ทะลุมิติไปเป็นสาวนาผู้ร่ำรวย - บทที่ 1696 ตระกูลโหยวอยู่ไม่ได้แล้ว
บทที่ 1696 ตระกูลโหยวอยู่ไม่ได้แล้ว
ทันทีที่ไทเฮาเหนียงเหนียงฟังจบ พลันนึกถึงสาเหตุของเรื่องทั้งหมดขึ้น หลังจากนั้นครู่หนึ่ง เสียงกรีดร้องอย่างบ้าคลั่งของไทเฮาก็ดังออกมาจากในห้อง “เฆี่ยนบ่าวไพร่ตำต้อยพวกนี้ให้ตาย และเฆี่ยนโหยวเหอสามสิบที จากนั้นส่งไปที่ฝ่ายลงทัณฑ์”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ โหยวเหอก็ฟื้นขึ้นมาเบา ๆ และเป็นลมไปอีกครั้งพร้อมเสียงกรีดร้อง
หลังจากนั้นตามมาด้วยเสียงร้องไห้ระงมดังขึ้นทั่วสารทิศ ทุกคนในตำหนักโหยวกุ้ยเฟยราวตกนรกทั้งเป็น ไม่นานนักก็มีเลือดไหลนองเหมือนแม่น้ำในชั่วพริบตา
เมื่อฉินเย่จือมาถึงวังหลวงก็เห็นทุกคนในตำหนักกุ้ยเฟยถูกจัดการเก็บกวาดเรียบร้อยหมดแล้ว
ฉินเย่จืออยู่นอกตำหนัก ขันทีฉีที่เข้าไปก่อนก็เห็นไทเฮานั่งอยู่ตรงนั้น เฝ้ามองดูฝ่าบาทที่หมดสติไม่ฟื้นอย่างกังวลและทุกข์ใจ
วังกุ้ยเฟยร้องห่มร้องไห้ตลอดเวลาและตอนนี้ก็กำลังเช็ดน้ำตาอย่างเงียบ ๆ
เมื่อเห็นขันทีฉีกลับมา ไทเฮาก็พูดขึ้น “ฮองเฮาพวกท่านกลับไปก่อนเถอะ ตรงนี้ข้าจะคอยดูแลเอง”
ฮองเฮาได้ยินก็รีบพูดขึ้น “เสด็จแม่ ท่านกลับไปพักผ่อนก่อนเถอะ ตรงนี้มีข้ากับวังกุ้ยเฟยก็เพียงพอแล้ว”
“ไม่ต้อง ข้าให้พวกเจ้ากลับไป พวกเจ้าก็กลับไป ร้องห่มร้องไห้อยู่ตรงนี้รบกวนเวลาพักผ่อนของฝ่าบาท” ไทเฮาจ้องมองวังกุ้ยเฟยด้วยสายตาและสีหน้าที่ไม่ชอบใจและพูดขึ้นอย่างไม่พอใจ
ฮองเฮาได้ยินดังนั้นก็ทำอะไรไม่ได้ ทำได้เพียงโค้งตัวกล่าวลาและพาวังกุ้ยเฟยจากไป
เมื่อพวกเขาไปแล้ว ไทเฮาจึงเอ่ยปากพูดขึ้น “ให้เย่จือเข้ามาเถอะ”
จากนั้นไม่นานฉินเย่จือก็เข้ามาและคำนับ “ถวายบังคมฮองไทเฮา”
ไทเฮายกมือให้เขาทำตัวตามสบายและพูดว่า “เย่จือ โหยวเหอวางยาฝ่าบาท
ช่างใจกล้าจริง ๆ”
ตระกูลโหยวคงไม่อยากมีชีวิตต่อไปแล้วจริง ๆ
เหตุการณ์ฆาตกรรมพึ่งจะสิ้นสุดได้ไม่นานก็ทำให้เกิดความโกลาหลมากมาย คิดไม่ถึงว่าสุดท้ายแล้วตระกูลโหยวกลับเรียกตนเองว่าโจร
“ไทเฮาเหนียงเหนียง ตอนนี้ตระกูลโหยวมีกุ้ยเฟย อีกทั้งโหยวไท่ซือก็ยังเป็นขุนนางระดับสูง ตอนนี้ฝ่าบาทมีเพียงฮองเฮาและกุ้ยเฟยสองคน ไม่มีรัชทายาทจึงอยากใช้โอกาสนี้ตั้งครรภ์สายเลือดมังกรก่อนจะถูกเลือกครั้งใหญ่” ฉินเย่จือขมวดคิ้วพูดขึ้น
