ทะลุมิติไปเป็นสาวนาผู้ร่ำรวย - บทที่ 1678 ดูหมิ่นฮ่องเต้
บทที่ 1678 ดูหมิ่นฮ่องเต้
เมื่อพูดถึงตระกูลหลิน ก็สามารถพูดได้ว่าเป็นตระกูลบัณฑิตที่สืบทอดต่อกันมาหลายชั่วอายุคน หลินไห่เทียนอดีตนั้นก็เป็นรัฐบุรุษอาวุธโสถึงสองราชวงศ์ในอาณาจักรต้าชิง รัชสมัยก่อนของต้าชิง หลินไห่เทียนผู้นี้เคยอยู่ในราชสำนักบัณฑิตมาตลอด เริ่มจากตำแหน่งดูแลหนังสือเล็ก ๆ จากนั้นจึงกลายมาเป็นผู้ดูแลราชสำนักบัณฑิตมาโดยตลอด เป็นคนมีความซื่อตรง มีใจที่มุ่งมั่นในการรวบรวมหนังสือด้านประวัติศาสตร์ แม้จะมีตำแหน่งสูงแต่ไม่ฝักใฝ่ในอำนาจ แต่เพราะเป็นคนที่ละเอียดรอบคอบ อีกทั้งยังได้รับการยกย่องจากฮ่องเต้พระองค์ก่อนและองค์ปัจจุบัน ดังนั้นในเมืองหลวงนี้ชื่อเสียงไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไรสำหรับตระกูลหลิน
และหลินจิ้งหรูผู้นี้ก็เติบโตมาในตระกูลบัณฑิต ทุกอิริยาบถสง่างาม และจิตใจอันมีเมตตาของนาง ทั่วทั้งเมืองหลวงหญิงสาวจากตระกูลหลินนั้นถือว่าเป็นคนใจกว้างและสุภาพเรียบร้อย มีนิสัยสุขุมว่านอนสอนง่าย ถึงแม้จะไม่ได้ร่ำรวยมาก แต่เป็นตระกลูบัณฑิตที่มีชื่อเสียงและน่ายกย่อง
เห็นได้ชัดว่า คำชื่นชมหลินจิ้งหรูนั้นไปถึงเบื้องบนอย่างรวดเร็ว เมื่อมองไปที่หลินจิ้งหรู ไม่ว่าจะนั่งอยู่ที่ใด ท่วงท่ากิริยาล้วนดูสง่างาม จนทำให้ใครต่อใครไม่อาจละสายตาได้ ราวกลับว่ามองเท่าไรก็ไม่อาจเพียงพอ
คุณหนูตระกูลสูงส่งบางกลุ่มชำเลืองมองหลินจิ้งหรูเป็นระยะ ๆ เนื่องจากต้องการเรียนรู้อิริยาบถและคำพูดของเด็กสาว
เมื่อสายตาที่ดูแปลกใจของซูเฉี่ยนเยว่เลือนหายไปแทนที่ด้วยความอิจฉาริษยา
ในเมืองหลวงนี้มีเสียงลือเสียงเล่าอ้างว่า หญิงสาวที่ชายหนุ่มควรแต่งงานด้วยคือหลินจิ้งหรู และชายหนุ่มที่หญิงสาวควรแต่งงานด้วยคือหลินจิ้งเฉวียน ไม่ใช่เพราะตระกูลหลินนั้นร่ำรวยมีอำนาจ แต่เพราะตระกูลหลินเป็นตระกูลบัณฑิตที่สืบทอดกันมาหลายชั่วอายุคน ทั้งยังเป็นขุนนางที่ฮ่องเต้ทรงโปรดปราน แม้จะไม่ได้กุมอำนาจมากมายหากแต่กลับเต็มไปด้วยความสูงส่ง
สิ่งนี้สามารถเห็นได้ชัดเจนว่า ภายในอาณาจักรต้าชิง ตระกูลหลินนั้นเปรียบดั่งตำนานที่เล่าขานต่อกันมา
แม้แต่องค์หญิงลี่หัวก็ยังคลี่ยิ้มกว้างและพยักหน้าทักทายเมื่อได้พบหลินจิ้งหรู
หลินจิ้งหรูยิ้มตอบท่าทางงดงามเหมาะสม เรียกได้ว่าเป็นแบบอย่างของสตรีหลายคน
ซูหมิ่นที่เห็นเหตุการณ์นี้ ในใจก็ยิ่งเกิดความไม่พอใจ
ยากนักที่หลิงจิ้งหรูผู้นี้จะออกงานเข้าสังคมในแต่ละครั้ง คราก่อนที่จัดงานเลี้ยง นางจงใจทำให้กู้เสี่ยวหวานเกิดความอับอาย แต่อีกฝ่ายกลับไม่มา งานเลี้ยงบทกวีของตระกูลซูนางก็ไม่โผล่มาให้เห็นแม้แต่เงา แต่งานเลี้ยงขอบคุณในคราวนี้ที่จัดโดยกู้เสี่ยวหวาน นางกลับมาอย่างไม่ลังเล
สิ่งนี้ยังจะต้องพิสูจน์อะไรอีก?
