ทะลุมิติไปเป็นสาวนาผู้ร่ำรวย - บทที่ 1694 กุ้ยเฟยที่โปรดปราน
บทที่ 1694 กุ้ยเฟยที่โปรดปราน
……….
บทที่ 1694 กุ้ยเฟยที่โปรดปราน
“ในเมื่อเขาหมดความรู้สึกแล้ว ก็อย่าโทษที่ข้าไม่ยุติธรรม เขาจะแต่งภรรยาไม่ใช่หรือ
เช่นนั้นข้าก็จะทำให้เขาสมหวัง” หลูเหวินซินพูดด้วยสีหน้าเย็นชาราวกับธารน้ำแข็ง
ตอนนี้ฉินเย่จือกำลังเล่นหมากรุกกับซูเทียนซื่ออยู่ภายในตำหนัก แต่เพิ่งเล่นไปหนึ่งรอบก็เห็นซูเทียนซื่ออ้าปากหาวอย่างไม่น่ามอง ฉินเย่จือเงยหน้าขึ้นมองก็เห็นสีหน้าซูเทียนซื่ออ่อนเพลียเล็กน้อยใต้ตามีรอยคล้ำ ดูเหมือนจะเป็นเพราะในช่วงสองสามวันที่ผ่านมาคงไม่ได้พักผ่อนเพียงพอ
เมื่อฉินเย่จือเห็นเช่นนี้ก็ทิ้งหมากดำในมือและพูดขึ้น “ฝ่าบาทจะไปพักผ่อนก่อนหรือไม่”
“ไม่เป็นไรคืนนี้ก็เดินหมากกับข้าเถอะ” ซูเทียนซื่อหาวอีกครั้ง และพูดโดยทิ้งตัวหมากสีขาวในมืออีกครั้ง
ทักษะการเล่นหมากของฉินเย่จือยอดเยี่ยมมากแต่เนื่องจากซูเทียนซื่อง่วงงุน ไม่นานก็แพ้ลงในเวลาสั้น ๆ ซูเทียนซื่อโยนตัวหมากสีขาวลงกล่อง “วันนี้ข้าเหนื่อยแล้ว เพื่อเป็นการตอบแทน วันนี้ก็พอแค่นี้ก่อน เชิญเถอะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์”
ฉินเย่จือตอบรับและวางหมากสีดำในมือลงกล่อง จากนั้นก็ยืนขึ้นทำความเคารพและเดินตามขันทีฉีออกไป
ขันทีฉีเดินนำฉินเย่จือไปขณะกำลังจะหันตัวก็ได้ยินเสียงแหลมสูงของนางกำนัลคนหนึ่งดังออกมา “ฝ่าบาท นางกำนัลของโหยวกุ้ยเฟยขอเข้าเฝ้า”
ฉินเย่จือได้ยินก็ไม่รู้ว่าทำไมขาที่ก้าวเดินอยู่ก็ช้าขึ้นเรื่อย ๆ และได้ยินนางกำนัลคนหนึ่งพูดว่า
“ฝ่าบาท กุ้ยเฟยได้จัดเตรียมเหล้าและอาหารชั้นดีไว้ เชิญฝ่าบาทไปชิมเหล้าอาหารชั้นดีด้วยกันเพคะ”
ซูเทียนซื่อได้ยินก็ตอบตกลงทันที “ข้าก็มีความตั้งใจเช่นนี้พอดี กุ้ยเฟยอยากพบ ข้าจะไม่ไปก็ไม่ได้ทหารเคลื่อนขบวน”
ทักษะการได้ยินของฉินเย่จือนั้นดีเยี่ยมแม้ว่าจะเดินตามขันทีฉีออกจากประตูวัง แต่เสียงหัวเราะนั้นก็ยังคงได้ยินอย่างชัดเจน
ดังนั้นฉินเย่จือจึงไม่ได้จากไปและหยุดลงอยู่หน้าประตูตำหนักสักพักก็เห็นทหารรักษาพระองค์ยืนอยู่หน้าประตูวัง หลังจากที่ซูเทียนซื่อมอบหมายทหารเสร็จก็ตรงไปที่ตำหนักของโหยวกุ้ยเฟย
