ทะลุมิติไปเป็นสาวนาผู้ร่ำรวย - บทที่ 1691 แต่งตั้งให้เป็นเก้าหมิง
บทที่ 1691 แต่งตั้งให้เป็นเก้าหมิง
“ไม่เป็นไร” กู้เสี่ยวหวานพูดด้วยความเป็นห่วง เจ้าอยากร้องก็ร้องออกมาเถอะ “ที่นี่พวกเราสองพี่น้องจะไม่ขัดขวางเจ้ากับเรื่องนี้”
ฟางเพ่ยหยาส่ายหน้า กัดฟันแน่นพยายามกลั้นน้ำตา จากนั้นกล่าวเคล้ารอยยิ้ม “ข้าไม่ร้อง ไม่มีเรื่องอะไรให้ข้าต้องร้องไห้ ข้ามีท่านแม่ มีท่านยาย และยังมีพี่น้องที่ดีแบบพวกท่าน ข้าไม่ร้อง”
หลังจากฟางเพ่ยหยาใช้ผ้าเช็ดหน้าเช็ดหน้าของตัวเองแล้ว นางยังคงเป็นหญิงสาวที่งดงามและอ่อนโยนคนนั้น และเอ่ยเสียงแผ่วเบา “อวี้ซู ท่านพี่ ขอบคุณพวกท่านมากที่บอกเรื่องข่าวนี้กับข้า ข้าคิดดีแล้ว แทนที่จะอยู่อย่างทนทุกข์อย่างทุกวันนี้ ชีวิตท่านช่างดีนักแต่ชีวิตข้านั้นช่างทุกข์ตรม ออกมาสู้เหมือนอย่างที่ท่านว่าไม่ดีกว่าหรือ”
ถึงแม้ตอนพูดสีหน้าของนางจะไม่ดีนัก ทว่า…ต่อไปนี้จะมีชีวิตที่ดีหรือไม่ แต่ก็ไม่ใช่ว่ามีแค่ข้ากับแม่ข้าใช่ไหมที่รู้สถานะของลูกสาวของใต้เท้าฟาง ใครอยากได้ก็เอาไปเถอะ ข้าไม่อยากได้แล้ว ต่อให้ไม่มีฐานะที่สูงส่ง รัก และแต่งงานกับผู้ชายธรรมดาๆ นั่นก็ถือเป็นความสุขในชีวิตดีกว่าต้องถูกขังอยู่ในกรงทองอย่างจวนตระกูลฟาง เป็นคนที่เปิดเผยนั้นดีกว่าเยอะ”
สิ่งที่ฟางเพ่ยหยาพูดออกมา ทำให้กู้เสี่ยวหวานรู้ว่านางคิดไตร่ตรองมาดีแล้ว
แม้จะไม่รู้ว่าฮูหยินฟางจะคิดอย่างไร แต่ฟางเพ่ยหยาคิดดีแล้ว แค่ก็เพียงพอที่จะเกลี้ยกล่อมฮูหยินฟางได้ แม้อยู่ในกรงทองจะสุขสบาย แต่กลับไม่มีอิสระ ไม่มีความรัก ที่แบบนั้น ไม่มีค่าอะไรที่ต้องรู้สึกอาลัยอาวรณ์
“ถ้าเจ้าคิดดีแล้วก็ดี บนโลกใบนี้ ต่อให้อีกคนจากไปอีกคนก็ต้องอยู่ให้ได้ การไม่พบเจอเรื่องทุกข์ใจ ชีวิตต้องดีขึ้นกว่าเดิมแน่นอน” กู้เสี่ยวหวานมองฟางเพ่ยหยาที่บอกว่าตนนั้นคิดดีแล้ว ใจที่หนักอึ้งราวกับมีก้อนหินมากดทับนั้นก็วางใจลง
รถม้าของฟางเพ่ยหยาวิ่งออกไป ระหว่างทางนางไม่พูดอะไรเลยแม้แต่คำเดียว
นางเอาแต่นั่งนิ่งเงียบอยู่บนรถม้า หลังจากนั้นค่อย ๆ หลับตาลง ไม่มีใครรู้ว่าภายในใจคิดอะไรอยู่ เมื่อเห็นว่านางไม่พูดอะไรเลยสักคำ คนที่อยู่ข้าง ๆ ก็ไม่กล้าแม้จะเอ่ยปากพูด
เมื่อกลับมาถึงจวนหลู เป็นครั้งแรกที่ฟางเพ่ยหยาไม่ได้เข้าไปหามารดา แต่กลับให้สาวใช้ไปหามารดาแทน ส่วนตัวนางนั้นตรงเข้าไปที่ลานของผู้เป็นยาย วันนี้นางมีเรื่องที่ต้องปรึกษากับนาง จะรอช้าแม้แต่นิดเดียวก็ไม่ได้