ไทเฮาได้ยินเช่นนี้ก็กระแทกถ้วยชาลงบนโต๊ะอย่างแรง “ข้าก็คิดเช่นนี้ โหยวเหอผู้นี้ อยากให้กำเนิดสายเลือดมังกรมากเพียงนี้เพื่อแทนที่ฮองเอาหรือไร สนมโหยวผู้นี้เป็นบ้าไปแล้วหรือ หรือนางอยากเป็นประมุขของแคว้น”
ในปีนั้นตอนที่โหยวเหอเข้าวัง ฝ่าบาทไม่เคยคิดมาก่อน จนกระทั่งโหยวไท่ซือเอ่ยปากด้วยตนเอง ในปีนั้นรากฐานของฝ่าบาทไม่มั่นคง แน่นอนว่าต้องการความเคารพรัก และการสนับสนุนจากขุนนาง ฝ่าบาทไม่มีทางเลือกอื่นจึงได้ตอบตกลงไป
ความมั่งคั่งรุ่งเรืองหรือฐานะที่สูงส่งก็มอบให้โหยวเหอแล้ว แต่โหยวเหอผู้นี้ก็ยังไม่พอใจ และอยากแย่งชิงตำแหน่งของผู้อื่น
ช่างน่าชิงชังเสียจริง
เมื่อฮองเฮาเหลิงจื่อซวี่และวังกุ้ยเฟยทั้งสองคนไปถึงหน้าประตูตำหนักก็เห็นวังกุ้ยเฟยพูดด้วยรอยยิ้ม “ฮองเฮา แม่นางโหยวผู้นี้ลงมือกับฝ่าบาทอย่างชั่วร้าย ข้าเกรงว่านางคงมีแผนอื่นอยู่ในใจอีก”
จากนั้นเหลิงจื่อซวี่พูดด้วยรอยยิ้ม “โอ้ นางจะยังมีแผนอะไรอีกหรือ”
วังกุ้ยเฟยเห็นฮองเฮาไร้ซึ่งความสงสัยแม้แต่น้อยจึงรีบพูดขึ้น “ฮองเฮา หรือว่าท่านไม่สงสัยเลยหรือว่าแม่นางโหยวผู้นี้กล้าหาญเกินไป และกล้าลงมือกับฝ่าบาทเช่นนี้ เป็นไปได้หรือไม่ว่าต้องการผูกขาดความโปรดปรานรักใคร่จากฝ่าบาท”
“ผูกขาดความโปรดปรานรักใคร่จากฝ่าบาท” ฮองเฮากระตุกยิ้มมุมปากอย่างไม่อาจจะคาดเดาอารมณ์ของนางได้ “ข้างนอกอากาศหนาว น้องสาวกลับไปก่อนเถอะ
ฝ่าบาทเป็นฮ่องเต้ของประชาชนไม่ใช่ของคนคนเดียว เขาเป็นของฟ้า เป็นของดิน
เป็นของประชาชนทั้งข้าและเจ้า รวมถึงทุกคนในวังแห่งนี้ ไม่ใช่ของคนใดคนหนึ่ง
หากน้องสาวมีความคิดเช่นนี้ก็รีบลบล้างไปเสีย หากมีความคิดร้ายต่อฝ่าบาท อย่าว่าแต่ไทเฮาลงมือเองเลย ข้าก็จะไม่ไว้ชีวิตคนผู้นั้นเช่นกัน วังกุ้ยเฟยข้าหวังว่าเจ้าก็จะปฏิบัติตามความรับผิดชอบและภาระหน้าที่ของตนด้วยความเคารพ”
เหลิงจื่อซวี่พูดอย่างเย็นชา วังกุ้ยเฟยได้ยินก็ตกใจไปครู่หนึ่ง และรีบประจบสอพลอ “ฮองเฮา สิ่งที่ท่านพูดหมายความว่าอย่างไรข้าติดตามฮองเฮาเพื่อดูแลฝ่าบาทด้วยใจจริง สิ่งนี้คือหน้าที่ของข้า”
