ทะลุมิติไปเป็นสาวนาผู้ร่ำรวย - บทที่ 1707 1708 แอบดูตัว ความวุ่นวายก่อนงานเลี้ยง
บทที่ 1707 1708 แอบดูตัว ความวุ่นวายก่อนงานเลี้ยง
……….
บทที่ 1707 แอบดูตัว
นางม้วนผ้าโปร่งลายเมฆไว้ในมือ ตรงเอวที่คอดกิ่วนั้นผูกเข็มขัดสีม่วงอ่อนเอาไว้ คอยขับเน้นรูปร่างที่อ่อนช้อยงดงามของสตรี
ผมเกล้าขึ้นมาอย่างปราณีตด้วยมวยเมฆาคล้อยและปักปิ่นด้วยอัญมณีสีชมพูในแนวเฉียง
ฮู้กั๋วจวิ้นจู่กำลังพูดอยู่ก็เห็นว่าใต้คางของสตรีผู้นั้นยกขึ้นเล็กน้อย เผยให้เห็นลำคอที่สะอาดหมดจดราวกับหยกและใบหน้าก็มีรอยยิ้มที่สุภาพงดงาม บุคคลิกท่าทางมีความสง่างาม คิ้วและดวงตานั้นโค้งเป็นจันทร์เสี้ยวงดงามจนไร้ที่ติ
บางคนในท้องพระโรงพากันมองดูก็เห็นว่าคนผู้นี้อายุประมาณสิบหกปีเท่านั้น แต่ทว่ากลับมีบุคคลิกท่าทางที่สง่างาม ไม่เหมือนหญิงสาวที่มาจากชนบท และคาดไม่ถึงว่าคนผู้นี้จะได้รับการยกย่องจากผู้สูงศักดิ์มีเกียรติที่สุดทั้งสามคนในแผ่นดิน ในใจจึงมีความคิดอยากรู้อยากเห็นขึ้นมา
ดังนั้นจึงมีฮูหยินบางคนก้าวไปข้างหน้าพูดคุยกับกู้เสี่ยวหวาน กริยาท่าทางกู้เสี่ยวหวานนั้นสง่างาม คำพูดนั้นก็ไม่ได้ถ่อมตัวหรือหยิ่งผยองและยังพูดจาฉะฉานอย่างมีความรู้กว้างขวาง ฮูหยินทุกคนยิ่งมองก็ยิ่งชื่นชอบและอดไม่ได้ที่จะเข้ามาพูดคุยด้วย ผู้คนจึงยิ่งเข้าใกล้นางขึ้นเรื่อย ๆ พอเห็นบุคคลิกท่าทางการพูดเหมือนได้รับการอบรมสั่งสอน ล้วนทำให้ผู้คนทั้งหมดค่อย ๆ พยักหน้าอย่างชื่นชม
นี่เหมือนกับสตรีที่มาจากชนบทเสียที่ไหนกัน เห็นได้ชัดว่าเป็นบุตรสาวตระกูลใหญ่ที่ถูกอบรมสั่งสอนอยู่ในตระกูลขุนนางใหญ่
ดังนั้นฮูหยินบางคนที่มีบุตรชายคนรองยังไม่ได้แต่งงานในตระกูล จึงค่อย ๆ เกิดความคิดขึ้นมา
ถ้าหากสามารถแต่งงานกับอันผิงจวิ้นจู่ผู้นี้ได้ นั่นก็เป็นสิ่งล้ำค่าในตระกูลแล้ว
ต้องรู้ว่าในอนาคตบุตรชายคนโตในตระกูลจะต้องค้ำจุนครอบครัว แบกรับความรุ่งเรืองและความเสื่อมถอยของวงศ์ตระกูล จึงจำเป็นจะต้องเลือกหญิงสาวที่มีภูมิหลังตระกูลมีฐานะทัดเทียมกัน แต่ว่าบุตรชายคนรองในตระกูลจะแต่งภรรยานั้นไม่เหมือนกัน ขอเพียงหญิงสาวที่แต่งงานด้วยมีชาติตระกูลที่ดีก็พอ อย่างอื่นนั้นไม่นับว่าเป็นไร แต่กู้เสี่ยวหวานที่อยู่ตรงหน้าในตอนนี้มีรูปร่างงดงาม พูดจาฉะฉานและยังมีความสามารถ ที่สำคัญกว่าคือด้านหลังของนางมีไทเฮามีฝ่าบาทมีองค์หญิงลี่หัวและมีฮู้กั๋วจวิ้นจู่
