ทะลุมิติไปเป็นสาวนาผู้ร่ำรวย - บทที่ 1676 มาเพื่อแสดงความยินดี
……….
บทที่ 1676 มาเพื่อแสดงความยินดี
ถานอวี้ซูกวาดสายตาไปรอบ ๆ เหล่าคุณหนูที่นั่งอยู่ด้านล่างต่างก็รู้ข่าวกันหมดแล้ว ว่าหมิงตูจวิ้นจู่นั้นมาที่นี่ บางคนบนใบหน้ามีรอยยิ้ม บางคนมีสีหน้าตกใจ หลังจากที่ทุกคนยืนขึ้น เหล่าคุณหนูที่มีสีหน้าท่าทีที่ตื่นตะหนกเหล่านั้นก็ซ่อนตัวอยู่ด้านหลัง ราวกับกลัวว่าจะถูกหมิงตูจวิ้นจู่มองเห็น
บรรดาคุณหนูเหล่านั้น ก็มีไม่น้อยที่ตอนไปร่วมงานเลี้ยงของหมิงตูจวิ้นจู่และงานเลี้ยงบทกวีของตะกูลซู เคยอยู่ฝ่ายหมิงตูจวิ้นจู่และเคยมาทำร้ายท่านพี่
คนเหล่านี้คงคิดไม่ถึงว่าวันนี้หมิงตูจวิ้นจู่จะมา จึงแสดงท่าทีตกใจเช่นนี้
ถานอวี้ซูมองด้วยสายตาที่นิ่งเรียบ คนเหล่านี้แน่นอนว่าต้องมาร่วมงานเลี้ยงอย่างเงียบ ๆ เพื่อไม่ให้หมิงตูจวิ้นจู่รู้ พวกนางคิดว่ายังไงหมิงตูจวิ้นจู่ก็ต้องไม่มาแน่ สามารถเอาอกเอาใจอีกคนหนึ่งได้ ไม่ว่ายังไงกู้เสี่ยวหวานก็เป็นคนที่ฮ่องเต้พระราชทานตำแหน่งอันผิงจวิ้นจู่ให้ด้วยตัวของพระองค์เอง ได้ยินว่าแม้แต่ไทเฮาเมื่อได้พบก็ยังชมไม่ขาดปาก ทั้งยังพระราชทานของรางวัลให้มากมาย
ดูดูแล้วในเมืองหลวงนี้ กู้เสี่ยวหวานเป็นคนที่โดดเด่นและเป็นคนที่ใคร ๆ ก็อยากจะเอาใจมากที่สุดในตอนนี้
ด้านหน้าประตูทางเข้าของสวนชิง มีรถม้าสีแดงทองที่ลากโดยม้าสีขาวราวกับหิมะสี่ตัวจอดอยู่ จากม้าไปจนถึงรถม้า เต็มไปด้วยความหรูหรา ที่ผ้าม่านของรถม้าปักด้วยลวดลายที่ซับซ้อนสีทองเข้ม มันยิ่งช่วยเพิ่มความสง่างามให้กับรถม้าที่หรูหราอยู่แล้ว
และบนรถม้ายังมีแผ่นไม้สีแดงทอง ที่ด้านบนสลักตัวอักษรคำว่า ‘หมิง’ ไว้อย่างเด่นชัด
ทั้งโลกนี้ เกรงว่าคงจะไม่มีใครแขวนป้ายที่มีตัวอักษรคำว่าหมิงไว้บนรถม้าเว้นเสียแต่ที่นี่ และคนที่นั่งอยู่บนรถม้านั้นคือซูหมิ่นหมิงตูจวิ้นจู่แห่งจวนหมิงอ๋อง
ตอนนี้ซูหมิ่นนั่งอยู่บนรถม้า และไม่มีความคิดที่จะลงจากรถม้าแม้แต่น้อย นางดื่มชาที่ซูเฉี่ยนเยว่เป็นคนส่งให้ด้วยท่าทางที่ไม่ทุกข์ร้อนใดใด
“จวิ้นจู่ กู้เสี่ยวหวานมาแล้ว” เสียงทุ้ม ๆ ของไฉ่เยว่ดังมาจากด้านนอก ซูหมิ่นพึมพำด้วยน้ำเสียงที่เย่อหยิ่ง และไม่มีท่าทีใดใดทั้งสิ้น ยังคงนั่งอยู่บนรถม้าที่หรูหรานั้นโดยไม่พูดอะไร ไฉ่เยว่เชิดหน้าสูงขึ้นใบหน้าที่ดูถูกดูแคลนนั้นจ้องมองไปที่กู้เสี่ยวหวาน
