่างชัดเจน และนางก็เข้าใจมันเป็นอย่างดี แต่ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายใช่วิธีการใด
ทว่า… โหยวเฉียนกับหวังซานด้านหลังนั้นหมายความอย่างไร
พวกเขาคือสองในสามของผู้ตาย และดูเหมือนว่าตอนที่พวกเขามีชีวิตอยู่จะรู้จักกันมาก่อน
“อาโม่ รีบไปที่กองกำลังรักษาความสงบโดยเร็วที่สุด”
กู้เสี่ยวหวานไม่สนใจว่าตอนนี้ฟ้าจะมืดสนิท และรีบนั่งรถม้าตรงไปที่กองกำลังรักษาความสงบทันที
คืนนี้ซูหมางมีหน้าที่ปฏิบัติงาน เขาและกู้เสี่ยวหวานถือว่าเป็นคนรู้จักกัน หลังจากได้ยินความตั้งใจของนาง ซูหมางก็พานางไปยังห้องขังที่แม่นมไป๋ถูกคุมตัว
เนื่องจากแม่นมไป๋เป็นผู้แจ้งเบาะแส และไม่ได้กระทำความผิดใด ๆ การคุมตัวนางไว้ในห้องขังครั้งนี้จึงดีกว่าคนอื่นอย่างเห็นได้ชัดเจน
เมื่อเห็นกู้เสี่ยวหวานย่างกรายเข้าไป พลันเห็นว่าแม่นมไป๋ทำตัวผิดปกติ และรีบพุ่งลงมาจากเตียงพลางเอ่ยถาม “นั่นใคร?”
จนกระทั่งเห็นอย่างชัดเจนว่าผู้มาคือซูหมาง แม่นมไป๋จึงถอนหายใจเฮือกใหญ่ด้วยความโล่งอก เมื่อกู้เสี่ยวหวานเห็นพฤติกรรมแปลกประหลาดของแม่นมไป๋ และคิดถึงสิ่งที่อาโม่บอกว่าคืนนี้ซูหลินต้องหาหนทางกำจัดแม่นมไป๋แน่นอน กู้เสี่ยวหวานจึงเกิดความสงสัยอยู่พักหนึ่ง
หลังจากที่คนที่เหลือออกไปจากห้องขังจนเหลือเพียงซูหมางและอาโม่ กู้เสี่ยวหวานจึงหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาแล้วถามว่า “แม่นมไป๋ ผ้าเช็ดหน้านี้เป็นของคุณหนูของท่านใช่ไหม ท่านดูออกไหมว่าเป็นลายมือของใคร”
พี่เลี้ยงไป๋รับมันไว้ ภายใต้เสียงเทียนสลัวสีหน้าของนางแปรเปลี่ยนไปอย่างกะทันหัน “มันคือผ้าเช็ดหน้าของคุณหนู และตัวอักษรบนนี้ก็เป็นลายมือของคุณหนูเช่นกัน ทำไมนางถึงเขียนแบบนี้”
“ท่านไม่รู้หรือ?” เมื่อเห็นท่าทางตกตะลึงอีกฝ่าย กู้เสี่ยวหวานก็ถามกลับอย่างฉงนสงสัย
“ข้าไม่รู้ ทั้งหมดที่ข้ารู้ก็คือนายน้อยใหญ่ตระกูลโหยวใจดีกับคุณหนูของข้ามาก หากคุณหนูต้องการดวงดาวบนท้องฟ้า นายน้อยโหยวก็จะไม่เลือกดวงจันทร์มาหลอกนาง” แม่นมไป๋พยักหน้าและพูดด้วยใบหน้าที่นิ่งสงบ ท่าทีดูเหมือนไม่ได้กำลังโกหกกัน
สิ่งที่โหยวฝ่างฉินพูดนั้นแตกต่างจากที่แม่นมไป๋พูด
“ทำไมคุณหนูของท่านถึงแขวนคอตัวเอง”
“ไม่ใช่เพราะโหยวเฉียนที่สมควรตายคนนั้นหรืออย่างไร เขาชมชอบความงามของคุณหนู และอยากครอบครองนางเป็นของตนเอง แต่คุณหนูมักเพิกเฉยต่อเขา ดังนั้นเขาจึงเก็บความแค้นนี้ไว้ในใจ และฉวยโอกาสตอนที่นายน้อยโหยวไม่อยู่เพื่อทำให้คุณหนูเป็นมลทิน เมื่อคุณหนูถูกกระทำเยี่ยงนั้นก็รับไม่ได้ว่าร่างกายของตนเองสกปรกแปดเปื้อนจึงตัดสินใจปลิดชีพตัวเอง คุณหนูผู้น่าสงสารของข้า ทำไมชีวิตช่างรันทดนัก” แม่นมไป๋พลันหวนนึกถึงช่วงเวลาอันแสนโศกเศร้าและร้องไห้ออกมา
“คุณหนูของข้าเป็นคนดี แม้แต่มดนางยังไม่กล้าแม้แต่จะเหยียบมัน ทำไมคนดี ๆ ถึงต้องเจอเรื่องเลวร้ายด้วยล่ะ” แม่นมไป๋พูดพลางสะอื้นไห้
“โหยวเฉียนมักจะไปที่ที่พวกท่านอยู่หรือ”
“ใช่ ตราบใดที่นายน้อยใหญ่โหยวไม่อยู่บ้าน เขาก็จะแอบไปที่นั่นและโดนข้าไล่ออกมาทุกครั้ง”
“นายน้อยโหยวไม่รู้หรือ”
“ไม่รู้แน่นอน ถ้าข้ารู้คงสอนบทเรียนให้โหยวเฉียนไปแล้ว ข้าอยากบอกนายน้อยโหยวเช่นกัน แต่คุณหนูบอกว่าทั้งสองคนเป็นพี่น้องกัน พวกเขามาจากตระกูลเดียวกัน ตระกูลโหยวให้ความสำคัญกับกับมารยาทและความเมตตามากที่สุด สิ่งที่สำคัญที่สุดคือความสัมพันธ์ระหว่างพี่น้อง หากนายน้อยใหญ่รู้เรื่องนี้แล้วและส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่างสองพี่น้อง คุณหนูบอกว่าถ้าอย่างนั้นนางก็คงเป็นคนผิด”
แปลกจริง ผู้หญิงโดนลวนลาม แต่ไม่บอกคนรักและแม้แต่พี่เลี้ยงก็ช่วยกันปกปิด ผู้หญิงคนนี้ใจดีเกินไปหรือโง่เกินไปกันแน่?
หรือยังคงมีจุดประสงค์อื่นแอบแฝง