ทะลุมิติไปเป็นสาวนาผู้ร่ำรวย - บทที่ 1675 สรรพสิ่งล้วนเหมือนเดิม แต่ผู้คนกลับเปลี่ยนไป
บทที่ 1675 สรรพสิ่งล้วนเหมือนเดิม แต่ผู้คนกลับเปลี่ยนไป
……….
บทที่ 1675 สรรพสิ่งล้วนเหมือนเดิม แต่ผู้คนกลับเปลี่ยนไป
เมื่อกู้เสี่ยวหวานได้ยินว่าเด็กคนนั้นตายแล้ว จึงหันไปมองถานอวี้ซูด้วยความงุนงง
ตายแล้ว?
ลูกของฉินฟางกับเย่หลัน คือพี่เย่จือไม่ใช่หรือ? ตอนนั้นเขาเผชิญกับอะไรมากันทุกคนจึงคิดว่าเขาตายไปแล้ว
กู้เสี่ยวหวานกลัวว่าอารมณ์ของตัวเองจะทำให้ถานอวี้ซูสงสัย จึงหันมาฟังนางอย่างเงียบ ๆ “แปลกมาก ฮูหยินชิงเสียชีวิตไปหลายสิบปีแล้ว บทกวีของนางมาปรากฏที่นี่ได้อย่างไร”
“เป็นไปได้ไหมว่าตอนนั้นคนที่ชอบฮูหยินชิงเป็นคนทำ แล้วจารึกบทกวีของฮูหยินชิงไว้บนต้นไม้เหล่านี้ด้วย หากไม่ใช่อันผิงจวิ้นจู่เชิญพวกเรามาดูใบเฟิง เกรงว่าตัวอักษรบนต้นไม้นี้จะไม่มีอยู่จนถึงตอนนี้”
กู้เสี่ยวหวานครุ่นคิด นางมองไปที่ต้นไม้ด้วยความงุนงง เมื่อทุกคนเห็นท่าทางมึนงงของหญิงสาว บางคนก็ปิดปากไม่พูดอะไร ส่วนบางคนที่ไม่ได้คิดจะมาร่วมงานเลี้ยงจริง ๆ ก็เอ่ยเสียงดังขึ้นอย่างเย็นชา หวังว่าเรื่องวุ่นวายจะจบลงตามเป้าหมายของตนเอง
“ไม่รู้ว่าบ้านหลังนี้ถูกเช่ามาได้อย่างไร”
การกล่าวถึงฮูหยินชิงไม่ใช่เรื่องที่เป็นมงคลมากนัก และยังไม่ค่อยมีใครรู้จักนาง หลังจากมีคนเขียนบรรทัดนั้นก็ไม่มีใครกล้าพูดอะไรอีก
“คนคนนี้เป็นคนที่ไม่มีใครรู้จัก หลังจากที่แม่ทัพฉินรับนางมาจากสนามรบและแต่งงานกับนาง ดูเหมือนว่าเขาจะสูญเสียความเป็นตัวเองไป หลังจากให้กำเนิดบุตร แม่ทัพฉินทุ่มเทให้กับภรรยาและลูก ๆ ของเขามาก อาชีพการงานเสียไปหมด ถ้าไม่ใช่เพราะผู้หญิงคนนั้น แม่ทัพฉินก็คงไม่ตายก่อนวัยอันควร” ใครบางคนพูดออกมาด้วยความเสียใจและทุกคนก็คล้อยตาม
ถานอวี้ซูเห็นว่าคำพูดของทุกคนมีอคติจึงมองไปที่กู้เสี่ยวหวานแล้วพูดต่อว่า “ตอนนี้ทุกคนเพลิดเพลินกับใบเฟิงแล้ว ไปที่สวนหน้าบ้านเพื่อหาอะไรกินกันเถอะ”
ทุกคนไม่ต้องการอยู่ที่นี่อีกต่อไป พวกเขาเดินตามรอยเท้าของสาวใช้ไปที่สวนหน้าบ้าน