ตอนนี้กู้เสี่ยวหวานก็มีฐานะเป็นอันผิงจวิ้นจู่เทียบเท่ากับซูหมิ่น ว่ากันตามหลักแล้วถ้าซูหมิ่นผู้นั้นมาแสดงความยินดีที่กู้เสี่ยวหวานได้เลื่อนตำแหน่งเป็นจวิ้นจู่ ถึงแม้จะบอกว่ากู้เป็นเสี่ยวหวานเป็นเจ้าของงานก็ต้องเป็นคนออกไปต้อนรับนาง แต่ว่าเดิมทีก็ไม่มีกฎข้อไหนบอกไว้ว่ากู้เสี่ยวหวานต้องเป็นคนไปเชิญซูหมิ่นลงจากรถม้าก่อน
ถ้าหากซูหมิ่นผู้นั้นตั้งใจมาแสดงความยินดีจริง ๆ ละก็ ได้ยินเสียงรายงานของสาวรับใช้แล้ว ก็ต้องลงมาจากรถม้าสรุปแล้วก็คือคนสองคนมีฐานะเท่าเทียมกัน เมื่อมีคนมารับอีกคนก็ต้องไปโดยไม่มีข้อแม้
แต่ว่าซูหมิ่นกลับนั่งนิ่งอยู่บนรถม้า ไม่มีทีท่าว่าจะลงจากรถม้าแต่อย่างใด
กู้เสี่ยวหวานเป็นเจ้าของงาน มาต้อนรับที่หน้าประตู ก็ถือว่าเป็นการปฏิบัติตามมารยาทมากแล้ว
เมื่อเห็นว่าแม้แต่ผ้าม่านบนรถม้าก็ไม่ไหวติงซูหมิ่นไม่ลงมา คิ้วของกู้เสี่ยวหวานจึงขมวดขึ้นเล็กน้อย ถ้ารู้ว่าซูหมิ่นผู้นี้ไม่ได้ตั้งใจที่จะมาอวยพรนาง หญิงสาวก็คงต้องเริ่มแสดงอำนาจกับนางแล้ว
ฐานะของนางและซูหมิ่นตอนนี้เทียบเท่ากัน ถ้านางไม่ไปต้อนรับ ซูหมิ่นผู้นั้นจะมาพูดไม่ได้ว่านางละเลยแขก แม้แต่คำเชิญก็ไม่ได้รับด้วยซ้ำ ถ้าหากนางลงไปต้อนรับด้วยตัวเอง ซูหมิ่นผู้นี้จะต้องคิดว่าตนเองนั้นเหนือกว่านางและตัวนางก็ต้องถูกเหยียบย่ำแน่
กู้เสี่ยวหวานกำลังคิดอยู่ในใจว่าจะจัดการกับความเจ้าเล่ห์ของซูหมิ่นนั้นอย่างไร นางก็เห็นรถม้าอีกคันวิ่งเข้ามาที่สวนชิง และป้ายที่แขวนไว้บนรถม้านั้น มันเหมือนกับว่า
กู้เสี่ยวหวานนึกถึงใครบางคน จึงก้าวเท้าเดินลงไปด้านล่าง เมื่อไฉ่เยว่ผู้นั้นเห็นกู้เสี่ยวหวานขยับ จึงกระซิบเบา ๆ ด้วยความพอใจว่า จวิ้นจู่นางลงมาแล้ว
ซูเฉี่ยนเยว่ที่อยู่ข้าง ๆ รับถ้วยชาจากซูหมิ่นด้วยรอยยิ้ม และพูดอย่างเอาใจว่า “จวิ้นจู่ แม้ว่าตอนนี้ฐานะของนางจะเป็นจวิ้นจู่เหมือนกับท่าน แต่วันนี้ข้าน้อยต้องการให้นางก้มหัวให้ท่านแม้ว่าฐานะของนางกับท่านจะเท่าเทียมกัน ท่านเป็นถึงธิดาแห่งสวรรค์ แต่กับนางเป็นแค่ความโชคดี นกกระจอกที่บินขึ้นไปบนกิ่งก้านจะกลายเป็นหงส์ได้อย่างไร แค่ถอดเสื้อผ้าอาภรณ์ภายนอกออก นกกระจอกยังไงก็ยังคงเป็นนกกระจอกอยู่วันยังค่ำ”
“ฮึ” ใบหน้าของซูหมิ่นเต็มไปด้วยความดูถูกดูแคลน “นกกระจอกอะไรกัน ในสายตาของข้า แม้แต่นกกระจอกนางก็ไม่อาจเทียบ”
“ถึงแม้ฐานะของอันผิงจวิ้นจู่กับฐานะของข้าจะเท่ากันอย่างไร หญิงสาวบ้านนอกก็คือหญิงสาวบ้านนอก แม้แต่ฐานะของตัวเองยังแสดงออกมาไม่ได้”
ซูหมิ่นยิ้มอย่างพอใจ แต่เสียงต่อมาของไฉ่เยว่ ก็ทำให้สีหน้าของนางเปลี่ยนไปทันที “จวิ้นจู่ เหมือนว่า….”