การดึงผู้ใดผู้หนึ่งในนี้ออกมา ล้วนเป็นการนำไปสู่ผลลัพธ์ที่รวดเร็ว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงคนใหญ่คนโตมากมายที่ปฏิบัติต่อกู้เสี่ยวหวานแตกต่างกันออกไป
ถ้าหากกู้เสี่ยวหวานสามารถแต่งงานเป็นสะใภ้รองในตระกูลได้ เพียงอาศัยความสัมพันธ์ของนางที่อยู่ในวังหลวง จะต้องสามารถช่วยเหลือบุตรชายคนโตให้มีหน้ามีตาได้อย่างแน่นอน
ถ้าหากเป็นเช่นนี้ได้ นั่นก็จะเป็นเรื่องที่ดีจนไม่อาจดีไปกว่านี้ได้อีกแล้วจริงๆ
กู้เสี่ยวหวานไม่รู้ว่าตัวเองยืนอยู่ตรงนั้น มีผู้คนมากมายตั้งเท่าไหร่ที่คิดมากเรื่องนี้ในอนาคต และยิ่งถ้าในตระกูลมีเด็กหลายคน เด็กคนไหนที่คู่ควรเหมาะสมกับกู้เสี่ยวหวานก็ได้คิดเอาไว้เรียบร้อยแล้ว
หลังจากที่นางพูดคุยกับฮูหยินเหล่านั้นเสร็จ ก็เห็นฮู้กั๋วจวิ้นจู่กำลังโบกมือให้ตัวเอง กู้เสี่ยวหวานจึงขอตัวลาอย่างเหมาะสม ฮูหยินเหล่านั้นเห็นเข้าก็ยกย่องชื่นชมอีกรอบ
บุคลิกช่างโดดเด่นมีเสน่ห์เสียจริง
เมื่อคิดว่าถ้าหากแต่งจวิ้นจู่ผู้นี้เข้าประตูได้นั้นก็น่าเหลือเชื่อแล้ว
กู้เสี่ยวหวานเดินเข้าไปใกล้ถานอวี้ซู เมื่อเห็นนางมาแล้ว ถานอวี้ซูจึงดึงกู้เสี่ยวหวานไปและยิ้มพลางพูดว่า “ท่านพี่ ท่านรู้ว่าเหตุใดพวกเขาเหล่านั้นจึงคอยตามพัวพันท่าน”
กู้เสี่ยวหวานตอบว่า “พวกเขาถามข้าเกี่ยวกับชีวิตของข้าในชนบท ข้าก็ได้ตอบไปทีละคนแล้ว มีปัญหาอะไรหรือไม่”
ถานอวี้ซูเห็นกู้เสี่ยวหวานตอบเกี่ยวกับชีวิตของนางในชนบทจริง จึงอดไม่ได้ที่จะหัวเราะ “ท่านพี่ พวกเขากำลังแอบลอบดูตัวท่าน ดูท่าทางการพูดและการกระทำอยู่นะ”
……
บทที่ 1708 ความวุ่นวายก่อนงานเลี้ยง
กู้เสี่ยวหวานฟังคำพูดของถานอวี้ซู เห็นนางยิ้มจนตาหยีก็อึ้งไปเล็กน้อย “หมายความว่าอย่างไร”
“ท่านพี่ ท่านยังไม่เข้าใจพวกเขาอีกหรือว่ากำลังแอบลอบดูตัวท่านกันอยู่”
“แอบดูตัวข้า” กู้เสี่ยวหวานหันกลับไปมอง
ฮูหยินเหล่านั้นยังรวมตัวกันอยู่และกำลังชี้มือไปที่กู้เสี่ยวหวาน ยิ่งชี้ก็ยิ่งพอใจ แม้แต่การมองแผ่นหลังของกู้เสี่ยวหวานก็เหมือนกับการมองดูลูกสะใภ้ ดูพอใจอย่างมาก