กู้เสี่ยวหวานยกยิ้มขึ้นและดูคุณหนูเหล่านั้นออกจากสวนซวงเฟิงทีละคน หากมีใครทักทายนาง กู้เสี่ยวหวานก็จะพยักหน้ารับทำให้คนจับผิดนางไม่ได้แม้แต่น้อย
เมื่อทุกคนออกไปแล้ว กู้เสี่ยวหวานก็ยังไม่ได้ออกจากสวนซวงเฟิง
นางเดินเข้ามายืนใต้ต้นเฟิงอีกครั้ง เงยหน้าขึ้นมองคำที่จารึกไว้บนต้นไม้ซึ่งมันเปี่ยมไปด้วยอารมณ์
คืนนั้นหลังจากที่นางคุยกับฉินเย่จือแล้ว กู้เสี่ยวหวานก็เสนอที่จะช่วยฉินเย่จือตามหาฆาตกรที่ฆ่าพ่อแม่ของเขา
ฉินเย่จือไม่เห็นด้วย แต่ทนใจแข็งกับการยืนกรานของกู้เสี่ยวหวานไม่ได้ ฉินเย่จือจึงให้กู้เสี่ยวหวานทำมัน โดยเลือกที่จะจัดงานเลี้ยงที่สวนซวงเฟิง
ทำไมเขาถึงเลือกสวนซวงเฟิง คืนนั้นฉินเย่จือได้อธิบายให้นางฟังแล้ว
ปีนั้นหลังจากสวนชิงสร้างเสร็จ แม่ของเขาชอบดูใบเฟิงมาก เพราะแม่ของเขาชอบดูใบเฟิงมากท่านพ่อของเขาจึงสร้างลานนี้ขึ้นมาโดยเฉพาะเพื่อปลูกใบเฟิง ฮูหยินชิงมีความสามารถมากและ “พระจันทร์สว่างไสวราตรีอันลึกล้ำ ตระกูลซ่งร้องเสียงอันแผ่วเบา รางวัลที่ไม่มีใครได้รับชั่วนิรันดร์ สดชื่นและเต็มไปด้วยกลิ่นหอม” ฮูหยินชิงชอบบทกวีนี้เป็นพิเศษ ดังนั้นฉินฟางจึงหยิบมีดและแกะสลักคำทั้งหมดในบทกวีนี้ลงบนต้นไม้ที่เป็นเพียงต้นกล้าเล็ก ๆ ในตอนนั้น ทั้งยังพูดด้วยรอยยิ้มว่า ถ้าผ่านไปร้อยปีแล้วไม่มีใครรู้จักพวกเขาอีกต่อไป เมื่อลูกหลานเห็นคำบนต้นไม้นี้ พวกเขาก็ยังคงต้องนึกถึงบรรพบุรุษของพวกเขาที่สลักคำบนต้นไม้เพื่อระลึกถึงความรักได้
คำพูดถูกจารึกไว้ และเมื่อเวลาผ่านไปต้นไม้เล็ก ๆ ของปีนั้นก็เติบโตเป็นต้นไม้สูงตระหง่าน แต่ฉินฟางและฮูหยินชิงกลับเลือนหายไปตามกาลเวลา
ในเวลานั้นพี่เย่จืออายุเท่านาง อายุเพียงหกเจ็ดขวบไม่ก็อายุน้อยกว่านาง
เขาสูญเสียพ่อและแม่ไป แม้แต่ไฟที่บ้านก็ยังแผดเผาเพื่อให้เขามอดไหม้
เขาไม่มีญาติแล้วตลอดหลายปีที่ผ่านมาเขามาที่นี่ได้อย่างไร
กู้เสี่ยวหวานมีชีวิตที่ดีเพราะแม้ว่าร่างกายจะอายุแปดขวบ แต่จิตวิญญาณเกือบจะสามสิบเข้าไปแล้ว นางมีความคิดเป็นผู้ใหญ่ แต่เขาแตกต่างออกไป ในเวลานั้นเขามีจิตใจและร่างกายอายุเพียงหกเจ็ดขวบเท่านั้นจริง ๆ