ฝ่าบาทเป็นคนมีวินัยในตนเองหากเหนื่อยแล้วจะไปนอนพักผ่อนด้วยตนเองโดยไม่ต้องให้คนบอก เหตุใดครั้งนี้แม้เหนื่อยจนตาแทบจะปิด แต่ยังไปที่ตำหนักกุ้ยเฟยอีก
ฉินเย่จือมองขันทีฉีที่อยู่ข้าง ๆ และถามอย่างเย็นชา “ช่วงนี้ฝ่าบาททรงยุ่งกับงานราชการมากเกินไปหรือไม่ ในฐานะที่เจ้าเป็นคนปรนนิบัติใกล้ชิดฝ่าบาท เหตุใดไม่ใส่ใจเรื่องการพักผ่อนของฝ่าบาทมากกว่านี้ หากฝ่าบาทเป็นอันใดขึ้นมา เจ้ารับผิดชอบเรื่องนี้ไหวหรือ”
ขันทีฉีได้ยินเสียงเย็นชาที่น่าเกรงขาม ก็รู้สึกสั่นสะท้านไปทั่วทั้งร่างกาย จากนั้นรีบก้มศีรษะและตอบอย่างหวาดกลัว “ทูลท่านอ๋อง ฝ่าบาทบรรทมอยู่ในตำหนักของโหยวกุ้ยเฟยติดกันเป็นเวลาเจ็ดแปดวันแล้ว”
เป็นเวลาเจ็ดแปดวันแล้ว
ฉินเย่จือขมวดคิ้ว
เนื่องจากปีนี้ซูเทียนซื่ออายุเพียงสิบหกปี หลังจากที่ถูกไทเฮายกเลิกการคัดนางสนมเมื่อสามปีก่อน ในวังก็เหลือเพียงฮองเฮา โหยวกุ้ยเฟยและวังกุ้ยเฟย แต่ไหนแต่ไรมาฝ่าบาทก็แบ่งปันความโปรดปรานมาโดยตลอดแล้วเหตุใดถึงไปตำหนักโหยวกุ้ยเฟยติดต่อกันหลายวันเช่นนี้
“เรื่องใหญ่เช่นนี้เจ้าเคยไปรายงานให้ไทเฮาทราบหรือไม่” ฉินเย่จือได้ยิน น้ำเสียงก็ยิ่งเย็นชาขึ้นศีรษะขันทีฉีแทบตกลงมาอยู่หว่างขาแล้ว “ฝ่าบาทสั่งไว้เรื่องนี้ห้ามไปรายงานไทเฮาเด็ดขาด ดังนั้นข้าจึง…”
“หึ ในวังมีคนมากมาย เจ้าไม่พูดก็ต้องมีคนพูด ฝ่าบาทบรรทมอยู่ที่ตำหนักโหยวกุ้ยเฟยคนเดียวติดกันมาเป็นหลายวัน เจ้าไม่รู้สึกว่ามันแปลกหรือ หรือจะรอให้ไทเฮาทราบ แล้วมานำตัวเจ้าไปลงโทษ?” ฉินเย่จือจ้องขันทีฉีและพูดเสียงเย็น
เมื่อขันทีฉีได้ยิน ขาของเขาก็สั่นเทาและคุกเข่าลงพื้น “ท่านอ๋องโปรดบอกให้ชัดเจน”
“เจ้าอยู่ข้างกายฝ่าบาทมาหลายสิบปีแล้ว ฝ่าบาทมีนิสัยเช่นไรเจ้าก็รู้ชัดเจนดี แต่ไหนแต่ไรมาฝ่าบาทไม่เคยเคลิบเคลิ้มหลงใหลในความงามของสตรี ตอนนี้เรื่องเกี่ยวข้องกับพระวรกายฝ่าบาท เจ้าคงจัดการได้อย่างเรียบร้อย” ฉินเย่จือเหลือบมองขันทีฉีอีกครั้ง และหันเดินไปที่บันได เสื้อคลุมที่ถูกปักด้วยลายมังกรสีเงินถูกโยนเหวี่ยงปลิวไสวท่ามกลางสายลม เมื่อขันทีฉีเห็นมุมนั้นก็ตกใจขึ้นมาทันที
จู่ ๆ เขาก็นึกบางอย่างขึ้นมาและรู้สึกเย็นวาบไปทั่วแผ่นหลัง ราวกับว่างูเย็นกำลังเลื้อยผ่านหลังเขาอย่างช้า ๆ ทำให้เขาสั่นสะท้านไปทั้งตัว