นางต้องการจะบอกเรื่องที่นางคุยกับกู้เสี่ยวหวานและถานอวี้ซู เกี่ยวกับเรื่องที่ฟางเจิ้งสิงแต่งตั้งให้หวงหรูซื่อเป็นเก้าหมิงฟูเหริน
ฟางเจิ้งสิงเลือกแล้วจริง ๆ นั้นเป็นการพิสูจน์แล้วว่าในใจเขาไม่มีหลูเหวินซินอีกต่อไป ดีที่ท่านแม่ของนางยังสามารถยืน นั่ง ทานอาหารและพูดคุยได้ สุขภาพร่างกายถือว่าดีกว่าแต่ก่อนมาก
แต่เรื่องทั้งหมดนี้ ฟางเจิ้งสิงไม่รู้และเขาก็คงไม่อยากรับรู้
หรือว่า ในใจเขาคงทนรอให้หลูเหวินซินตายเร็ว ๆ ไม่ไหวแล้ว
คิดมาถึงตอนนี้ ฟางเพ่ยหยาก็ยิ่งก้าวเท้าเร็วขึ้น คิ้วสวยขมวดมุ่นรอที่จะบอกเรื่องนี้กับท่านยายไม่ไหวแล้ว และต้องการให้นางตัดสินใจ
อย่างที่คิดหลังจากที่ฮูหยินหลูได้ฟังเรื่องที่ฟางเพ่ยหยาพูดแล้ว ฮูหยินหลูก็เขวี้ยงถ้วยชามในมือลงพื้นอย่างเดือดดาล พลางกัดฟันพูดเสียงดัง “เจ้าคนอัปยศไร้เหตุผล ลูกข้ายังไม่ตาย เจ้าก็คิดจะแต่งภรรยาใหม่และแต่งตั้งให้เป็นถึงเก้าหมิงฟูเหริน ถ้าพูดเช่นนี้ก็อยากจะหัวเราะเยาะตระกูลฟางให้ฟันร่วง
ฮูหยินลู่โกรธจนหายใจไม่ออก เริ่มวิงเวียนศีรษะ ครั้นฟางเพ่ยหยาเห็นดังนั้นจึงรีบตะโกนขึ้น “ท่านยาย”
“ท่านแม่” ซ่งจวินหัวและเนี่ยอวี่เห็น จึงรีบรุดขึ้นหน้าด้วยความเป็นห่วง “ท่านแม่ ท่านไม่เป็นไรใช่หรือไม่”
ฮูหยินลูโบกมือส่งสัญญาณว่าข้าไม่เป็นไร ดังนั้นพวกนางจึงโล่งใจขึ้นมา “ข้าไม่เป็นไร”
“ท่านยาย ท่านใจเย็นก่อนเถอะเจ้าค่ะ อย่าโมโหไปเลย ถ้ารู้ว่าท่านจะโกรธขนาดนี้ ข้าคงไม่นำเรื่องนี้มาปรึกษาท่าน ถ้าท่านโมโหจนทำให้สุขภาพร่างกายแย่ลง ข้าต้องโกรธเกลียดตัวเองไปจนตายแน่ ๆ เมื่อฟางเพ่ยหยาเห็นว่าท่านยายไม่เป็นอะไร นางจึงโผเข้าไปกอดฮูหยินหลูแล้วร้องไห้ออกมาอย่างทุกข์ใจ
นางเกือบเสียท่านแม่ไป ดังนั้นนางไม่สามารถปล่อยให้ใครเป็นอะไรไปได้อีกแล้ว
“ข้าไม่เป็นไร ร่างกายข้าดีขึ้นมาก ไม่มีทางเป็นอะไรแน่นนอน เมื่อครู่พ่อเจ้าทำให้ข้าโมโห ถึงอย่างไรเขาก็เป็นถึงขุนนางระดับสูง ทำไมถึงทำเรื่องที่น่าขายหน้าเช่นนี้ได้” ฮูหยินหลูตวาดเสียงดัง และกอดฟางเพ่ยหยาไว้ในอ้อมกอด นางรู้ว่าตอนนี้เด็กน้อยคนนี้รู้สึกเสียใจมาก มิเช่นนั้นแม้แต่ท่านแม่ของตัวเองก็ไม่ได้เข้าไปพบ แต่กลับตรงมาหานางที่นี่