เมื่อเห็นกู้เสี่ยวหวานหันกลับมามองพวกนางอย่างกะทันหัน ก็อดไม่ได้ที่จะเงอะงะและกระอักกระอ่วนเล็กน้อย อย่างไรเสียก็เป็นผู้ที่เห็นโลกมาแล้ว จึงฉีกยิ้มมุมปากอย่างรวดเร็วยิ้มแย้มให้กู้เสี่ยวหวาน
กู้เสี่ยวหวานจึงเพิ่งจะเข้าใจคำพูดของถานอวี้ซู
คนเหล่านี้มาเพื่อแอบลอบดูตัวลูกสะใภ้
ถานอวี้ซูเห็นกู้เสี่ยวหวานขมวดคิ้วจึงพูดด้วยรอยยิ้มว่า “ทุกปีงานเลี้ยงในวังหลวงหรือว่าในตระกูลใหญ่ แม้จะบอกว่าเป็นงานเลี้ยง แต่ในความเป็นจริงแล้ว ก็คือการแอบดูตัวเพื่อเตรียมไว้สำหรับคุณชายคุณหนูที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ แม้แต่วันเกิดของไทเฮาเองก็ไม่มีข้อยกเว้น ท่านคอยดูเอาเถอะ รอหลังจากงานวันเกิดของไทเฮาผ่านไปแล้ว พื้นประตูสวนชิงของท่านนั้นจะต้องถูกแม่สื่อเหยียบย่ำจนพังแล้ว”
กู้เสี่ยวหวานกลืนไม่เข้าคายไม่ออก “อวี้ซู ไม่ใช่ว่าเจ้ารู้อยู่แล้วหรือว่าข้ามีผู้ที่อยู่ในใจแล้ว”
ถานอวี้ซูยิ้มและพูดว่า “ข้าย่อมรู้อยู่แล้ว แต่ว่าพวกเขานั้นไม่รู้ ท่านยังไม่ได้ถูกสู่ขอ ผู้อื่นจะยอมแพ้กันได้อย่างไร ท่านดูฐานะของตัวท่านเองในตอนนี้ ทั้งอำนาจและฐานะ อีกทั้งด้านหลังท่านยังมีร้านจิ่นฝูและร้านหล่านเย่ว แต่ละอย่างล้วนเป็นกิจการที่สามารถทำเงินได้ทั้งนั้น ท่านเป็นเหมือนพระโพธิสัตว์ที่สามารถประทานสิ่งต่าง ๆ ได้ พวกเขาจะปล่อยท่านไปได้อย่างไรกัน”
คำพูดถานอวี้ซูนั้นหยอกล้อ ไม่ได้คิดว่าในภายหลังจะกลายเป็นจริงขึ้นมา ซึ่งเป็นเช่นนั้นจริงที่แม่สื่อพากันไปที่สวนชิง จนพื้นประตูสวนชิงถูกเหยียบย่ำทำลายจนเกือบพัง
แน่นอนว่านี่เป็นคำพูดในภายหลัง
วันเกิดของไทเฮา ขอเพียงแค่เป็นสตรีที่ได้รับการแต่งตั้งขั้นห้าขึ้นไป เป็นข้าราชการระดับสามขึ้นไป ทั้งหมดล้วนได้รับเชิญให้เข้าร่วมงานเลี้ยงวันเกิด
ได้ยินคนทยอยมากันอย่างต่อเนื่อง ดังนั้นกู้เสี่ยวหวานกับถานอวี้ซูจึงไม่มีเวลาพูดคุยกันสักพัก
เสียงร้องที่ดังกังวานของขันทียังคงร้องป่าวประกาศไม่หยุด “ฟางเจิ้งสิง ฟางฮูหยิน มอบไข่มุกราตรีทะเลใต้หนึ่งคู่”
กู้เสี่ยวหวานรีบมองไปก็เห็นว่าฟางเจิ้งสิงมาเพียงผู้เดียว
