ทะลุมิติไปเป็นสาวนาผู้ร่ำรวย - บทที่ 1663 เจี่ยงปู้หวน
บทที่ 1663 เจี่ยงปู้หวน
หนุ่มน้อยคนนี้คงอายุไม่เกินสิบปี รูปร่างผอมแห้ง แต่กลับมีท่าทางสง่างามผ่าเผย ดูแล้วคงทำให้ใครที่ได้เห็นนั้นคิดว่าคนคนนี้ดูแข็งแรง
กู้เสี่ยวหวานไม่เคยพบเด็กคนนี้มาก่อน หากแต่เคยได้ยินหลี่ฝานพูดถึงอยู่บ่อยครั้ง
เขาบอกว่ามีคนมาหางานที่ร้านหล่านเยว่ และต่อมาคนคนนี้ลงนามทำสัญญาจ้างงานกับร้านของนางสิบปี
แต่กู้เสี่ยวหวานกลับรู้สึกสงสัยเกี่ยวกับที่มาของชื่อนี้มาก
“เจ้าชื่อเจี่ยงปู้หวนหรือ” กู้เสี่ยวหวานถามพร้อมยกชาขึ้นดื่ม
“ใช่ขอรับ เถ้าแก่” เขาก้มหน้างุด พลางตอบรับเสียงเบา
ถึงแม้จะก้มหน้า กลับไม่ได้รู้สึกถึงความต่ำต้อยและความประจบประแจงแม้แต่น้อย
“ชื่อของเจ้าช่างมีเอกลักษณ์ มันมีความหมายว่าอย่างไรหรือ” กู้เสี่ยวหวานถาม
เมื่อเห็นเจี่ยงปู้หวนผู้นั้นเลิกคิ้วขึ้น ประสานมือไว้บริเวณหน้าอกแล้วพูดว่า “ชื่อของข้าน้อยมาจาก นักรบในชุดเกราะสีทองที่สู้รบในทะเลทรายร้อยครั้งแม้ชุดเกราะพังหมดแล้ว ถ้ารบไม่ชนะก็จะไม่มีวันกลับมา”
“นักรบในชุดเกราะสีทองที่สู้รบในทะเลทรายร้อยครั้งแม้ชุดเกราะพังหมดแล้ว ถ้ารบไม่ชนะก็จะไม่มีวันกลับมา” กู้เสี่ยวหวานพูดทวนด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา มองดูหนุ่มน้อยร่างผอมบางคนนี้ยิ้มแล้วพร้อมพูดว่า “เจ้าช่างรักชาติบ้านเมืองยิ่งนัก”
ร่างที่ผอมแห้งนี้ ดูไม่เหมือนคนที่จะไปสู้รบกับใครได้
ใบหน้าเจี่ยงปู้หวนขึ้นสีแดงระเรื่อ พลางพยักหน้าน้อย ๆ “การปกป้องประเทศเป็นหน้าที่ของพวกเราชาวต้าชิงทุกคนควรทำ”
กู้ไห่ที่อยู่ข้าง ๆ หัวเราะออกมา “คนที่ผอมจนหนังหุ้มกระดูกเช่นเจ้า เกรงว่าแม้จะไม่ได้อยู่ในสนามรบ ก็คงถูกคนที่ตัวใหญ่ล้มทับจนแบน”
ดวงตาสีเข็มนั้นแสดงออกถึงความเหน็บแนมและความรังเกียจ
เจี่ยงปู้หวนก้มหน้าลงโดยไม่พูดอะไร และไม่ใส่ใจกับคำพูดของกู้ไห่แม้แต่น้อย
กู้ไห่เห็นว่าตนถากถางเจี่ยงปู้หวนไม่สำเร็จ จึงยืนอยู่อย่างนั้นราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่ก็อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วแล้วหันไปมองอีกฝ่ายด้วยความขุ่นเคือง
เมื่อหันหน้ากลับมา จึงเห็นว่าเถ้าแก่มองตนอยู่ตลอด ถึงแม้ใบหน้านางจะเปื้อนรอยยิ้ม แต่รอยยิ้มนั้นกลับส่งไปไม่ถึงดวงตา สายตาเย็นวาบนั้นทำให้เขารู้สึกชาวาบไปทั้งตัว จากนั้นจึงได้สติกลับมาว่าตนเพิ่งแสดงอากัปกิริยาไม่สมควรให้จวิ้นจู่ผู้นี้ได้เห็น ดังนั้นจึงรีบก้มหน้าลงไม่กล้าสบตากู้เสี่ยวหวาน