เสียงของไฉ่เยว่ขาดห้วงไป หันไปมองและหันมาพูดอย่างรวดเร็วว่า” จวิ้นจู่ นั่นรถม้าขององค์หญิงลี่หัว”
พูดยังไม่ทันจบ ก็ได้ยินเสียงเรียกด้วยความสนิทสนมขององค์หญิงลี่หัวว่า “อันผิงจวิ้นจู่”
กู้เสี่ยวหวานส่งเทียบเชิญให้กับองค์หญิงลี่หัว แต่ว่านางตอบกลับมาว่าสองสามวันมานี้นางสวดมนต์อยู่กับไทเฮาที่ตำหนักจึงไม่สะดวกมาร่วมงาน เมื่อเห็นว่านางไม่สะดวก กู้เสี่ยวหวานจึงส่งของขวัญแสดงความขอบคุณจำนวนมากไปที่วัง
เดิมทีนางคิดว่าองค์หญิงลี่หัวนั้นมาร่วมงานไม่ได้ แต่วันนี้กลับมามันทำให้กู้เสี่ยวหวานรู้สึกแปลกใจไม่น้อย “ไม่ใช่ว่าสวดมนต์อยู่กับไทเฮาหรือเพคะ ทำไมวันนี้ถึงมีเวลาว่างได้”
“เดิมทีก็ต้องอีกสองวัน แต่ว่าข้าทูลบอกกับเสด็จแม่แล้ว นี่เป็นครั้งแรกที่เจ้าจัดงานเลี้ยงที่เมืองหลวง ถึงอย่างไรข้าก็ต้องมาแสดงความยินดีกับเจ้า นางให้ข้าออกมาก่อน ทั้งยังให้ข้านำของมาแสดงความยินดี” ใบหน้าขององค์หญิงเต็มไปด้วยรอยยิ้ม นางโบกมือขึ้น จึงเห็นนางกำนัลที่อยู่ด้านหลังและบนมือของนางกำนัลยังมีจานที่คลุมด้วยผ้า บนใบหน้าขององค์หญิงปรากฏรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความจริงใจ นั่นจึงทำให้กู้เสี่ยวเกิดความซาบซึ้งในเป็นอย่างมาก “ขอบพระทัยไทเฮา ของพระทัยองค์หญิง”
ทั้งสองพูดคุยกันเพียงไม่กี่คำ ซูหมิ่นก็ลงมาจากรถม้าด้วยความไม่พอใจเล็กน้อย ขณะที่ลงจากรถม้าใบหน้าที่ไม่พอใจนั้นจางหายไปทันที ที่ด้านหลังมีซูเฉี่ยนเยว่คอยติดตามอยู่ด้านหลังไม่ห่าง
ซูหมิ่นเข้ามาอย่างช้า ๆ ประคองตัวเองเข้ามาเบา ๆ เพื่อคารวะองค์หญิง ส่วนซูเฉี่ยนเยว่ที่อยู่ข้าง ๆ คุกเข่าลงไปกับพื้นอย่างจริงจัง “หม่อมฉันซูเฉี่ยนเยว่คารวะองค์หญิงลี่หัว”
องค์หญิงยิ้มบาง ๆ พร้อมพูดว่า “ไม่ต้องมากพิธี” จากนั้นมองไปที่ซูหมิ่นยิ้มพร้อมพูดว่า “ตอนที่เปิ่นกงมาก็คิดว่าเป็นใครกันเป็นหมิ่นเอ๋อร์นั้นเอง ข้ารออยู่นานไม่เห็นรถม้าเคลื่อนตัวไป ข้าจึงต้องลงรถม้าตรงนี้คงทำให้เดือดร้อนแล้ว”
องค์หญิงลี่หัวตอบด้วยเสียงเรียบ ๆ ทำให้สีหน้าของซูหมิ่นเปลี่ยนไปในทันที
อยู่ต่อหน้ากู้เสี่ยวหวานองค์หญิงกลับเรียกแทนตัวเองว่าข้า แต่เมื่ออยู่ต่อหน้านางกลับเรียกแทนตัวเองว่าเปิ่นกง
……….