เขามีภรรยาและมีบุตรสาว ตามหลักแล้วไม่ควรอย่างยิ่งที่จะมาเข้าร่วมงานเลี้ยงเพียงผู้เดียว แต่ว่าตอนนี้เขายุ่งอยู่กับการมอบตำแหน่งให้นางบำเรอ จะมานึกถึงฟางฮูหยินในตอนนี้ได้อย่างไรกัน
จดจำภรรยาเอกหลูเหวินซินไม่ได้ ก็ย่อมจดจำฟางเพ่ยหยาไม่ได้เช่นกัน
ได้ยินมาว่าเขาไม่เคยพาฟางเพ่ยหยาเข้าร่วมงานเลี้ยงใดเลย เพียงเพราะรูปร่างที่ขี้เหร่ของฟางเพ่ยหยาทำให้เขาอับอายขายหน้า
วันเกิดของไทเฮา สาวใช้ข้างห้องและบุตรธิดาของนางนั้นไม่สามารถเข้าร่วมได้ ดังนั้นแล้วฟางเจิ้งสิงจึงมาอย่างโดดเดี่ยว
ถานอวี้ซูเองก็มองเห็นฟางเจิ้งสิง หลังจากชำเลืองมองแล้วก็สบตากับกู้เสี่ยวหวาน ต่างก็เห็นความคาดหวังเฝ้ารอในแววตาของอีกฝ่าย
“ซูเผยอัน ฮูหยินซู มอบหยกหรูอี้สองด้าม”
ตามเสียงป่าวประกาศของขันที กู้เสี่ยวหวานจึงมองไปที่ประตูใหญ่ ก็เห็นซูจือเย่วในชุดจีนโบราณสีม่วงอ่อนยืนอยู่ตรงหน้าประตูใหญ่มองเข้ามาด้านใน ราวกับกำลังมองหาอะไรบางอย่าง
ก่อนที่สายตาของกู้เสี่ยวหวานจะละจากไป ก็เห็นสีหน้าของซูจือเย่วเปลี่ยนไปทันที
ความกระสับกระส่ายเมื่อครู่นี้ ในตอนนี้ได้กลายเป็นความสุขแล้ว และยังมีความเขินอายอยู่บ้างเล็กน้อย
กู้เสี่ยวหวานแปลกใจกับการเปลี่ยนไปของคนผู้นี้ จึงค่อย ๆ หันหน้ากลับมาก็ได้ยินเสียงที่คุ้นเคยเอ่ยเรียก “จวิ้นจู่”
กู้เสี่ยวหวานหันกลับไปมอง ก็เห็นหลินจิ้งหรูสวมชุดสีเขียวมรกตกระโปรงจีบสีเขียว แต่งหน้าบางเบาคิ้วตาดั่งภาพวาด ในตอนนี้กำลังแสดงความเคารพกู้เสี่ยวหวานและถานอวี้ซูด้วยรอยยิ้มที่สุภาพ
กู้เสี่ยวหวานเห็นเช่นนี้จึงรีบก้าวเข้าไปและค่อย ๆ พยุงนางขึ้นมา “ไม่ต้องมากพิธี”
ใบหน้าของหญิงสาวผู้นี้เหมือนดั่งดอกไม้ในฤดูใบไม้ผลิ แต่ทว่าไม่ได้ให้ความรู้สึกว่าเป็นคนที่งดงามและสูงส่งเหนือกว่า นิสัยเรียบง่ายสงบนิ่ง ไม่ประจบจนมากเกินไปและก็ไม่ห่างเหินจนมากเกินไป
นิสัยของกู้เสี่ยวหวานเดิมทีก็เป็นเช่นนี้ พอเห็นคนที่มีนิสัยที่คล้ายกัน ก็รู้สึกราวกับเหมือนพบเห็นคนรู้จัก
เดิมทีทั้งสามคนก็มีนิสัยที่คล้ายกันอยู่แล้ว ไม่นานก็พูดคุยกันอย่างคึกคักจนไม่มีผู้ใดเดินผ่านมาเลย
“จวิ้นจู่” เห็นเพียงผู้ที่เข้ามาขัดจังหวะการสนทนาของทั้งสามคน พอหันไปมองก็เห็นซูจือเย่วกำลังยืนอยู่ตรงหน้าทั้งสามคนและกำลังมองกู้เสี่ยวหวานด้วยดวงตาที่ลุกโชน
