ทะลุมิติไปเป็นสาวนาผู้ร่ำรวย - บทที่ 1654 มีคนพูดแน่
บทที่ 1654 มีคนพูดแน่
หลังจากกู้เสี่ยวหวานฟังจบ ก็ชี้ไปที่ชื่ออื่นบนผ้าเช็ดหน้าพลางเอ่ยถาม “ท่านรู้จักคนเหล่านี้ไหม”
“ข้าไม่รู้จักหวังซาน เขาเป็นผู้ตายด้วยหรือเปล่า”
“ใช่เจ้าค่ะ ครั้งนี้มีคนตายสี่คนคือโหยวเฉียน หวังซาน หลี่เฉิง เฉียนหู่”
“ว่าอย่างไรนะ? หลี่เฉิงและเฉียนหู่ก็ตายเหมือนกันหรือ?” แม่นมไป๋ร้องลั่น
“เจ้ารู้จักพวกเขาหรือ” ซูหมางที่นิ่งเงียบอยู่นาน ทันใดนั้นก็เอ่ยถามขึ้นอย่างเย็นชา
“รู้จักสิ พวกเขาสองคนคือคนที่เราพบครั้งไปเมืองหลวงพร้อมนายน้อยโหยว สองนั้นมีทักษะการต่อสู่อยู่บ้าง นายน้อยโหยวบอกว่าการพาพวกเขาสองคนไปด้วยจะทำให้พกวเราปลอดภัย พวกเราเดินทางไปเมืองหลวงพร้อมกัน” แม่นมไป๋เอ่ยสีหน้านิ่งเฉย “ทั้งสองคนตายด้วยกันได้อย่างไร”
“ใช่ ไม่เพียงแค่นั้นนะ แต่ทั้งสองยังตายพร้อมหวังซานและโหยวเฉียน พวกเขาทั้งสี่กินข้าวด้วยกันและถูกวางยาพิษ”” ซูหมางพูดอย่างเย็นชา
“โหยวเฉียนรังแกคุณหนูของท่าน ท่านคงรู้ใช่ไหม” กู้เสี่ยวหวานถาม
แม่นมไป๋คิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นส่ายหน้าแล้วพูดว่า “ข้าไม่รู้ ตอนนั้นข้าไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น เวลานั้นจู่ ๆ ข้าก็เวียนหัวและเริ่มรู้สึกอ่อนแรง คุณหนูจึงบอกให้ข้ากลับไปพักผ่อน และถ้ามีอะไรนางจะเรียกหาข้าเอง แต่เมื่อข้ากลับมาอีกครั้ง ก็พบว่าคุณหนูแขวนคอปลิดชีพตนเองไปแล้ว
แม่นมไป๋สะอื้นไห้ “คุณหนูเขียนในจดหมายว่า ถูกโหยวเฉียนทำให้ร่างกายเกิดมลทิน ข้าต้องการรายงานต่อเจ้าหน้าที่ แต่นายน้อยโหยวบอกว่าโหยวเฉียนเป็นน้องชายของเขา เขาจะปล่อยให้น้องชายตนเองเจอความลำบากไม่ได้ จากนั้นจึงมอบเงินก้อนหนึ่งให้ข้ากลับบ้านไปใช้ชีวิตยามชราอย่างสงบ ข้าคิดว่าในเมื่อคุณหนูก็จากไปแล้วและโหยวเฉียนคนนั้นก็ไม่ใช่คนธรรมดา ถ้าหากไปฟ้องร้องเรื่องนี้ต้องไม่สำเร็จแน่ ข้าจึงรับเงินมาและเดินทางกลับบ้านเกิด แต่คราวนี้กลับมีคนมาหาข้าและบอกว่านายน้อยโหยวขอให้ข้าช่วยตามหาฆาตกรที่ฆ่าน้องชายตนเอง และขอให้ข้าเล่าเรื่องทุกอย่างที่รู้ให้ทางการทราบ และเขาจะช่วยแก้ปัญหานี้ให้คลี่คลายโดยเร็วที่สุด ดังนั้นข้าจึงมาที่นี่”
โหยวฝ่างฉินขอร้องให้นางมาที่นี่
แต่เมื่อเห็นท่าทางกังวลของโหยวฝ่างฉิน เกรงว่าเขาจะยังไม่รู้ว่าการมาถึงของแม่นมไป๋ นางคงถูกจ้างจากคนที่แอบอ้างเป็นเขา
ถ้าไม่ใช่โหยวฝ่างฉิน แล้วจะเป็นผู้ใดกัน?
ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะสืบหาเบาะแสความสัมพันธ์ระหว่างไป๋เพียวเพียวกับโหยวเฉียนและโหยวฝ่างฉิน
ผู้ใดกันที่กำลังช่วยนางอยู่
กู้เสี่ยวหวานไม่มีเวลาคิดสิ่งใดให้มากความ เมื่อเห็นว่าแม่นมไป๋ไม่สามารถพูดอะไรที่มีประโยชน์ได้อีก นางจึงกระซิบบางอย่างแก่ซูหมางสองสามคำ ครั้นได้ฟังจบซูหมางพยักหน้าแล้วส่งกู้เสี่ยวหวานออกไป
ระหว่างทางบนรถม้า อาจั่วพลันถามขึ้นอย่างสงสัย “คุณหนู แม่นมไป๋ไม่มีเบาะแสที่เป็นประโยชน์ แล้วเหตุใดซูหลินจึงต้องส่งคนมาฆ่านาง”
“บางทีพวกเขาอาจไม่รู้ว่าแท้จริงแล้วแม่นมไป๋ไม่รู้อะไรเลย แต่พวกเขากลับมีจุดประสงค์ในครั้งนี้ พวกเขาจึงคิดว่านางรู้ทุกอย่าง ดังนั้นแล้วพวกเขาจึงต้องการฆ่านางอย่างแน่นอน” กู้เสี่ยวหวานเอ่ยขึ้น หากแต่ก็ยังรู้สึกแปลก ๆ ในใจ
“ไป๋เพียวเพียวไม่รู้สิ่งใดเลย แต่โหยวฝ่างฉินต้องการฆ่านาง เขาอาจกลัวว่าไป๋เพียวเพียวจะรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นในเวลานั้น แต่การตายของไป๋เพียวเพียวอาจไม่ง่ายอย่างนั้น แม้ว่าโหยวฝ่างฉินจะไม่ได้อยู่ที่นั่น แต่เดาว่าเขาคงรู้เรื่องทุกอย่าง” กู้เสี่ยวหวานกล่าว
อาจั่วขมวดคิ้ว “แต่โหยวฝ่างฉินผู้นี้เจ้าเล่ห์ยิ่งนัก เขาไม่ปริปากเลยแม้แต่น้อย เอาแต่อยู่บ้านเงียบ ๆ หากไม่มีใครพูด ทุกคนจะต้องคิดว่าเขาเป็นคนดีอย่างแน่นอน”
“ในเมื่อเขาไม่ยอมพูดอะไรเลย อย่างนั้นก็มาทำให้เขาพูดกันเถอะ”
“ใครกัน”
“ไป๋เพียวเพียว”
หลังจากที่โหยวฝ่างฉินแยกจากซูหลิน ในที่สุดหัวใจที่ปั่นป่วนของเขาก็สงบลงเล็กน้อย คืนนี้เขาจึงนอนหลับได้อย่างสนิทใจ
กลางดึกคืนนั้นเขาได้ยินเสียงประตูและหน้าต่างสั่นไหวเนื่องจากถูกสายลมพัดผ่าน โหยวฝ่างฉินผุดลุกขึ้้นนั่งด้วยความตกใจ เสียงดังลั่นเอี๊ยดอ๊าดสร้างความหวั่นผวาให้เขาได้ไม่น้อย และหายจากอาการง่วงเป็นปลิดทิ้ง
“ใครก็ได้ ใครก็ได้!” โหยวฝ่างฉินส่งเสียงตะโกนเรียกอยู่หลายครั้ง แต่กลับไม่ได้ยินเสียงตอบรับจากใครสักคน หัวใจจึงยิ่งกระวนกระวายมากขึ้น “ให้ตายเถอะ หายหัวไปไหนกันหมด”
