ทะลุมิติไปเป็นสาวนาผู้ร่ำรวย - บทที่ 1671 ท่านเป็นของข้า
บทที่ 1671 ท่านเป็นของข้า
กู้เสี่ยวหวานวิ่งออกมาอย่างรวดเร็ว เมื่อเห็นรูปลักษณ์ที่มีความสุขของนาง ฉินเย่จือก็ยิ้มอย่างมีความสุขและรีบเดินไปข้างหน้า
กู้เสี่ยวหวานวิ่งไปข้างหน้าและกระโดดกอดเขาแน่น โชคดีที่ฉินเย่จือยืนอย่างมั่นคงจึงรับอ้อมกอดกู้เสี่ยวหวานไว้ได้ และหมุนตัวสองรอบจากนั้นจึงหยุดลง
แขนเสื้อของทั้งสองพริ้วไหวราวกับผีเสื้อสีฟ้าขาวเต้นรำอยู่ภายใต้แสงอาทิตย์
ฉินเย่จืออุ้มกู้เสี่ยวหวานขึ้นมาและพานางเข้าไปในห้องภายใต้สายตาของทุกคน
ทั้งสองกลับไปที่ห้องของกู้เสี่ยวหวาน ฉินเย่จือยังคงกอดกู้เสี่ยวหวานไว้ในอ้อมแขน และทิ้งตัวลงนอนบนเตียงนุ่ม พลางกระซิบแผ่วเบา
“พี่เย่จือ ตอนนี้ข้าเป็นจวิ้นจู่แล้ว วันนั้นข้าเข้าไปในวังเพื่อเข้าเฝ้าฮ่องเต้ เดิมทีข้าต้องการตามหาท่าน แต่ข้าก็เห็นองครักษ์ทุกคนแต่งตัวเหมือนกันหมด ข้าจึงหาไม่เจอว่าท่านอยู่ที่ไหน” ในขณะนี้กู้เสี่ยวหวานกำลังพูดพล่ามเหมือนเด็ก
นางไม่มีท่าทีเหมือนตอนอยู่กับกู้ฟ่างสี่อีกต่อไป เวลานี้ราวกับเป็นผู้หญิงอ่อนแอ คลอเคลียในอ้อมอกคนรักและบอกความในใจ
“ข้าก็เห็นเจ้าเหมือนกัน” ฉินเย่จือมองไปที่กู้เสี่ยวหวานและกระซิบแผ่วเบา
“ท่านเห็นข้าเมื่อไร” กู้เสี่ยวหวานรีบผละออกจากอ้อมกอดอีกฝ่ายด้วยท่าทางตื่นเต้น
“วันนั้นเจ้าไปที่วังหลวงเพื่อขอบคุณไทเฮาและฮ่องเต้ ข้าอยู่ห่างจากบันไดและเห็นเจ้า” ฉินเย่จือกระซิบ
จากนั้นก็เห็นกู้เสี่ยวหวานร้องอ๋อ นางนึกออกทันทีว่าตอนที่นางยืนอยู่ตรงนั้นและมองออกไป นางเห็นองครักษ์หลายทีมกำลังลาดตระเวน และนางคงเห็นเขาในเวลานั้น
ทั้งสองคนเล่าเรื่องที่เจอมาให้แก่กันและกันได้ฟัง ฉินเย่จือกอดกู้เสี่ยวหวานไว้ ด้วยเหตุผลบางอย่างกลิ่นหอมบนตัวของนางทำให้เขารู้สึกสบายใจ เขาไม่ได้นอนหลับสนิทมานาน ตอนนี้เมื่อได้กอดคนรัก และกลิ่นหอมอ่อน ๆ นั้นมันทำให้เขาหลับได้อย่างสบายใจ
กู้เสี่ยวหวานพูดอยู่พักหนึ่ง แต่เมื่อนางเห็นว่าไม่มีใครตอบ นางจึงเงยหน้าขึ้นและเห็นดวงตาของฉินเย่จือปิดสนิท เขาคงจะหลับไปแล้ว
ใบหน้าของเขาซีดเซียวและเบ้าตาคล้ำ ซึ่งเห็นได้ชัดว่าเกิดจากการอดนอน เมื่อเห็นว่าเขาหลับอยู่ กู้เสี่ยวหวานก็ไม่กล้าขยับตัวเพราะกลัวว่านางจะไปรบกวนเขา
เมื่อคืนเขามาแต่เช้าตรู่ และไม่ถึงสามชั่วโมงก็จากไปแล้ว
ไม่มีเวลาให้พักผ่อน
เมื่อนึกถึงสิ่งที่ท่านอาพูด กู้เสี่ยวหวานก็รู้สึกเจ็บปวดในหัวใจอีกครั้ง
ตอนนี้นางได้เป็นจวิ้นจู่แล้ว บางทีนางอาจจะช่วยเขาได้ก็ได้ ด้วยความแค้นที่เขามี มันคงทำให้เขาลำบากมามาก
กู้เสี่ยวหวานคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ ไม่นานก็หลับตามอีกฝ่ายไป เมื่อนางตื่นขึ้นโคมไฟสีแดงขนาดใหญ่ด้านนอกก็สว่างขึ้นแล้ว
นางลืมตาและมองไปที่ฉินเย่จือ และเห็นว่าฉินเย่จือกำลังเอามือหนุนศีรษะของเขาพลางมองตัวเองด้วยรอยยิ้ม “ตื่นแล้วหรือ”