กู้เสี่ยวหวานมองไปกู้ไห่พร้อมยิ้ม ในใจของเขามีแผนการบางอย่าง ทำไมกู้เสี่ยวหวานจะไม่รู้
แม้เป็นครั้งแรกที่กู้เสี่ยวหวานพบกับเจี่ยงปู้ห้วน แต่ก็รู้เรื่องราวของคนคนนี้มาจากปากท่านลุงหลี่ไม่น้อย
หนุ่มน้อยคนนี้เป็นคนมีการศึกษา แต่ฐานะทางบ้านนั้นยากจน อีกทั้งที่บ้านยังมีแม่ที่ป่วยติดเตียง ทางนี้จึงเป็นทางเลือกสุดท้าย จึงจำเป็นต้องใช้แรงงานเพื่อหาเงิน
เด็กผู้ชายทั่ว ๆ ไป ล้วนลงนามทำสัญญาทำงานหนึ่งปีสองปีสามปี แต่เด็กคนนี้กลับลงนามสัญญาต่อเนื่องถึงสิบปี เพื่อที่จะหาเงินให้เพียงพอต่อการต่อลมหายใจให้กับชีวิตแม่ของเขา
ชีวิตคนคนหนึ่ง จะมีได้สักกี่สิบปี
ถ้ารอให้ทำงานจนครบสิบปี ถึงเวลานั้นอายุของเขาก็คงจะไม่น้อยแล้ว
กู้เสี่ยวหวานมองหนุ่มน้อยผู้นี้ แม้ว่าเขาจะมีสีหน้านิ่งเฉย แต่ดวงตานั้นกลับมองไปไกลถึงอนาคต นางก็ไม่รู้ว่าทำไมเมื่อเห็นสายตาของคนคนนี้ ก็ทำให้นางนึกไปถึงตอนที่ตนเพิ่งมาถึงโลกนี้ เห็นถึงความยากลำบากของครอบครัว หากแต่ก็ไม่ยอมย่อท้อและยอมแพ้
กู้เสี่ยวหวานรู้สึกชื่นชมอีกฝ่ายในใจ พลางยกมือขึ้นแล้วพูดว่า “เจ้าออกไปก่อนข้าจะสอบถามเรื่องบางอย่างกับผู้ดูแลกู้สักหน่อย”
เจี่ยงปู้หวนยกมือมือขึ้นประสานไว้บริเวณหน้าอกเพื่อแสดงความเคารพก่อนขอตัวออกจากไป ชุดของลูกจ้างภายในร้านหล่านเยว่ล้วนถูกจัดเตรียมไว้รูปแบบเดียวกัน ชุดของผู้ดูแลและเด็กในร้านถึงแม้จะมองดูแล้วไม่มีแตกต่าง แต่ก็มีความแตกต่างกันอยู่บ้าง
ชุดของผู้ดูแลร้านด้านบนปักเป็นรูปพระจันทร์เต็มดวง บริเวณชายเสื้อปักรูปพระจันทร์เรียงกัน ที่ด้านข้างมีรูปดาวเล็ก ๆ สองสามดวงส่องแสงระยิบระยับอยู่ข้างพระจันทร์
ส่วนชุดของลูกจ้างภายในร้านมีเพียงรูปพระจันทร์เสี้ยวและดาวดวงเล็ก ๆ ที่ปักด้วยด้ายธรรมดา
เมื่อเจี่ยงปู้หวนออกไป รอยปักรูปพระจันทร์เสี้ยวและดาวที่ชายผ้าของเขานั้นราวกับกำลังลอยอยู่กลางท้องฟ้า
เจี่ยงปู้หวนรูปร่างผอมบาง และถึงแม้จะก้มหน้าเดิน แต่แผ่นหลังกลับตั้งตรง เมื่อมองจากทางด้านหลังแล้ว ราวกับต้นไผ่ที่ถูกตัดกิ่งเพื่อรอวันงอกเงย
ถึงแม้จะมีอุปสรรคมากมาย กลับไม่มีอะไรที่จะขัดขวางการเติบโตของเขา
แม้ว่าชีวิตจะลำบาก แต่ก็ไม่ดูถูกตัวเอง คนคนนี้ ต้องเป็นคนที่มีพรสวรรค์และมีความอ่อนน้อมถ่อมตน
“เถ้าแก่ ท่านมีเรื่องอะไรต้องการถามข้าหรือ?” กู้ไห่ผู้นั้นได้ยินว่ากู้เสี่ยวหวานต้องการให้เขาอยู่ก่อนเพื่อถามอะไรบางอย่าง จึงรีบถามอย่างเอาอกเอาใจ
