ทะลุมิติไปเป็นสาวนาผู้ร่ำรวย - บทที่ 1684 เสียเงินสามแสนตำลึงเงิน
บทที่ 1684 เสียเงินสามแสนตำลึงเงิน
ในโลกนี้ มีเพียงจินอีเมี่ยนเท่านั้นที่มีความสามารถในการสลักชื่อของเขาลงบนดอกไม้ได้ ในเวลานี้ หากเขาไม่ดูอย่างละเอียดก็จะไม่เห็น
ตรงกลางดอกเป็นเกสรที่สวยงาม เกสรตรงกลางเรียงกันอย่างประณีต
เกสรตัวผู้มีขนาดเล็กมากมันจึงไม่ง่ายที่จะแกะสลักด้านในออกมาเพื่อให้เหมือนมีชีวิต นอกจากการแกะเกสรออกแล้วยังต้องเรียงให้เป็นรูปตัวอักษร ในโลกนี้มีเพียงแค่จินอีเมี่ยนเท่านั้นที่ทำได้
ได้ยินมาว่าปิ่นนี้ทำโดยจินอีเมี่ยน แต่ตอนนี้หลังจากยืนยันว่าเป็นของจินอีเมี่ยนจริง ๆ ใบหน้าของซูหมิ่นก็เปลี่ยนไปอย่างมาก
“โอ้สวรรค์ ปิ่นปักผมธรรมดาของจินอีเมี่ยน ในตอนนั้นดูเหมือนจะขายในราคาสองพันตำลึงเงิน” ทันใดนั้นคุณหนูคนหนึ่งก็พูดขึ้นด้วยความประหลาดใจ ซูหมิ่นหันศีรษะและมองคุณหนูที่พูดประโยคนั้นออกมาอย่างโหดเหี้ยม
เมื่อเห็นหมิงตูจวิ้นจู่จ้องมองนางอย่างโหดเหี้ยม คุณหนูคนนั้นก็คิดว่าตนเองพูดอะไรผิด นางจึงปิดปากด้วยความรู้สึกขนลุกขนชัน ก่อนจะเบียดเข้าไปในฝูงชนพยายามซ่อนตัว
แต่ทุกคนได้ยินและเข้าใจสิ่งที่นางพูด
แต่ถ้าเมื่อครู่นางไม่พูดมาก ทุกคนจะคิดว่าสิ่งของของจินอีเมี่ยนมีราคา แต่มันเป็นที่ต้องการน้อยกว่าตุ๊กตาของร้านหล่านเยว่
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมา หลังจากที่จินอีเมี่ยนเกษียณ เขาไม่เคยปรากฏตัวต่อหน้าผู้คนอีกเลย แต่ไม่รู้ว่ากู้เสี่ยวหวานไปได้ปิ่นปักของจินอีเมี่ยนจำนวนมากมาจากไหน
ปิ่นปักผมของกู้เสี่ยวหวาน ฉินเย่จือเป็นคนมอบให้
เมื่อนางบอกว่ากำลังจะจัดงานเลี้ยงขอบคุณ และเมื่อคิดว่าจะให้อะไรกับคุณหนูเหล่านี้ดี ฉินเย่จือก็มอบปิ่นปักผมให้นางมามากกว่ายี่สิบอัน
กู้เสี่ยวหวานเองก็เคยได้ยินเกี่ยวกับงานฝีมือของจินอีเมี่ยนคนนี้ เมื่อนางเห็นปิ่นปักผม นางจึงตกใจมาก นางจะมอบของมีค่าเช่นนี้ไปได้อย่างไร?
ฉินเย่จือส่ายหน้า “ในโลกนี้ หัวใจของผู้คนเป็นสิ่งที่คาดเดาไม่ได้มากที่สุด แต่บางครั้งหัวใจของผู้คนก็เป็นสิ่งที่ทดสอบได้ง่ายที่สุด ตราบใดที่คุณค่าที่เจ้ามอบให้ทำให้พวกเขารู้สึกว่าพวกเขาสามารถเปลี่ยนใจได้”
ฉินเย่จือต้องการซื้อใจให้กู้เสี่ยวหวานด้วยการมอบสิ่งเหล่านี้ให้
และหัวใจของผู้ที่ชนะด้วยเงินเป็นสิ่งที่ไม่น่าเชื่อถือที่สุด แต่บางครั้งก็สามารถใช้เป็นมีดได้
กู้เสี่ยวหวานมองไปที่ซูหมิ่นที่มีสีหน้าน่าเกลียดราวกับว่านางกินแมลงวันไปหลายร้อยตัว และผู้คนที่ติดตามนางก็หน้าซีดราวกับแผ่นกระดาษร่างกายของทุกคนสั่นเทาอย่างรุนแรง
เมื่อเห็นว่าซูหมิ่นไม่ตอบ องค์หญิงจึงพูดด้วยความโกรธ “ปิ่นปักผมนี้มีราคาเพียงสองพันตำลึงเงิน หมิ่นเอ๋อร์เพิ่งสัญญาว่าจะให้ปิ่นปักผมหนึ่งร้อยอันแก่ข้า หากเปลี่ยนเป็นเงินก็มีค่าเท่ากับเงินสองแสนตำลึงเงิน หมิ่นเอ๋อร์เจ้าเพิ่งสัญญาว่าจะให้สิ่งนี้แก่ข้า เจ้าคงไม่ได้โกหกหรอกใช่หรือไม่”
องค์หญิงนั้นโหดเหี้ยมมาก คราวนี้นางต้องได้เงินสามแสนตำลึงเงินจากซูหมิ่นไป