ไม่รู้ว่าเขาตื่นขึ้นเมื่อไหร่และมองตัวเองมานานแค่ไหนแล้ว
เมื่อเห็นว่าขณะที่นอนหลับนางถูกเขามองมาโดยตลอด กู้เสี่ยวหวานก็รู้สึกได้ว่าใบหน้าของนางร้อนขึ้น และตอบอืมอย่างเขินอาย
ผิวขาวราวกับหยก ดูเหมือนว่าจะถูกเคลือบด้วยกลิ่นอายบางอย่าง สวยงามราวกับดอกท้อในเดือนสาม
ฉินเย่จือยื่นมือออกไปและลูบไล้ใบหน้าขาวนั้น
สัมผัสที่แผ่วเบาที่ปลายนิ้วทำให้เขาจมดิ่งลงไป
“หวานเอ๋อร์…” เขาก้มศีรษะและจูบริมฝีปากสีแดงอิงเถานั้นทันที
หลังจากที่เขาตื่นขึ้น ก็เห็นลูกแมวซุกตัวและนอนหลับสนิทอยู่ในอ้อมแขนของเขา
ริมฝีปากสีอิงเถานั้นแยกออกจากกันเล็กน้อยราวกับดึงดูดเขาให้เข้าไปกลืนกิน แต่เมื่อเห็นขอบตาสีคล้ำของอีกฝ่าย เขาก็ไม่อยากปลุกนางขึ้นมา
เขาจึงเท้าแขนขึ้นและมองนางอยู่อย่างนั้นไม่กล้าขยับเขยื้อน
ริมฝีปากอ่อนนุ่มประกบเข้าหากัน
ภายใต้การจูบนั้น กู้เสี่ยวหวานปล่อยความคิดทั้งหมดของนาง ร้านจิ่นฝู ร้านหล่านเยว่ และทุกสิ่งที่เหลือในใจของนางออกไป
ในใจของนางตอนนี้มีเพียงสิ่งเดียวคือคนผู้นี้
กอดเขา จูบเขา
นางยื่นมือออก โอบรอบคอของคนตรงหน้าและขยับตัวเข้าใกล้ฉินเย่จือ
การเคลื่อนไหวของนางทำให้จูบนั้นลึกซึ้งขึ้น
ลิ้นของเขาอ้อยอิ่งอยู่ในริมฝีปากของนาง ทั่วทั้งห้องอบอวลไปด้วยกลิ่นหอมของฤดูใบไม้ผลิ แตกต่างกับสายลมในฤดูใบไม้ร่วงที่กำลังพัดอย่างรุนแรงอยู่ภายนอก แต่ภายในห้องกลับอบอุ่นเหมือนอากาศในฤดูใบไม้ผลิ
ไม่รู้ว่าทั้งสองคนจูบหรือกอดกันนานแค่ไหน แต่เมื่อกู้เสี่ยวหวานรู้สึกว่ากระดูกของนางกำลังจะละลาย ฉินเย่จือก็ปล่อยนางไป
เขาได้เปิดไข่มุกราตรีที่ปิดด้วยผ้าสีดำ ทำให้ทุกอย่างในห้องสว่างขึ้น
นางเห็นรูปร่างหน้าตาของคนตรงหน้า ก็พบว่าเขายังหล่อเหลาเหมือนเดิม หล่อจนทำให้นางหลงใหล
ทันใดนั้นกู้เสี่ยวหวานขมวดคิ้วด้วยความเจ็บปวด ฉินเย่จือตกใจและโพล่งออกมา “เกิดอะไรขึ้น หวานเอ๋อร์?”
มีความกังวลในน้ำเสียงที่ไม่สามารถปกปิดได้
กู้เสี่ยวหวานโอบแขนของนางรอบคอของคนที่อยู่ข้างหน้า แต่เพราะเขาสูงเกินไป ถึงแม้ว่าเขาจะนอนคร่อมร่างกายนางไว้ เขาก็ยังสูงกว่านางมาก
กู้เสี่ยวหวานโอบรอบคอเขาเพื่อดันตัวเองขึ้นไปใกล้ฉินเย่จือ และฝังศีรษะของนางลงที่ซอกคออีกฝ่าย ลมหายใจอุ่น ๆ ทำให้ฉินเย่จือซึ่งสงบสติอารมณ์ได้ในที่สุด ทันใดนั้นก็รู้สึกว่าร่างกายของเขาแข็งทื่ออีกครั้ง
“พี่เย่จือ ท่านเป็นของข้า ไม่มีใครพรากท่านไปได้และข้าก็จะไม่อนุญาตให้ใครพรากท่านไป”
กู้เสี่ยวหวานพูดประโยคดังกล่าวด้วยความโกรธ
แต่ฉินเย่จือที่ได้ยินคำพูดของกู้ฟางสี่จะไม่รู้ได้อย่างไรว่ากู้เสี่ยวหวานกำลังพูดถึงอะไร?
แม้ว่านางจะเกลี้ยกล่อมกู้ฟางสี่ และในใจก็ไม่มีความขุ่นเคือง แต่ก็ยังมีความหวาดกลัว
นางกลัวว่าคนที่นางรักจะหันไปตกหลุมรักคนอื่น
เมื่อนึกถึงที่กู้ฟางสี่บอกว่าหัวใจของผู้ชายนั้นคาดเดาไม่ได้ หัวใจของกู้เสี่ยวหวานก็รู้สึกเย็นชา