กู้เสี่ยวหวานพยักหน้า ชี้ให้เขานั่งลงตรงที่นั่งข้าง ๆ ตนเอง “พวกเรานั่งลงคุยกันเถอะ”
กู้ไห่นั่งลงตรงที่นั่งข้าง ๆ หญิงสาวด้วยความปลาบปลื้มและประหลาดใจมาก
“ช่วงนี้กิจการของร้านหล่านเยว่เป็นอย่างไรบ้าง” กู้เสี่ยวหวานถาม
“กิจการของเราเป็นไปได้ด้วยดีขอรับเถ้าแก่” กู๋ไห่รีบตอบกลับ “ร้านหล่านเยว่ของเรา ในเมืองหลวงนี้มีร้านเดียว สินค้าของเราก็คุณภาพดีและทันสมัย มีลูกค้าหลายคนเข้ามาชมสินค้าที่ร้าน และต้องการจะซื้อ แต่ก็ไม่อาจซื้อได้”
“คิดว่าเถ้าแก่หลี่คงบอกกับเจ้าแล้ว ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปร้านหล่านเยว่ จะเป็นกิจการภายใต้ชื่อของข้า เมื่อก่อนเจ้าดูแลจัดการร้านหล่านเยว่ยังไง ต่อไปเจ้าก็ดูแลจัดการเหมือนเดิม เพียงแต่ข้าไม่สะดวกที่จะมาที่นี่บ่อย ๆ จึงจะแวะเวียนมาเป็นบางครั้งคราว จากนี้ก็ต้องรบกวนผู้ดูแลกู๋ช่วยดูแลหน่อย” กู้เสี่ยวหวานกล่าว
ใบหน้าของกู๋ไห่เปี่ยมไปด้วยความสุข พลางพูดอย่างเร็วรี่ “เรื่องนี้เป็นหน้าที่ของข้าอยู่แล้ว ท่านชมข้าเกินไปแล้ว”
กู้เสี่ยวหานพยักหน้า “อืม ต่อไปต้องรบกวนผู้ดูแลกู้แล้ว ตั้งแต่เดือนนี้เป็นต้นไป เจ้าและเด็กน้อยคนเมื่อครู่ จะได้เงินเดือนเพิ่มขึ้น”
ครั้นกู๋ไห่ได้ยินว่าเงินเดือนของเขาจะเพิ่มขึ้น จึงรีบก้มหัวพยักหน้าด้วยความดีใจ “ขอบคุณเถ้าแก่ ขอบคุณเถ้าแก่”
“เจ้าไม่ต้องขอบคุณข้า เถ้าแก่หลี่พูดเสมอว่าเจ้าทำงานหนักเพื่อดูแลร้านหล่านเยว่ นี่เป็นสิ่งที่เจ้าสมควรได้รับ ต่อไปยังต้องรบกวนเจ้าอีกมาก เมื่อกิจการร้านดี เรื่องผลประโยชน์ก็เป็นเรื่องที่ทุกคนสมควรได้รับ” กู้เสี่ยวหวานเห็นหน้าของกู๋ไห่ที่ช่างประจบประแจงเช่นนั้น แต่หัวใจกลับรู้สึกไม่มีความสุขนัก
ถึงแม้ว่านางจะไม่ได้พบคนผู้นี้บ่อยนัก แต่ตอนที่ท่านลุงเป็นคนดูแลร้านนี้ ก็เคยพูดถึงคนคนนี้ให้ตนเองฟัง
มีความสามารถมีความรับผิดชอบ แต่กลับต้องการเห็นผลสำเร็จในทันที แต่เขาเป็นแค่ผู้ดูแลคนหนึ่ง เป็นเพียงผู้ดูแลร้านคนหนึ่ง คิดดูแล้วก็คงไม่น่าจะมีเรื่องใหญ่อะไร
ตอนนี้ที่เขาสามารถทำหน้าที่ของตนเองได้เป็นอย่างดี ไม่เคยทำสิ่งใดผิดพลาด กู้เสี่ยวหวานจึงขอสังเกตการณ์ต่อไป หากการกระทำของเขาไม่เข้าท่า ถึงตอนนั้นก็ค่อยเปลี่ยนคนละกัน
เมื่อกู้เสี่ยวหวานและกู๋ไห่พูดคุยกันจบแล้ว จึงเดินออกมาด้านนอก ทันใดนั้นก็เห็นหญิงสาวคนหนึ่งกำลังยืนต่อรองราคาอยู่กับเจี่ยงปู้หวนอยู่ตรงนั้น