ทะลุมิติไปเป็นสาวนาผู้ร่ำรวย - บทที่ 1709 1710 นั่งลง ชื่นชมงานเลี้ยง
บทที่ 1709 1710 นั่งลง ชื่นชมงานเลี้ยง
……….
บทที่ 1709 นั่งลง
ยามซูหมิ่นเดินนวยนาด พลันเห็นเงาร่างหนึ่งในชุดสีม่วงอ่อนท่วงทีผ่าเผยในครรลองสายตา ผู้คนมักพูดว่าตราบใดที่มีใจ ไม่ว่าคนรักจะอยู่ที่ไหน ก็สามารถเห็นท่ามกลางผู้คนมากมายได้ด้วยการมองเพียงครั้งเดียว
ซูหมิ่นเพียงกวาดสายตามองรอบ ๆ ปราดหนึ่งก็พบแผ่นหลังอันคุ้นเคยของชายหนุ่มผู้เป็นเจ้าของหัวใจ
วันนี้ซูจือเย่วสวมชุดฮั่นฝูที่วันธรรมดาไม่เคยใส่ ชายหนุ่มชื่นชอบการสวมชุดสีขาวบริสุทธิ์ และแต่งเช่นนั้นทุกวัน ขับให้เจ้าของร่างสูงโปร่งดูอ่อนโยนมากขึ้น และสง่างามไร้ที่ติ
ซูหมิ่นเห็นแผ่นหลังกว้างในชุดสีม่วงจากด้านหลัง งดงามอย่างไม่อาจละสายตาได้ แต่พอเห็นคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขา แววตาที่เจือความสุขพลันเปลี่ยนเป็นชั่วร้าย
นางมองดูหญิงสาวในชุดสีม่วงกลีบดอกบัว ใบหน้างดงามเย็นชาไร้ที่ติ แต่ยิ่งงดงามมากเท่าไหร่ นางก็ยิ่งรังเกียจมากขึ้นเท่านั้น
ความดุร้ายและความชั่วร้ายในแววตาของซูหมิ่นทำให้ซูเฉี่ยนเยว่ที่เดินมาจากด้านข้างดูตื่นตระหนก
นางหันไปมองซูจือเย่ว ก็เห็นพี่ชายยังยืนอยู่หน้ากู้เสี่ยวหวานราวกับไม่ได้รับรู้บรรยากาศรอบกาย
พี่ชายของนางไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้วเรอะ? ตีสนิทกู้เสี่ยวหวานต่อหน้าหมิงตูจวิ้นจู่ ใจกล้าดีจริง ๆ
แต่เพื่อให้หมิงตูจวิ้นจู่สบายใจ ซูเฉี่ยนเยว่จึงรุดขึ้นหน้ารวดเร็วพลางตะโกนเรียกอีกฝ่ายอย่างตื่นเต้น “พี่หมิ่น ท่านมาแล้ว”
ซูหมิ่นจ้องมองกู้เสี่ยวหวานไม่ละสาย จึงไม่ได้ยินเสียงของซูเฉี่ยนเยว่
เป็นตอนนั้นเองที่เสียงแหลมคมของขันทีดังขึ้น “ฮ่องเต้เสด็จแล้ว ไทเฮาเสด็จแล้ว ฮองเฮาเสด็จแล้ว”
เมื่อทุกคนได้ยินก็มิได้ตื่นตกใจหนักมากนัก ทุกคนยืนตัวตรง จากนั้นคุกเข่าลง “ขอจงทรงพระเจริญ หมื่นปี หมื่นปี หมื่น ๆ ปี”
หลังจากสิ้นสุดเสียงอวยพร ทั่วทั้งท้องพระโรงก็ไม่มีผู้ใดขยับเขยื้อน เงียบสงัดจนได้ยินเสียงหายใจอย่างชัดเจน เหล่าปวงประชาคุกเข่าอยู่ในท้องพระโรง หลังจากซูเทียนซื่อกวาดสายตามองรอบ ๆ ก็เอ่ยปาก “ทุกคนลุกขึ้นได้”