กู้เสี่ยวหวานขมวดคิ้วเล็กน้อยจนสังเกตไม่เห็น และไม่คิดจะเอ่ยปาก
ส่วนซูจือเย่วพอเห็นกู้เสี่ยวหวาน ในดวงตามีความตกตะลึงพาดผ่านไปอย่างรวดเร็ว นานมากแล้วที่ไม่ได้พบเจอ ครั้งนี้รูปร่างของนางดูเหมือนว่าจะสูงขึ้นอีกเล็กน้อยแล้ว ใบหน้ายังคงงดงามราวกับเทพเซียนในภาพวาด ตอนนี้หลังจากแต่งหน้าแล้ว หน้าตาก็ยิ่งงดงามมากขึ้น
ทั้งร่างนั้นสวมชุดสีม่วงอ่อน ชุดที่สวมบนร่างกายนั้นงดงามปราณีตยิ่งดูเหมือนกิ่งก้านของดอกบัว จนทำให้คนรู้สึกชื่นชม
เพียงแต่ความห่างเหินบางเบาในดวงตานั้น ทำให้คนได้เพียงแต่เฝ้ามองดูจากที่ไกล ๆ ไม่กล้าดูหมิ่น
ทันทีที่เข้ามาในท้องพระโรง เขาก็คอยมองหาร่างของกู้เสี่ยวหวานไปทั่วรอบด้าน
ไทเฮามีรับสั่งให้อันผิงจวิ้นจู่เข้ามาพำนักในวังหลวงก่อนกำหนดและให้เข้าร่วมงานเลี้ยงในวันถัดไป ข่าวนี้ได้แพร่กระจายไปทั่วเมืองหลวงนานแล้ว ขอเพียงได้รับทราบเรื่องนี้ทุกจวนของเหล่าขุนนางล้วนตื่นตกใจ
การกระทำของไทเฮาคือการประกาศทั่วทั้งต้าชิงว่า สตรีผู้นี้ตนเองนั้นโปรดปรานมาก
พอนึกถึงกู้เสี่ยวหวานที่ก่อนหน้ายังเคยเป็นเสี้ยนจู่อันผิง เข้าวังหลวงก็ได้รับสมญานามว่าอันผิงจวิ้นจู่ เมื่อนึกถึงตอนที่นางจัดงานเลี้ยงขอบคุณ องค์หญิงลี่หัวที่คอยติดตามไทเฮาไปไหว้พระสามารถออกจากวังหลวงก่อนกำหนดเพื่อเข้าร่วมงานเลี้ยงได้ ถ้าหากบอกว่านี่ไม่ใช่รับสั่งของไทเฮาก็คงไม่มีผู้ใดเชื่อ
ไทเฮาให้ความสำคัญกับกู้เสี่ยวหวานเช่นนี้ ทั่วทั้งเมืองหลวงจึงอยู่ในความโกลาหล
แม้ว่าจะดูถูกฐานะหญิงสาวชนบทของกู้เสี่ยวหวาน เมื่อคิดว่าหญิงสาวชนบทนั้นมีความทัดเทียมกับตัวเอง พวกนางก็รู้สึกเสียหน้า แต่ว่าไทเฮา ฝ่าบาท องค์หญิงลี่หัวต่างก็รักและเอ็นดูสตรีผู้นี้ เช่นนั้นสตรีผู้นี้พวกนางก็ไม่อาจล่วงเกินได้แล้ว
ดังนั้นในครอบครัวจึงมีคนคอยกำชับเหล่าคุณหนูคุณชายอย่างต่อเนื่องว่าอย่าแสดงความรังเกียจคุณหนูผู้นี้ออกมาในงานเลี้ยงของไทเฮาอย่างเด็ดขาด
ไทเฮาชื่นชอบ แต่พวกเขาไม่ชื่นชอบ นี่ไม่ใช่ว่าเป็นการตำหนิไทเฮาหรอกหรือ
ดังนั้นเมื่อวานนี้ แม้แต่ซูเฉี่ยนเยว่เองก็ยังถูกซูฮูหยินสั่งสอน แต่ซูฮูหยินกลับไม่ได้กล่าวเตือนซูจือเย่ว