สิ่งนี้ได้ถือเป็นการพิสูจน์แล้วว่า หลินจิ้งหรูผู้นี้ไม่เคยเห็นหมิงตูจวิ้นจู่ผู้นี้อยู่ในสายตา แต่กลับเอาอกเอาใจหญิงสาวบ้านนอกที่น่ารังเกียจผู้นั้น
ยิ่งซูหมิ่นคิดมากเท่าไรก็ยิ่งรู้สึกโกรธเคืองมากเท่านั้น เดิมทีความโกรธที่ส่งไปให้กู้เสี่ยวหวานนั้นก็มีมากพออยู่แล้ว แต่บัดนี้กลับทวีคูณขึ้นไปอีก
“คุณหนูทุกท่านมาถึงกันเร็วยิ่งนัก ถึงแม้ข้าจะออกจากบ้านมานานแล้ว แต่ก็เกิดความล่าช้าระหว่างทางเล็กน้อยจึงเพิ่งจะเดินทางมาถึง และทำให้ทุกท่านต้องรอ ข้าต้องขออภัยแขกทุก ๆ ท่าน ซูหมิ่นรีบพูดขึ้นมาอย่างรวดเร็ว จากนั้นจึงยกจอกสุราผลไม้ขึ้น พลางกล่าวเคล้ารอยยิ้ม “จอกนี้ถือเป็นคำขอโทษจากข้า”
ภายใต้สายตาที่เต็มไปด้วยความสงสัยของทุกคน ซูหหมิ่นยกสุราผลขึ้นดื่มภายในอึกเดียว จากนั้นจึงวางจอกสุราลง ยกผ้าเช็ดนหน้าเช็ดริมฝีปาก แล้วพูดกับกู้เสี่ยวหวานด้วยรอยยิ้ม “อีกคนที่ต้องรับโทษคืออันผิงจวิ้นจู่หรือเปล่านะ”
ลงโทษอันผิงจวิ้นจู่
ลงโทษเรื่องอะไรกัน
สายตาทุกคนมองเบือนไปยังใบหน้าของซูหมิ่นและกู้เสี่ยวหวาน ไม่รู้ว่าภายใต้ใบหน้าเปี่ยมรอยยิ้มของซูหมิ่นไม่รู้ว่าจริง ๆ แล้วนางซ่อนยาใดไว้หรือเปล่า “อันผิงจวิ้นจู่ ข้านั้นรู้แผนการของเจ้าเป็นอย่างดี ประการแรก ข้ามาหาท่านที่จวนที่ฮ่องเต้เป็นคนประทานให้ ที่นั้นระยะทางไกลจากที่นี่มากจึงทำให้ข้ามาร่วมงานสาย ประการที่สอง ระหว่างทางข้าเผลอหลับไปทำให้องค์หญิงต้องลงจากรถม้าทางประตูด้านข้าง เจ้าว่าเรื่องนี้สมควรถูกลงโทษหรือไม่
ถึงแม้ซูหมิ่นจะพูดด้วยรอยยิ้ม หากแต่รอยยิ้มนั้นส่งไปไม่ถึงดวงตา ภายใต้แววตานั้น กลับซ่อนปลายมีดแหลมคมไว้ พร้อมจะเล่นงานกู้เสี่ยวหวานตลอดเวลา
เป็นอีกครั้งที่คำพูดของนางทำให้เกิดพายุโหมกระหน่ำท่ามกลางบรรยากาศเงียบสงบ
ใช่แล้ว มีเหรอที่ทุกคนจะจำเรื่องนี้ไม่ได้ ตอนที่อันผิงจวิ้นจู่ผู้นี้ได้รับแต่งตั้งให้เป็นเสี้ยนจู่ นางได้รับพระราชทานจวนจากฮ่องเต้โดยเฉพาะ
จวนหลังนั้น เดิมทีก็ไม่ได้อยู่ใจกลางเมืองหลวง และอยู่ทางใต้ซึ่งห่างออกมาจากตัวเมืองหลวงเล็กน้อย
หากเดินทางด้วยรถม้า เกรงว่าคงต้องใช้เวลาราวครึ่งชั่วยาม ท่ามกลางเมืองที่เต็มไปด้วยคนพลุ่งพล่าน ทำให้รถม้าเคลื่อนที่ได้เชื่องช้า และยิ่งต้องใช้เวลาเดินทางนานมากขึ้น