สามแสนตำลึงเท่ากับเงินภาษีครึ่งปีของท้องพระคลัง
ทุกคนหวาดกลัวจนไม่กล้าแม้แต่จะหายใจ พวกนางทั้งหมดมองดูหมิงตูจวิ้นจู่ที่มีสีหน้าน่าเกลียดมากด้วยความสยดสยอง เพราะกลัวว่าหมิงตูจวิ้นจู่จะระเบิดอารมณ์ออกมา
แม้ว่าหมิงตูจวิ้นจู่จะเย่อหยิ่ง แต่ตอนนี้นางโกรธมากจนอยากจะฆ่าใครสักคนเพื่อระบายความโกรธนี้ แต่นางก็เข้าใจว่านางไม่สามารถรุกรานคนตรงหน้านางได้
หากทำให้ขุ่นเคือง ความพยายามของท่านพ่อตลอดหลายปีที่ผ่านมาจะพังพินาศลงทันที
นางไม่สามารถทำร้ายคนตรงหน้านางได้
นางเป็นองค์หญิง ตัวเองเป็นจวิ้นจู่ สถานะของตัวนางเองยังต่ำกว่าอีกฝ่ายมาก
แค่รอวันที่สถานะของนางจะกลายเป็นผู้หญิงที่มีเกียรติที่สุด แล้วนางจะ…
ซูหมิ่นเลิกคิ้วเล็กน้อย การควักเงินสามแสนตำลึงเงินก็เหมือนกับควักเนื้อของนางออกมาทั้งเป็น
“จะเป็นอย่างนั้นไปได้อย่างไรองค์หญิง” ซูหมิ่นพยายามอย่างเต็มที่เพื่อระงับความโกรธที่ท่วมท้นในใจและพยายามฝืนยิ้ม “องค์หญิงรอก่อน พรุ่งนี้เงินจะถูกส่งไปที่วังหลวงอย่างแน่นอน”
หลังจากพูดจบ นางก็โค้งคำนับและขอตัว “องค์หญิง หมิ่นเอ๋อร์ต้องขอตัวแล้ว”
กลับกันเถอะ คนที่นี่ช่างขวางหูขวางตา นอกจากนี้ยังต้องกลับไปจัดการเรื่องเงิน เงินสามแสนตำลึงเงิน ในเวลาเล็กน้อยเช่นนี้นางอาจจะจัดการไม่สำเร็จ
“ไปเถอะ วันนี้สีหน้าของหมิ่นเอ๋อร์ไม่ค่อยดีนัก เมื่อกลับไปเจ้าควรพักผ่อนให้เพียงพอ” องค์หญิงกล่าวอย่างเป็นห่วง
น้ำเสียงมีความกังวล แต่ไม่มีความสงสารในดวงตาคู่นั้นแต่มันกลับมีความพอใจและความประหลาดใจอยู่ในนั้นแทน
ซูหมิ่นสะบัดตัวออกไป ร่างกายของนางตึงเหมือนคันธนูที่ดึงออกมาเต็มที่ ไม่รู้ว่าใครจะต้องมารองรับอารมณ์นี้
หลังจากเข้าไปในรถม้าแล้ว ซูหมิ่นเตะโต๊ะเตี้ยในรถม้าด้วยอารมณ์กรุ่นโกรธ น้ำชาที่เย็นแล้วกระเด็นไปทั่ว ถ้วยชาและกาต้มน้ำก็ถูกเตะจนกลิ้งไปทั่วพื้นที่ โชคดีที่มีพรมหนานุ่มสีแดงทองปูอยู่จึงไม่มีอะไรแตก
เมื่อเห็นสิ่งนี้ ไฉ่เยว่คุกเข่าลงเสียงดัง
และซูเฉี่ยนเยว่ก็ไม่กล้าพูดอะไรแม้แต่คำเดียว นางยืนอยู่ด้านข้าง ในมือบิดผ้าเช็ดหน้าและคิดว่าควรจะพูดอะไรกับซูหมิ่นสักคำ
“ลี่หัว กู้เสี่ยวหวาน เจ้าสองคนนั้นรวมหัวกันรังแกข้า” ทันใดนั้น ซูหมิ่นดูเหมือนจะเดาความสัมพันธ์ของทั้งสองได้และคำรามออกมาอย่างดุร้าย
ทันทีที่ซูเฉี่ยนเยว่ได้ยิน ดูเหมือนว่านางจะเดาได้ว่ากู้เสี่ยวหวานและองค์หญิงกำลังพยายามหลอกล่อหมิงตูจวิ้นจู่ให้หลงกล
ซูหมิ่นโกรธมาก นางหยิบถ้วยชาบนพื้นแล้วโยนออกไปข้างนอก เมื่อถ้วยชาชนกับกรอบประตู มันก็แตกออกและถ้วยชาที่แตกก็ตกใส่ศีรษะของไฉ่เยว่ เศษถ้วยชาบางส่วนบาดศีรษะของไฉ่เยว่จนมีเลือดมากมายไหลออกมา แต่นางกลับไม่กล้าที่จะเช็ดออก
นางคุกเข่าอยู่บนพื้นอย่างนิ่งเฉยไม่กล้าแม้แต่จะส่งเสียง
“พี่หมิ่น อย่าโกรธเลย ตอนนี้เราควรคิดถึงเงินสามแสนตำลึงเงินก่อน เราควรทำอย่างไรดี” เมื่อเห็นว่าในที่สุดนางก็รู้ว่าควรพูดอะไร ซูเฉี่ยนเยว่จึงรีบปลอบซูหมิ่นด้วยความลำบากใจ “พี่หมิ่น อย่าโกรธไปเลย ถ้าโกรธจนป่วยขึ้นมาจะทำอย่างไร”
……….