ซูจือเย่วมองดูกู้เสี่ยวหวาน ความรู้สึกในใจก็ยิ่งคลุมเครือมากขึ้น
ทันทีที่เข้ามาก็พบกับร่างที่บอบบางนั้น ประกอบกับรอบด้านเริ่มมีคนพูดถึงอันผิงจวิ้นจู่ และการพูดนั้นยังราวกับว่ามีจุดประสงค์ที่ไม่ชัดเจน
ซูจือเย่วฟังได้แค่สองประโยคก็รู้สึกเหมือนกับมีคนมาแย่งสิ่งที่ตัวเองชอบไป ประกอบกับความคิดถึงในช่วงหลายวันที่ผ่านมา เขาเองก็ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเหตุใดจึงไม่สนใจขอบเขตของบุรุษสตรี ก็ได้ก้าวมาถึงข้างกายของกู้เสี่ยวหวานแล้ว
วันเกิดของไทเฮาไม่ได้จัดที่นั่งของบุรุษและสตรีไว้ แต่จัดโต๊ะอาหารตามตำแหน่งฐานะของขุนนางในเมืองหลวง เมื่อถึงเวลานั้นเพียงแค่นั่งไปตามตำแหน่งก็พอแล้ว
ดังนั้นซูจือเย่วจึงตรงไปที่ด้านข้างของกู้เสี่ยวหวาน สายตาที่ลุกโชนนั้นเหมือนกับมีอะไรที่อยากจะพูด
กู้เสี่ยวหวานขมวดคิ้วเล็กน้อย นางเริ่มไม่พอใจแล้ว
มีคนในท้องพระโรงเห็นความเคลื่อนไหวตรงนี้จึงค่อย ๆ หันไปมอง เมื่อเห็นซูจือเย่วก้าวเข้าไปพูดคุยกับกู้เสี่ยวหวานอย่างตรงไปตรงมาในใจทุกคนจึงแปลกใจ
ส่วนซูเฉี่ยนเยว่กำลังยืนอยู่ที่ด้านหลังของซูฮูหยิน สายตาคอยจ้องมองกู้เสี่ยวหวานอย่างดุร้าย เมื่อเห็นท่าทางของพี่ชายเช่นนั้น หลังจากนั้นก็หน้าซีดไปชั่วขณะ ก็ยิ่งมองไปทางประตูท้องพระโรงด้วยความหวาดกลัว
ส่วนท่าทีของซูฮูหยินในตอนนี้นั้นกลับสงบนิ่งและเยือกเย็น ดูเหมือนกับว่าจะมีความหวังอยู่เล็กน้อย
ด้านข้างนั้นมีฮูหยินเห็นซูจือเย่วก้าวเข้าไปหากู้เสี่ยวหวานโดยตรง จึงอดไม่ได้ที่จะถามอย่างแปลกใจว่า “คุณชายซูรู้จักอันผิงจวิ้นจู่”
ซูฮูหยินยืดแผ่นหลัง ใบหน้ายิ้มแย้มพลางพูดด้วยน้ำเสียงที่ภูมิใจเล็กน้อยว่า “ใช่แล้ว”
นางมองไปทางซูจือเย่วก็เห็นว่าซูจือเย่วยังคงประสานมือเคารพ ยืนอยู่ตรงหน้ากู้เสี่ยวหวานด้วยสายตาไม่แม้แต่จะกระพริบ ท่าทางที่หลงใหลนั้น ซูฮูหยินจะไม่เข้าใจได้อย่างไร
สถานะของกู้เสี่ยวหวานในตอนนี้และกิจการที่อยู่ด้านหลัง ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดอคติที่ซูฮูหยินได้มีต่อกู้เสี่ยวหวานเมื่อก่อนหน้าจึงได้หายไปทันที