“ท่านแม่ ข้าคิดว่าเรื่องนี้คงไม่ง่ายอย่างที่คิด แม้ฟางเจิ้งสิงจะแต่งตั้งให้หวงหรูซื่อเป็นเก้าหมิงฟูเหริน อย่างกับว่าจะรักษาหน้าให้ตระกูลหวง ซ่งจวินฮัวพูดขึ้นหลังจากที่คิด
“รักษาหน้าให้ตระกูลหวง…” เมื่อหลูฮูหยินได้ฟังก็พ่นลมหายใจเย็นชา “ตระกูลหวงช่างหน้าใหญ่จริง ๆ ลูกสาวของขุนนางใหญ่แต่งงานกับขุนนางใหญ่ต่อจากภรรยาเอก อีกทั้งตระกูลเขากับตระกูลหวงยังมีลูกสาวที่อายุไล่เลี่ยกัน ตระกูลหวงของตัวเองยังเหลือหน้าอะไรไว้ให้ต้องรักษาอีก”
“ท่านแม่ เมื่อสามปีก่อน ตอนที่ฮ่องเต้เริ่มเติบโตขึ้น เป็นเวลาเดียวกันกับการคัดเลือกสนม ในเมืองหลวงนี้ต่างพากันคิดว่าฮ่องเต้นั้นจะยอมรับนางสนม แต่ใครจะรู้ว่าไทเฮาจะออกราชโองการ ประกาศออกมาให้โลกรู้ว่าฮ่องเต้มีจิตเพียงจะมุ่งมั่นตั้งใจจะปกครองบ้านเมือง ข้างกายจะมีฮองเฮาเพียงหนึ่งเดียวและกุ้ยเฟยเพียงสองคนเท่านั้น เดิมทีการคัดเลือกสนมในรอบสามปีนั้นได้ถูกยกเลิกอย่างน่าตกใจ และตอนนั้นหวงหรูซื่อผู้นี้ นางอายุครบสิบหกปีพอดี ซึ่งอายุมากกว่าฮ่องเต้สามปี ถ้าสามารถเข้าร่วมการคัดเลือกได้ ปีนั้นจะเป็นปีที่ดีที่สุด แต่ใครจะไปรู้ความล่าช้าเช่นนี้ สามปีผ่านไป หวงหรูซื่อผู้นั้นตอนนี้ก็อายุสิบเก้าปีแล้ว ถ้าหากเป็นครอบครัวธรรมดาทั่ว ๆ ไป หวงหรูซื่อนั้นก็ถือว่าแก่แล้ว ได้ยินมาว่าปีนี้น้องสาวของนางก็อายุสิบหกปีพอดี ก็ถึงเวลาที่จะต้องแต่งงานแล้ว” นับว่าได้ซ่งจวินหัวนั้นเข้าใจเรื่องที่เกิดขึ้นในเมืองหลวงนี้ทั้งหมด ที่สำคัญคือเมื่อสามปีก่อนการคัดเลือกนางสนมที่ควรจะจัดขึ้น กลับถูกยกเลิกอย่างกะทันหัน ทำให้หลายคนรู้สึกผิดหวังไม่น้อย
เมื่อเห็นว่าการคัดเลือกนางสนมไม่เกิดขึ้น ตระกูลขุนนางบางตระกูลเมื่อเห็นว่าลูกสาวตัวเองถึงเวลาที่เหมาะสมไม่นานก็ให้หมั้นหมายและตกแต่งออกไป ยกเว้นก็แต่ตระกูลหวง
ตอนนั้น หวงหรูซื่ออายุสิบหกปีแล้ว แต่ก็ไม่ได้หมั้นหมาย แม้ตระกูลหวงจะถูกคนดูถูกเหยียบย่ำ แต่หวงเจี่ยนก็ไม่ตอบรับแต่อย่างใด
ตอนนั้น ใครใครก็ต่างพูดกันว่าตระกูลหวงทำเช่นนี้อาจทำให้ตระกูลเสื่อมเสียชื่อเสียง มีลูกสาวที่อายุครบสิบหกปีแล้ว ทำไมถึงยังไม่แต่งงานออกเรือน ทุกคนต่างไม่เข้าใจกับการกระทำเช่นนี้ของตระกูลหรู กระทั่งมีคนคิดว่า ตระกูลหวงนั้นจะรอให้ไทเฮายกเลิกราชโองการที่ออกมาเรื่องการยกเลิกการคัดเลือกนางสนม
แต่ราชโองการได้ออกมาแล้ว จะยกเลิกได้อย่างไร
หวงเจี่ยนยังคงรอ รอจนถึงสามปี …