ตอนนั้นเขารอดมาได้ยังไงกัน
“คุณหนู” อาจั่วเห็นกู้เสี่ยวหวานเศร้า นางรู้ว่าอีกฝ่ายเศร้าเพราะคิดถึงเรื่องนายท่านขึ้นมา หญิงสาวจึงรีบพูดเสียงต่ำว่า “วันนี้บรรดาคุณหนูมากันหลายท่าน เกรงว่าจะเยอะเกินไป คุณหนูไปลานหน้าบ้านกันเถอะเจ้าค่ะ เดี๋ยวคนจะสงสัย”
เสียงของอาจั่วนุ่มนวลมาก แต่ดูเหมือนเสียงจะต่ำไปหน่อย กู้เสี่ยวหวานหันกลับไปมองนางในใจก็สงสัย แต่ก็พยักหน้าทันที “ไปเถอะ”
เมื่อมาถึงลานหน้าบ้าน ทุกคนก็ประจำตามป้ายชื่อบนโต๊ะ บางคนก็นั่งก่อนโดยที่ยังไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าภาพก็ยื่นตะเกียบไปคีบกับอาหารตรงหน้ามากินเรียบร้อยแล้ว
มีบางคนที่ยืนอยู่กับที่ไม่ยอมนั่งราวกับกำลังรอเจ้าภาพนั่งก่อน
กู้เสี่ยวหวานมองผู้คนรอบ ๆ เห็นทัศนคติและการแสดงออกของคนเหล่านั้นในสายตาทันที
“ทุกคนเชิญนั่งลง วันนี้ก็เหมือนทุกคนอยู่ที่บ้านของตัวเอง ไม่ต้องมากพิธี” กู้เสี่ยวหวานยิ้มเบา ๆ ให้ทุกคนนั่งลง
หลังจากที่ทุกคนขอบคุณก็นั่งที่ของตัวเอง บางคนเมื่อนั่งลงแล้ว ก็ไม่แม้แต่ขยับมองท่าทางกู้เสี่ยวหวาน ทั้งยังเย้ยหยันอยู่ในใจไม่กล้าแสดงออกมาบนใบหน้า แค่มองกับข้าวตรงหน้าของตนเท่านั้น
กู้เสี่ยวหวานก็นั่งลงเช่นกัน อีกด้านหนึ่งโค่วตันก็นำข่าวมาบอกว่า “คุณหนู หมิงตูจวิ้นจู่มาเจ้าค่ะ”
นางมาได้อย่างไร
กู้เสี่ยวหวานมองไปที่โค่วตันด้วยความงุนงง รีบลุกขึ้นแล้วพูดว่า “ไปต้อนรับนางเร็ว”
พูดจบก็ตามโค่วตันไปข้างนอก
ถานอวี้ซูที่อยู่ข้าง ๆ ดูไม่พอใจเล็กน้อย คนคนนี้ไปที่ไหนที่นั่นคึกคักจริง ๆ
เห็นได้ชัดว่านางไม่ได้ส่งของขวัญมาแสดงความยินดีกับพี่สาว นางเลยไม่ได้ส่งคำเชิญไป แต่เจ้าตัวกลับมาเองช่างหน้าด้านจริง ๆ
ฟางเพ่ยหยาก็สับสนเล็กน้อยหลังจากมองหน้ากันกับถานอวี้ซู ก็เห็นความระแวดระวังในดวงตาของกันและกัน
ซูหมิ่นผู้นี้มาที่นี่โดยไม่ได้รับเชิญ เช่นเดียวกับพังพอนที่ส่งคำอวยพรปีใหม่ให้ไก่ นางไม่ได้มีเจตนาที่ดีอย่างแน่นอน
……….