ทะลุมิติไปเป็นสาวนาผู้ร่ำรวย - บทที่ 1655 เสียสติ
บทที่ 1655 เสียสติ
โหยวฝ่างฉินหลับตาปี๋อย่างรวดเร็วด้วยความตกใจ สองมือโบกพัลวันด้วยความตื่นตระหนก และพูดอย่างบ้าคลั่งว่า “เจ้าไม่ต้องมาที่นี่ เจ้าไม่ต้องมาที่นี่ มันไม่เกี่ยวกับข้า มันไม่เกี่ยวกับข้า”
“นายน้อยโหยวเรื่องนี้จะไม่เกี่ยวกับท่านได้อย่างไร ท่านเป็นคนพาข้ามาที่เมืองหลวง แต่ข้ากลับไม่ได้แต่งงานกับท่าน ท่านปล่อยให้ข้ารอแล้วรอเล่า มันทำให้หัวใจของข้าเจ็บปวดรวดร้าว” วิญญาณหญิงสาวร้องไห้คร่ำครวญ “ฮือฮือฮือ ท่านอยากดูหัวใจของข้าหรือไม่ว่ามันปวดร้าวเพียงใด”
“อ๊าก ไม่ไม่ไม่” โหยวฝ่างฉินกรีดร้อง และผงะถอยหลังหลายกลัว “ข้าเป็นลูกชายคนโตซึ่งเกิดจากฮูหยินใหญ่ผู้มีเกียรติของครอบครัวรองตระกูลโหยว ข้าจะแต่งงานกับเจ้าได้อย่างไร เราตกลงกันว่าหลังจากที่ข้าแต่งงานกับภรรยาแล้ว ข้าจะพาเจ้าเข้าตระกูลโหยว แต่เจ้าเป็นนางแพศยา ไร้ยาง เมื่อเห็นว่าแต่งงานกับข้าไม่ได้จึงไปหาโหยวเฉียน คนอย่างพวกเจ้ามันสมควรตาย” โหยวฝ่างฉินหลับตาแน่น ไม่กล้ามองผู้หญิงตรงหน้าเขา
“เหอะ ดังนั้นหลังจากที่ท่านฆ่าข้าแล้ว ท่านก็เลยลงมือฆ่าโหยวเฉียนสินะ” วิญญาณผู้หญิงเอ่ยผะแผ่ว คำพูดของนางเต็มไปด้วยโทสะ แต่โหยวฝ่างฉินอยู่ในอาการหวาดกลัวมากจึงไม่ได้สังเกต
“ทำไมเล่า เขาตายไปแล้วไม่ดีหรืออย่างไร เขาจะได้ไปอยู่กับเจ้าอย่างไรล่ะ เจ้าสองคนเหมาะกันราวผีเน่ากับโลงผุ” โหยวฝ่างฉินเอ่ยราวกับกำลังพูดเรื่องเศร้าหมอง ความหวาดกลัวที่มีเริ่มลดน้อยลงพลางตะโกนเสียงดัง “ข้าคือลูกชายคนโตของตระกูลโหยว ข้าไม่ดีตรงไหน ข้าจะให้อาหาร เสื้อผ้า และทุกอย่างที่เจ้าต้องการ แต่เจ้ากลับไปลอบมีสัมพันธ์กับลูกเมียน้อยนั่น สำหรับคนที่ทรยศแบบเจ้า ตายได้เสียก็ดี”
“ฮือฮือฮือ นายน้อยโหยว ข้าต้องการแต่งงานกับท่านจริง ๆ แต่ไม่เคยมีแม่สื่อมาพูดคุยเรื่องของเรา หากข้าจะไปชอบคนอื่นนั่นคืออิสระของข้า ทำไมท่านถึงต้องการให้ข้ากลับมาอีก”
“ให้เจ้ากลับมาหรือ” โหยวฝ่างฉินเย้ยหยัน “ให้เจ้ากลับมาที่ใด เจ้าทรยศข้า เจ้าไปมีความสัมพันธ์กับใครไม่มี แต่ไปมีกับโหยวเฉียน เขาเป็นลูกชายที่ต่ำต้อยที่เกิดจากเมียน้อยตระกูลโหยว เจ้ามันตาบอดที่ตามเขาไปและปล่อยให้เขาเยาะเย้ยข้า เจ้ารักเขาไม่ใช่หรือ อย่างนั้นก็ตามเขาไปเสียสิ”