ฮองเฮานั้นมีฐานะสูงศักด์ เมื่อเห็นนางพูดเช่นนี้ หากแต่ใบหน้ากลับไร้ซึ่งอารมณ์ “น้องสาวคิดได้เช่นนี้ก็ดีแล้วเช่นนั้นรีบกลับตำหนักไปพักผ่อนเถอะ วันพรุ่งนี้ข้าจะมาปรนนิบัติฝ่าบาทตั้งแต่ฟ้ายังไม่สาง”
เมื่อวังกุ้ยเฟยได้ยินก็แสดงให้เห็นว่าไม่ด้อยไปกว่าเขา “ฮองเฮาวางใจ ข้าจะกลับไปแล้ว พรุ่งนี้ข้าจะมารอฮองเฮาที่หน้าประตูตำหนักแน่นอน เพื่อตามไปปรนนิบัติฝ่าบาทด้วยกัน”
ในวังหลวงแห่งนี้ ฝ่าบาทยังคงไม่ได้สติ แต่ลมหายใจมั่นคงขึ้นกว่าก่อนหน้านี้มาก
ขณะนี้ในห้องบรรทมมีเพียงฝ่าบาทที่ยังไม่ฟื้นจากการหมดสติ ไทเฮาและฉินเย่จืออยู่นอกห้องบรรทม หมอเฮ่อเหลียนและหมอเมิ่งก็เฝ้าอยู่ที่หน้าประตูตลอด
“เย่จือ แม่นางโหยวได้ก่อบาปมหันต์ ไม่ว่าตระกูลโหยวจะรู้ข้อเท็จจริงเรื่องนี้หรือไม่
ตอนนี้ก็อยู่ต่อไม่ได้แล้ว ถ่ายทอดคำสั่งของข้าไปจับกุมตระกูลโหยวและขังทันที”
ไทเฮาพูดอย่างเคร่งขรึม ฉินเย่จือก็พยักหน้ารับคำสั่ง
ตระกูลโหยวอยู่ไม่ได้แล้วจริง ๆ
ชื่อเสียงของจวนตระกูลโหยวก็เกิดชื่อเสียขึ้นในชั่วพริบตา ทุกคนในจวนตื่นตระหนกและร่ำไห้อย่างหวาดหวั่น
ทหารได้รับการฝึกมาอย่างดี เมื่อเห็นคนก็จับและเมื่อเห็นสุนัขก็จับ ผ่านไปไม่กี่ชั่วยามก็จับคนทั้งหมดในจวนตระกูลโหยวล้วนถูกจับเข้าห้องขัง
ตอนที่ข่าวไปถึงหูฉินเย่จือเขากำลังนั่งอ่านหนังสืออยู่หลังโต๊ะ ขันทีฉีที่ยืนถือแส้อยู่ข้าง ๆ ตาก็ปิดลงราวกับว่าหลับไปแล้ว
“แค่กแค่ก น้ำ…” ทันใดนั้นเสียงของซูเทียนซื่อดังขึ้นผะแผ่ว รู้สึกว่าคอแห้ง ร่างกายไร้เรี่ยวแรง
“ฝ่าบาท ท่านฟื้นแล้ว” เมื่อได้ยินการเคลื่อนไหว ขันทีฉีก็รีบรินน้ำให้ทันที และร้องขึ้นด้วยความดีใจ
หลังจากซูเทียนซื่อจิบชาไปหนึ่งอึก ตอนนี้ก็รู้สึกว่าความร้อนในร่างกายได้ลดลงเล็กน้อย เขาขมวดคิ้วและมองไปตรงเตียงที่คุ้นเคย ทันใดนั้นก็รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย “ข้ายังอยู่ที่ตำหนักของแม่นางโหยว?”
ตำหนักที่คุ้นเคย เตียงนอนที่คุ้นเคย สถานที่ที่เขาอยู่ติดต่อกันมาหลายวัน เขาพักผ่อนอยู่ที่นี่มาโดยตลอด ทุกอย่างในนี้เขาคุ้นเคยเป็นอย่างดี
เขามองไปทั่วสารทิศอย่างสงสัย และเห็นคุณชายคนหนึ่งเดินเข้ามาช้า ๆ อย่างสง่างาม “เย่จือ เหตุใดเจ้าถึงอยู่ที่นี่”
……….