“ขอบพระทัยฝ่าบาท” เป็นกลุ่มหนึ่งที่คุกเข่าและก้มหัวแสดงความเคารพ ซูเทียนซื่อบอกว่าต้องให้แม่นมสองสามคนไปสอนนางเรียนรู้มารยาทในวังหลวง ซึ่งกู้เสี่ยวหวานตั้งใจเรียนเป็นอย่างดี ในวาระสำคัญเช่นนี้ กู้เสี่ยวหวานวางตัวดี สง่างาม เหมาะสมมาก
หลังจากที่ฮ่องเต้ ไทเฮาและฮองเฮานั่งลง ผู้คนต่างก้มหน้าลง
ที่นั่งเหนือสุดกลางท้องพระโรงคือฮ่องเต้ ด้านขวาคือไทเฮา ด้านซ้ายคือฮองเฮา หมิงอ๋องเป็นอาของฮ่องเต้จึงนั่งทางด้านขวาของไทเฮาตามด้วยซูหลินและซูหมิ่น
พวกเขานั่งที่ด้านบนสุด ไม่เพียงเพราะซูหมิ่นเป็นเพียงฐานะจวิ่นจู่เท่านั้น แต่เพราะพวกเขามีสายเลือดอันสูงส่งเช่นเดียวกับฮ่องเต้ ตามธรรมชาติฐานะจึงสูงส่งกว่าจวิ้นจู่คนอื่น ๆ มาก
มีนางสนมที่อายุน้อยและสง่างามนั่งอยู่ทางด้านซ้ายของฮองเฮา ดูท่าทางที่ได้รับการดูแลเป็นอย่างดี กู้เสี่ยวหวานก็รู้ว่าฮ่องเต้ยังมีนางสนมในวังและอาจเป็นสตรีผู้นั้นที่อยู่ด้านข้าง
……
บทที่ 1710 ชื่นชมงานเลี้ยง
ขณะที่ฮ่องเต้กล่าวเปิดงานก็มีการร้องเพลง เต้นรำ และบรรเลงดนตรี ทุกคนก็ดื่มอวยพร และงานต่างดำเนินต่อไปอย่างครึกครื้น
กู้เสี่ยวหวานและถานอวี้ซูนั่งเคียงข้างกัน ทั้งสองดื่มชาตรงหน้าพลางพูดชื่มชมการแสดงไปด้วย เดิมทีจะรอถึงงานเลี้ยงจบ แต่ใครจะรู้ว่ามีคนไม่อยากให้กู้เสี่ยวหวานอยู่อย่างสงบ
ได้ยินเพียงเสียงที่มีเสน่ห์ของซูหมิ่นกล่าวว่า “เสด็จป้า วันนี้เป็นวันคล้ายวันพระราชสมภพของท่าน หมิ่นเอ๋อร์ไม่มีของขวัญดี ๆ จะให้เสด็จอาจึงรู้สึกเศร้านัก ไม่รู้ว่าจวิ้นจู่อีกสองท่านนำสิ่งใดมามอบให้เสด็จป้าของข้าบ้าง แต่ก็อวยพรให้เสด็จอาทรงมีพระเกษมสำราญ”
ใบหน้าซูหมิ่นเต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น หลังจากได้ยินไทเฮาก็รู้ว่าหลานสาวของตนอยากรู้ว่าของขวัญของกู้เสี่ยวหวานและถาวอวี้ซูคือสิ่งใด และยังรู้ว่าความสัมพันธ์ของนางกับถานอวี้ซูไม่ค่อยดีนัก จึงพูดเบา ๆ “พวกเจ้าให้อะไร ข้าก็มีความสุข”
ซูหมิ่นเห็นท่าทางนิ่งสงบของไทเฮาในใจก็รู้สึกไม่มั่นใจเล็กน้อย ในฐานะหลานของไทเฮา จึงเอื้อมมือไปจับมือนางพลางกล่าวว่า “เสด็จป้า ไม่รู้ว่าฮู้กั๋วจวิ้นจู่เตรียมสิ่งใดไว้ให้ท่าน ของขวัญแบบไหนที่ทำให้ท่านมีความสุข ปีหน้าหมิ่นเอ๋อร์จะได้รู้ว่าควรเตรียมอะไร”
ไทเฮามองดูหลานสาวคนนี้ซึ่งต้องการเห็นของขวัญเป็นอย่างมาก สีหน้าจึงฉายแววไม่มีความสุข อย่างไรก็ตามวันนี้เป็นวันเกิดของนาง ดังนั้นจึงเอ่ยว่า “หมิงตูอยากดูหรือ งั้นหยิบมาดูเถอะ ประจวบเหมาะพอดีที่จะให้ทุกคนและฮูหยินได้เปิดหูเปิดตา”