“ตระกูลโหยวเป็นตระกูลที่เปี่ยมด้วยความเมตตากรุณาและชอบธรรมมาโดยตลอด ไม่ว่าพวกเขาจะเป็นคนในครอบครัวหรือบ่าวไพร่ พวกเขาคือคนที่ตระกูลโหยวต้องปกป้อง โหยวเฉียนเป็นน้องชายของท่าน ทำไมท่านพูดถึงเขาแบบนั้น”
“ทำไมกัน? ขึ้นเตียงกับเขาไม่กี่ครั้งก็ออกตัวปกป้องมันขนาดนี้แล้วเรอะ” เมื่อโหยวฝ่างฉินได้ยินชื่อโหยวเฉียนจาก ‘ไป๋เพียวเพียว’ อีกครั้งจึงเยาะเย้ย “โหยวเฉียนเป็นลูกของเมียน้อยตระกูลโหยว ในสายตาของข้า เขาไม่ต่างไปกว่าทาสในตระกูล” โหยวฝ่างฉินกล่าวอย่างโหดเหี้ยม
“ตระกูลโหยวมีความเมตตากรุณาและชอบธรรม แต่ท่านกลับเป็นคนที่โหดร้ายและไร้ความปรานี”
“ความเมตตากรุณาและชอบธรรมหรือ” โหยวฝ่างฉินพึมพำ จากนั้นหัวเราะเยาะ “ความเมตตากรุณาและชอบธรรม ฮ่าฮ่าฮ่า ท่านลุงผู้สูงส่งของข้าแค่ต้องการให้ทุกคนคิดแบบนั้นไม่ใช่หรือ ครอบครัวรองตระกูลโหยวถูกเขาเหยียบย่ำแทบจมดิน ครอบครัวใหญ่มีอำนาจ และครอบครัวรองของเรายังคงอยู่ภายใต้การควบคุมของเขาและต้องเสแสร้งทำเป็นคนมีคุณธรรม น่าขยะแขยง น่าขยะแขยงเป็นที่สุด” โหยวฝ่างฉินกล่าว ความโกรธแทรกเข้ามาแทนความเศร้าโศก แต่นั่นก็ทำให้รู้ว่าเขาเกลียดชังโหยวไท่ซือมากแค่ไหน
“ข้าต้องพยายามอย่างหนักเพื่อการสอบแต่ถูกไอ้แก่นั่นฉวยไป ข้าพยายามอย่างหนักมากว่าสิบปี อาศัยความรู้และความสามารถของตนเอง แต่กลับมีอนาคตเช่นนี้ ทำไมกัน” โหยวฝ่างฉินกรีดร้องอย่างบ้าคลั่ง
“และเจ้า… เจ้าแสร้งทำเป็นแสดงความรักต่อข้า แต่เจ้าก็เป็นเพียงหญิงแพศยา รู้สึกอย่างไรบ้างล่ะที่ได้ลิ้มรสขอทาน”
โหยวฝ่างฉินหัวเราะออกมา ดูเหมือนว่าเขาเสียสติไปแล้วจนปริปากเล่าทุกอย่างออกมา
“หาขอทานให้เจ้าและยังมีนักโทษสองคนที่กลับมาเมืองหลวง ข้าต้องการให้ไป๋เพียวเพียวได้ลิ้มรส เจ้าใช้โหยวเฉียนมาทำให้ข้าขายหน้า ข้าจึงใช้นักโทษและขอทานที่ต่ำต้อยที่สุดเพื่อประจานเจ้า ด้วยร่างกายเปื้อนมลทินของเจ้า แต่เจ้าก็ยังไปรักกับเจ้านั่นอยู่ในนรก! เจ้าได้ผู้ชายเพิ่มไปอีกตั้งสามคนนั่นคงจะทำให้เจ้าพอใจแล้วสินะ นังผู้หญิงสำส่อน” โหยวฝ่างฉินหัวเราะเสียงดังราวกับว่าเสียสติไปแล้ว