ถึงแม้ว่าหญิงสาวผู้นี้จะมาจากชนบท แต่อาศัยการพึ่งพามือของตัวเองจนตัวเองได้รับชื่อเสียงและยังมีกิจการมากมาย ตอนนี้ทั่วทั้งในเมืองหลวงไม่มีผู้ใดไม่พูดว่ากู้เสี่ยวหวานนั้นเก่งกาจ ด้วยความคิดและวิธีการเหล่านี้ ในเมืองหลวงเกรงว่าจะไม่มีสตรีคนไหนสามารถเทียบได้
มีวาสนา มีความร่ำรวย ไม่ต้องพูดถึงรูปร่างหน้าตาที่งดงามมาก อุปนิสัยก็ไม่มีอะไรต้องพูด สตรีเช่นนี้ถ้าหากสามารถจะแต่งเข้ามาในตระกูลซูได้จริง ๆ ในใจฮูหยินซูเองก็มีความคาดหวังลม ๆ แล้ง ๆ เช่นกัน
เมื่อมองไปรอบด้านมีฮูหยินหลายคนนั้นแทบจะมีสายตาที่อิจฉา ซูฮูหยินก็รู้สึกลำพองใจอยู่ในใจเล็กน้อย แต่ทว่าซูฮูหยินมีความสุขได้ไม่นาน เสียงร้องของขันทีด้านนอกก็ทำให้ท่าทางของนางเปลี่ยนไปอย่างกระอักกระอ่วน
“หมิงอ๋องเสด็จ ซื่อจื่อเสด็จ หมิงตูจวิ้นจู่เสด็จ”
เมื่อซูเฉี่ยนเยว่ได้ยินหมิงตูจวิ้นจู่สี่พยางค์นี้ ร่างกายก็อดไม่ได้ที่จะสั่นเทิ้ม สีหน้าที่มีความสุขของซูฮูหยินก็หายวับไปในทันที
“ท่านแม่ ข้าไปหาพี่หมิ่นแล้วนะ” ซูเฉี่ยนเยว่เห็นซูหมิ่นมาแล้วจึงรีบพูด
ถึงแม้ว่าหญิงสาวผู้นี้จะมาจากชนบท แต่อาศัยการพึ่งพามือของตัวเองจนตัวเองได้รับชื่อเสียงและยังมีกิจการมากมาย ตอนนี้ทั่วทั้งในเมืองหลวงไม่มีผู้ใดไม่พูดว่ากู้เสี่ยวหวานนั้นเก่งกาจ ด้วยความคิดและวิธีการเหล่านี้ ในเมืองหลวงเกรงว่าจะไม่มีสตรีคนไหนสามารถเทียบได้
มีวาสนา มีความร่ำรวย ไม่ต้องพูดถึงรูปร่างหน้าตาที่งดงามมาก อุปนิสัยก็ไม่มีอะไรต้องพูด สตรีเช่นนี้ถ้าหากสามารถจะแต่งเข้ามาในตระกูลซูได้จริง ๆ ในใจฮูหยินซูเองก็มีความคาดหวังลม ๆ แล้ง ๆ เช่นกัน
เมื่อมองไปรอบด้านมีฮูหยินหลายคนนั้นแทบจะมีสายตาที่อิจฉา ซูฮูหยินก็รู้สึกลำพองใจอยู่ในใจเล็กน้อย แต่ทว่าซูฮูหยินมีความสุขได้ไม่นาน เสียงร้องของขันทีด้านนอกก็ทำให้ท่าทางของนางเปลี่ยนไปอย่างกระอักกระอ่วน
“หมิงอ๋องเสด็จ ซื่อจื่อเสด็จ หมิงตูจวิ้นจู่เสด็จ”
เมื่อซูเฉี่ยนเยว่ได้ยินหมิงตูจวิ้นจู่สี่พยางค์นี้ ร่างกายก็อดไม่ได้ที่จะสั่นเทิ้ม สีหน้าที่มีความสุขของซูฮูหยินก็หายวับไปในทันที
“ท่านแม่ ข้าไปหาพี่หมิ่นแล้วนะ” ซูเฉี่ยนเยว่เห็นซูหมิ่นมาแล้วจึงรีบพูด
ก่อนจากไปนั้นก็จ้องมองกู้เสี่ยวหวานอย่างดุร้าย ลืมเรื่องที่มารดาได้สั่งสอนไว้เมื่อวานไปแล้วเรียบร้อย