ซูหมิ่นเห็นเสด็จป้าของตนให้คนไปหยิบของขวัญ สีหน้านั้นดูมีความสุขมาก
นางไม่สนใจว่าถานอวี้ซูให้อะไร แต่สิ่งที่นางอยากรู้คือของขวัญของกู้เสี่ยวหวานต่างหาก
เป็นแค่งานเย็บปักถักร้อยเท่านั้นจะเทียบกับงานประดิษฐ์ตัวอักษรและภาพวาดที่นางทุ่มเงินมหาศาลเพื่อตามหาได้อย่างไร
เสด็จป้าชอบงานลายมือแท้ที่สุด แต่นางใช้ความพยายามและเงินจำนวนมากเพื่อซื้อสิ่งนี่มาจากคนอื่น
ซูหมิ่นรู้สึกพึงพอใจยิ่ง พลางมองถานอวี้ซูและกู้เสี่ยวหวานที่อยู่ตรงหน้าด้วยสีหน้าพึงพอใจ
เวลานี้ไร้เสียงพูดคุยจอแจของผู้คน ในท้องพระโรงจึงเงียบสงัด ไทเฮาต้องการให้พวกเขาดูของขวัญที่จวิ้นจู่สามคนมอบให้
หลังจากนั้นไม่นาน ขันทีฉีก็มาถึงท้องพระโรง ตามด้วยขันทีอีกสามคน โค้งตัวลงกล่าวอย่างเคารพ “ไทเฮา ของขวัญของจวิ้นจู่ทั้งสามได้ถูกนำเข้ามาแล้ว”
“เปิดให้ทุกคนดู” ไทเฮาเห็นของขวัญที่จวิ้นจู่ทั้งสามคนมอบให้สีหน้าก็เริ่มอ่อนลง
จากนั้นก็ได้ยินขันทีฉีพูดว่า “เปิด”
ขันทีคนหนึ่งก็ก้าวเข้ามาช่วย และชิ้นแรกที่เปิดขึ้นคือภาพวาดสีน้ำหมึกของซูหมิ่น ทุกคนต่างอุทานว่า “นี่คือผลงานลายมือของเต๋อเจินเหริน ข้าเคยเห็นแค่ในหนังสือมาตลอด ไม่คิดว่าจะได้เห็นที่นี่ หมิงตูจวิ้นจู่จิตใจดีจริง ๆ มอบของขวัญที่ดีเช่นนี้มาให้”
ต่อมาเป็นของขวัญของถานอวี้ซู ของขวัญของถานอวี้ซูคือโสมพันปีและเห็ดหลินจืออายุพันปีล้วนเป็นของหายาก
ทุกคนต่างชื่นชมอีกครั้ง
เมื่อของขวัญของกู้เสี่ยวหวานถูกเปิดออก ทุกคนเหมือนจะไม่เห็นอะไรมีเพียงตัวอักษร ‘ฝู’ ขนาดใหญ่ตรงกลางผ้าผืนหนึ่ง เมื่อเข้าไปใกล้จึงได้รู้ว่าอักษรฝูถูกปักไว้บนผ้าไหมผืนขาวบอบบางราวปีกจักจั่น ผ้าไหมสีขาวสะอาด
ผ้าไหมผืนนี้มีความบางมาก หากนำไปปักลวดลาย จะสร้างความเสียหายให้ผ้าผืนนี้ได้ ทำให้เกิดรอยยับย่อ ทำลายความสวยงามของผ้าไหม
แต่ทว่างานปักตรงหน้าไม่มีอะไรต้องกังวล กับการปักบนผ้าไหม ฝีเข็มด้ายกับผ้าไหมแยกออกจากกันเหมือนไม่ได้ปักอักษร ‘ฝู’ ไว้ แต่เป็นการย้อมผ้าไหมเสียมากกว่า
อย่างไรก็ตาม นี่ไม่ใช่สิ่งสำคัญที่สุด สิ่งที่สำคัญคืออักษร ‘ฝู’ นั้นประกอบด้วยตัวอักษร ‘ฝู’ ขนาดเล็กนับไม่ถ้วน
มีตัวอักษรฝูขนาดเล็กเก้าสิบเก้าตัว รวมอักษรฝูขนาดใหญ่ตรงกลาง ซึ่งก็เท่ากับหนึ่งร้อย