วิญญาณผู้หญิงตรงหน้านางฟังเรื่องราวทั้งหมดนี้อย่างไม่อยากเชื่อ และมองไปที่โหยวฝ่างฉินซึ่งกำลังหัวเราะอยู่ตรงหน้า เด็กที่มีความเฉลียวฉลาดคนนี้ โหยวฝ่างฉินผู้อ่อนโยน ตอนนี้เป็นเหมือนวิญญาณร้ายที่ทำสิ่งที่น่าสะพรึงกลัว
“พวกเขาทั้งสี่ตายได้อย่างไร” วิญญาณหญิงสาวตรงหน้าเอ่ยถาม
ตอนนี้โหยวฝ่างฉินได้เสียสติไปแล้ว เขาไม่ได้สังเกตเห็นความแปลกประหลาดของวิญญาณผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้าเขาเลย จากนั้นแสยะยิ้มและพูดอย่างเดือดดาล “ข้าเรียกพวกเขาทั้งสี่ไปที่ร้านจิ่นฝู”
“ทำไมถึงเลือกร้านจิ่นฝู”
“เพื่อให้ผู้คนคิดว่าเรื่องนี้เป็นฝีมือของร้านจิ่นฝู เพื่อที่พวกเขาจะได้ไม่สงสัยในตัวข้า” โหยวฝ่างฉินกัดฟันพูด และเมื่อเขากำลังจะเอ่ยอะไรบ้างอย่าง ทันใดนั้นสีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปอย่างกะทันหัน เมื่อลืมตาขึ้นและมองไปที่วิญญาณหญิงสาวในชุดขาวตรงหน้าพลางตะโกนอย่างตกใจ “เจ้าไม่ใช่ไป๋เพียวเพียว เจ้าเป็นใคร”
หลังจากพูดจบ โหยวฝ่างฉินก็พุ่งไปข้างหน้าเพื่อจับตัวนางเอาไว้ ทันใดนั้นวิญญาณผู้หญิงก็ลอยออกไปทางหน้าต่าง โหยวฝ่างฉินวิ่งตามไปอย่างรวดเร็ว และเมื่อประตูเปิดออก แสงเทียนก็ส่องสว่างไปทั่วทั้งลานบ้าน
ทันใดนั้นก็เห็นหนีปิ่งและซูหมางยืนอยู่กลางลาน มองไปที่โหยวฝ่างฉินและพูดด้วยท่าทางนิ่งสงบ “นายน้อยโหยว มากับเราเถอะ”
เมื่อโหยวฝ่างฉินเห็นคนหลายร้อยคนอยู่ข้างนอก เขาก็รู้ตัวแล้วว่าเมื่อครู่ตัวเองถูกหลอกและสารภาพทุกสิ่งที่ทำออกไป
เพียงแต่เขายังไม่เข้าใจว่า ‘วิญญาณหญิงสาว’ ผู้นั้นคือใคร
ทำไมเขาถึงมานอนในลานเล็กแห่งนี้ได้?
อาโม่ขับรถม้าท่ามกลางความมืด
ในรถม้า ตอนนี้อาจั่วถอดเสื้อผ้าทั้งหมดของวิญญาณหญิงสาวผู้นั้นออก “ข้าไม่รู้จริง ๆ ว่านายน้อยผู้ใจดีคนนี้กลายเป็นปีศาจที่โหดเหี้ยมและไร้ความปรานีไปได้อย่างไร แม่นางไป๋คนนั้นเพิ่งติดตามโหยวเฉียน แต่เขาไปหาขอทานและนักโทษมาทำให้นางแปดเปื้อนอย่างโหดร้าย ไม่แปลกใจเลยที่แม่นางไป๋จะแขวนคอตัวเองเพราะถูกทำให้ขายหน้าแบบนี้ การตายของแม่นางไป๋คนนั้นช่างน่าสลดใจจริง ๆ”
อาจั่วกล่าวอย่างเสียใจ
……….