ลึก ๆ แววตาของเขามีความหวาดกลัวอยู่ไม่น้อย เขารีบเงยหน้าขึ้นมองด้านหลังของผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ จากนั้นโค้งคำนับสามครั้งก็ลุกขึ้นทันที และวิ่งไปทางอื่น
ตอนกลางคืน ในพระราชวังขนาดใหญ่และกำแพงวังทุกที่จะเต็มไปด้วยโคมไฟสีแดงสดที่ส่องสว่างไสวไปทั่ววัง แต่โคมไฟที่ส่องสว่างไสวนั้นก็ไม่สามารถส่องความมืดมิดและความสกปรกในวังหลังนี้ได้ทั้งหมด
เกิดเรื่องผิดปกติเช่นนี้ จะต้องมีปีศาจแน่
โหยวกุ้ยเฟยผู้นี้ จะอยู่ไม่สงบสุขอีกต่อไป
ฉินเย่จือกลับมาถึงจวน และหลังจากอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จ ตอนนี้กำลังนั่งทบทวนเอกสารอยู่หน้าโต๊ะ
ทันใดนั้นเองก็มีข่าวหนึ่งส่งมาจากวังหลวง ทำให้เขากำพู่กันในมือแน่นจนแทบหัก
ข่าวด่วนที่มาจากวังหลวงคือ ฝ่าบาทหมดสติไปจนถึงตอนนี้ก็ยังไม่ฟื้น
ฉินเย่จือได้ยินก็ไม่สนใจการเปลี่ยนเสื้อผ้า และรีบตามขันทีฉีเข้าไปในวัง
เรื่องที่เกิดขึ้นถูกปิดบังไว้ คนที่มาตามเขาคือขันทีฉีคนข้างกายของซูเทียนซื่อ
เมื่อขันทีฉีรู้ความจริงกับเรื่องที่เกิดขึ้น ดังนั้นจึงเล่าเรื่องราวทั้งหมดและกัดฟันพูด “ท่านอ๋อง ข้าคิดไม่ถึงว่าโหยวกุ้ยเฟยผู้นั้นจะวางยาที่รุนแรงเช่นนี้กับฝ่าบาท ช่วงนี้พระวรกายฝ่าบาทก็ไม่ค่อยแข็งแรง คิดไม่ถึงว่าโหยวกุ้ยเฟยจะกล้าวางยาฝ่าบาทอีก ฝ่าบาทสุขภาพอ่อนแรงพอถึงเตียงก็หมดสติไปแล้ว”
“ตอนนี้ทำอย่างไรดีถึงจะฟื้น” ฉินเย่จือได้ยินก็ขมวดคิ้ว ดูเหมือนโหยวกุ้ยเฟยผู้นี้รนหาที่ตายแล้วจริง ๆ
“ไม่อาจทราบได้ ไทเฮาแทบจะเสียสติไป ขณะนี้ทุกคนในตำหนักโหยวกุ้ยเฟยถูกโบยสามสิบที ตอนนี้ตำหนักกุ้ยเฟยเลือดไหลนองเป็นแม่น้ำ และกุ้ยเฟยก็ถูกคุมขังไปแล้ว”
ขันทีฉีรู้สึกหวาดหวั่นอยู่ในใจ แต่ก็ยังรู้สึกว่าตนเองนั้นพ้นเคราะห์แล้ว ในใจยิ่งรู้สึกเคารพรักและเลื่อมใสท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ที่คอยเตือนเขา
หลังจากผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์เตือนเขาแล้ว ขันทีฉีก็รีบไปที่ตำหนักไทเฮาและรายงานเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นกับฝ่าบาทให้ไทเฮาทราบทันที
……….