หลังจากนั้นก็มีคนพูดขึ้นอีกว่า “สวรรค์ นี่คืองานปักสองด้านที่ไม่ได้มีการสืบทอดต่อกันมานานแล้วหรือเปล่า พวกเจ้ามาดูเร็ว คำข้างหลังของงานปักนี้เหมือนกับด้านหน้า”
เป็นอย่างที่คิดไว้หลังจากที่ทุกคนเห็นแล้ว ทั้งท้องพระโรงก็เกิดเสียงฮือ
นี่คือภาพปักร้อยอักษร
ซูหมิ่นเดิมทีรู้สึกพึงพอใจ เห็นทุกคนตกตะลึงกับของขวัญของกู้เสี่ยวหวาน ใครจะยังจำของขวัญของนางได้ คนเหล่านั้นล้วนมายืนชื่นชมของขวัญของกู้เสี่ยวหวานข้างหน้า
และนางแอบเงยหน้าขึ้นมองไทเฮา เห็นไทเฮากำลังพูดคุยกับฮ่องเต้ด้วยรอยยิ้ม สายตาที่มองกู้เสี่ยวหวานเต็มไปด้วยความรักและความเอ็นดู
ซูหมิ่นรู้สึกเพียงว่าสิ่งที่ตัวเองพูดเมื่อครู่เหมือนตบหน้าตัวเอง ไทเฮารู้ว่าของที่กู้เสี่ยวหวานมอบให้นั้นแตกต่างออกไป ดังนั้นตอนที่นางมองตัวเอง จึงไม่ปฏิเสธที่จะให้นางดู
ตอนนี้ เดิมทีนางอยากเป็นที่สนใจในงานวันนี้นัก แต่ไม่คิดว่าเรื่องราวจะกลายเป็นเช่นนี้ราวกลับทำให้กู้เสี่ยวหวานได้หน้า ดังนั้นจึงอดไม่ได้ที่ความเกลียดชังของนางที่มีต่อกู้เสี่ยวหวานจะเพิ่มมากขึ้น
ไม่ได้การแล้ว นางจะให้กู้เสี่ยวหวานภูมิใจเช่นนี้ไม่ได้ นางก็แค่หญิงสาวจากชนบทไม่ใช่หรือ นางมีพู่กันและน้ำหมึกมากมายอยู่ในท้องหรือ
ไม่รู้ว่านางสามารถร้องและเต้นรำได้หรือเปล่า
เมื่อนึกถึงสิ่งนี้ ซูหมิ่นมองซูเฉี่ยนเยว่ขณะที่ดื่มชา หลังจากหันมาพยักหน้าให้นางก็ลุกขึ้นและพูดว่า “เสด็จป้า วันนี้เป็นวันเกิดท่าน หมิ่นเอ๋อร์และคุณหนูตระกูลซูปรึกษากันว่าจะเตรียมการแสดงให้เสด็จป้า” ซูหมิ่นยืนขึ้นพลางเอ่ยเสียงดังก้อง
“โอ้ การแสดงอะไรหรือ” ไทเฮาถามอย่างอยากรู้
“หมิ่นเอ๋อร์บรรเลงกู่ฉิน เฉี่ยนเยว่ร้องขับขาน” ซูหมิ่นพูดยังไม่ทันจบก็รู้สึกลังเล
“หมิงตูมีอะไรก็พูดได้ตรง ๆ” ซูเทียนซื่อเห็นท่าทางลังเลของซูหมิ่นก็พูดขึ้น
“ขอบพระทัยเสด็จพี่ฮ่องเต้ หมิงตูอยากเชิญอันผิงจวิ้นจู่มาเต้นรำ นางเพิ่งมาเมืองหลวงไม่นาน เกรงว่าจะไม่มีทักษะด้านนี้ ดังนั้นหมิ่นเอ๋อร์อยากให้นางมาเต้น ไม่รู้จวิ้นจู่อันผิงเต็มใจหรือไม่” ซูหมิ่นเหมือนกลัวกู้เสี่ยวหวานไม่เห็นด้วย จึงมองนางด้วยท่าทางอึดอัดใจราวตนเองกำลังหวาดกลัวเล็กน้อย
ถานอวี้ซูได้ยินอีกฝ่ายจะให้ท่านพี่ไปแสดงลวดลายการเต้นรำก็ชะงักพอได้สติกลับมาก็พร้อมลุกขึ้นยืน แต่ถูกกู้เสี่ยวหวานที่อยู่ด้านข้างรีบดึงนางไว้และพูดว่า “อย่ากังวล”
และตอนนี้ไม่มีใครพูดอะไร