คำพูดของซูหมิ่น กลับทำให้คนฟังจับประเด็นถึงเรื่องอื่นได้ กู้เสี่ยวหวานมีจวนของตัวเองอยู่ แล้วเหตุใดนางถึงได้ไม่อยู่ที่จวนหลังนั้น แต่กลับมาอยู่ที่สวนชิงใจกลางเมืองหลวงเช่นนี้
“เดิมทีข้านั้นมาถึงจวนของอันผิงจวิ้นจู่นานแล้ว แต่เมื่อให้สาวใช้เคาะประตูกลับไม่พบการเคลื่อนไว้ใด ๆ หลังจากสอบถามแล้วจึงทราบว่าจริง ๆ แล้วตอนนี้นางไม่ได้อยู่ที่จวนที่เสด็จพี่ฮ่องเต้ประทานให้ และมาเช่าจวนอยู่ที่อื่น พอตรวจสอบอย่างดีแล้วก็พบว่าสถานที่นั้นคือสวนชิงแห่งนี้ อันผิงจวิ้นจู่นั้นช่างชื่นชอบความหรูหรา แม้แต่จวนของตำแหน่งเสี้ยนจู่ลำดับที่สองก็ยังเทียบไม่ติด” คำพูดของซูหมิ่นทำให้ทุกคนต่างหันไปมองกู้เสี่ยวหวานที่มีสีหน้านิ่งเรียบเป็นสายตาเดียว
คำพูดของซูหมิ่นผู้นี้ ราวกับต้องการต่อว่ากู้เสี่ยวหวานย้ายบ้านแต่ไม่ยอมแจ้งให้ละเอียด ราวกับว่านางกำลังดูหมิ่นฮ่องเต้
และจะสื่อว่านางไม่เห็นจวนที่ฮ่องเต้ประทานให้อยู่ในสายตา ดังนั้นจึงมาเช่าเรือนหลังใหม่อยู่ด้านนอก
คำพูดของซูหมิ่น ทำให้ทุกคนหันมามองที่กู้เสี่ยวหวานด้วยความหวาดกลัวเล็กน้อย เมื่อคิดถึงตอนนี้เริ่มหายใจไม่ทั่วท้อง
การดูหมิ่นฮ่องเต้ถือเป็นโทษสถานหนัก คิดไม่ถึงว่าอันผิงจวิ้นจู่ผู้นี้จะใจกล้าขนาดนี้
ซูเฉี่ยนเยว่รีบพูดต่อว่า “อันผิงจวิ้นจู่ ท่านไม่ได้อยู่ในจวนที่ฮ่องเต้ประทานให้ แต่กลับไปเช่าอยู่ที่อื่นที่หรูหรากว่าใหญ่โตกว่า ท่านจงใจดูหมิ่นฮ่องเต้งั้นรึ”
ดูหมิ่นฮ่องเต้ ต้องรับโทษเก้าชั่วอายุคน
ดู ๆ แล้วสวนชิงนี้ทั้งใหญ่โตและหรูหรา อีกทั้งทำเลที่ตั้งยังเป็นที่ดินที่มีราคาสูงในเมืองหลวง กู้เสี่ยวหวานไม่ได้อยู่ที่จวนของตนเอง เพราะจริง ๆ แล้วนางมาเช่าเรือนอยู่ข้างนอก ทั้งยังใหญ่กว่าจวนของนาง นี่มันหมายความว่าอย่างไร
หมายความว่า จวนที่ฮ่องเต้ประทานให้ไม่เหมาะสมกับกู้เสี่ยวหวาน คงคิดว่าจวนที่ฮ่องเต้ทรงมอบให้ไม่ใหญ่โตโอ่อ่า
สถานการณ์ดูแย่ลง เมื่อทุกคนต่างพากันกระซิบกระซาบสนุกปาก คิดไปต่างๆ นานาว่ากู้เสี่ยวหวานนั้นจะทำอย่างไร
ซูหมิ่นยังไม่เปิดโอกาสให้กู้เสี่ยวหวานได้พูด นางหันไปทางองค์หญิงลี่หัวที่อยู่ด้านข้างแล้วพูดว่า “องค์หญิง กู้เสี่ยวหวานผู้นี้ดูหมิ่นฮ่องเต้ คนที่ดูหมิ่นฮ่องเต้คนที่ไม่รู้จักขนบธรรมเนียมเช่นนี้จะเป็นอันผิงจวิ้นจู่ได้อย่างไร เรื่องนี้ต้องการรายการให้เสด็จพี่ฮ่องเต้ทราบ และลงโทษนางเสีย”