ลมปลายฤดูใบไม้ร่วงพัดรุนแรงเข้ามาภายใน โหยวฝ่างฉินเห็นว่าไม่สามารถเรียกหาใครได้ ดังนั้นจึงลุกขึ้นและจำใจเดินไปปิดมันด้วยตนเอง
เขาคลำทางจะลุกจากเตียง แต่กลับรู้สึกว่าทุกอย่างที่นี่ที่คุ้นเคยอย่างบอกไม่ถูก
เขาคลำทางจนถึงโต๊ะตัวหนึ่ง หลังจากจุดตะเกียงแล้ว พลันยกตะเกียงในมือขึ้นและใช้มือขวาป้องลมไว้เพราะกลัวว่าไฟจะดับ หลังจากมาถึงหน้าต่าง โหยวฝ่างฉินก็วางตะเกียงน้ำมันลง และทำการปิดหน้าต่างอย่างรวดเร็ว
จากนั้นหมุนตัวเดินรุดขึ้นพร้อมถือตะเกียงน้ำมัน แสงไฟสลัวจากตะเกียงทำให้ห้องสว่างขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
ทันใดนั้นก็รู้สึกเย็นวาบจากกระดูกสันหลังจนถึงหนังศีรษะ ชายหนุ่มกวาดสายตามองการตกแต่งโดยรอบด้วยความสยดสยอง และรู้สึกประหลาดใจเมื่อพบว่าที่นี่ไม่ใช่ห้องของตัวเอง แต่เป็นห้องส่วนตัวในลานบ้านอีกแห่งที่เขาจัดไว้ให้ไป๋เพียวเพียว
เขาไม่ได้อยู่ในจวนตระกูลโหยว
เขามาที่นี่ได้อย่างไร
โหยวฝ่างฉินตัวสั่นและกำลังจะหันกลับ ทันใดนั้นเสียงหัวเราะแหลมดังขึ้นด้านหลังทำให้ขนอ่อนทั้งร่างกายลุกซู่
ความหนาวเย็นจากลมหนาวที่พัดมาปะทะร่างกายในตอนนี้ และเสียงหัวเราะแหลมเสียดหูที่ดูเหมือนจะคืบคลานออกมาจากขุมนรก
“หึหึหึ” เสียงนั้นดังขึ้นด้านหลังเขาอย่างแผ่วเบา หากแต่น่ากลัว
“ผู้ใดกัน?” โหยวฝ่างฉินถามน้ำเสียงสั่นเครือ มือที่ถือตะเกียงน้ำมันสั่นระริก ไม่กล้าแม้แต่จะหันหลังกลับไปมอง
“นานแค่ไหนแล้วที่ไม่ได้เจอกัน นายน้อยโหยวจำข้าไม่ได้แล้วหรือ” เสียงนั้นเอ่ยขึ้นทีละคำทำให้โหยวฝ่างฉินรู้สึกเหมือนตกลงไปในธารน้ำแข็ง “ข้าคือเพียวเพียวคนโปรดของท่านยังไงล่ะ!”
โหยวฝ่างฉินรู้สึกว่าสมองของเขากำลังจะระเบิดออก มือไม้อ่อนปวกเปียกปล่อยตะเกียงน้ำมันตกลงบนพื้น พลางคุกเข่าลงและพูดด้วยน้ำเสียงหวาดกลัว “เจ้า…เจ้าเป็นคนหรือผี!”
“ข้าเป็นผี นายน้อยข้าตายอเนจอนาถ ข้าต้องการดูว่านายน้อยจะล้างแค้นให้ข้าหรือไม่” เสียงนั้นดูเหมือนจะคืบคลานเข้ามาใกล้กว่าเดิม…
……….