ทะลุมิติไปเป็นสาวนาผู้ร่ำรวย - บทที่ 1711 แสดงทักษะการเต้นรำ
บทที่ 1711 แสดงทักษะการเต้นรำ
……….
บทที่ 1711 แสดงทักษะการเต้นรำ
ทุกคนต่างทราบกันทั่วว่าอันผิงจวิ้นจู่มาจากครอบครัวที่ยากจน เป็นเรื่องยากที่จะได้รับการศึกษา และนี่คือการเต้นรำ
แต่อย่างน้อยย่อมมีทักษะการต่อสู้ ตระกูลกู้ที่แต่ก่อนอาศัยอยู่ในชนบท ไม่ต้องพูดถึงเงินที่จะไปเรียน สถานที่ในหุบเขาลึกเช่นนั้นจะมีที่ให้ร่ำเรียนหรือ?
หมิงตูจวิ้นจู่ต้องการทำให้อันผิงจวิ้นจู่อับอาย
เป็นอย่างที่คาดไว้ หมิงอ๋องเห็นลูกสาวตัวเองทำตัวไม่ดีแบบนี้ก็พูดว่า “หมิ่นเอ๋อร์ อย่าก่อเรื่อง”
ซูหมิ่นเห็นของตนดุ ก็กัดริมฝีปากและพูดว่า “เสด็จพ่อ วันนี้เป็นวันเกิดของเสด็จป้า ข้าแค่อยากให้เสด็จป้า มีความสุขเท่านั้น”
และตอนนี้ ซูเทียนซื่อกับไทเฮา รวมถึงองค์หญิงลี่หัวต่างก็มองไปที่กู้เสี่ยวหวาน ครั้นเห็นนางนั่งอยู่ตรงนั้นด้วยท่าทีนิ่งสงบ ราวกับดอกเบญจมาศอันงดงาม เย็นชาและเฉยเมยราว
องค์หญิงลี่หัวกำลังจะพูดแทนกู้เสี่ยวหวาน แต่ก็ได้ยินน้ำเสียงเย็นชาดังขึ้น “ตกลง”
กู้เสี่ยวหวานลุกขึ้นท่ามกลางความประหลาดใจของทุกคน น้ำเสียงเมื่อครู่นั้นเรียบนิ่งหากแต่ใบหน้ากลับปรากฏรอยยิ้ม เมื่อเห็นสายตาที่กังวลขององค์หญิงลี่หัวและถานอวี้ซู นางก็คลี่ยิ้มเพื่อสร้างความมั่นใจให้พวกเขา
ก่อนขึ้นเวที บีบมือของถานอวี้ซูและพูดปลอบว่า “ไม่ต้องห่วง ประเดียวข้ากลับมา”
ซูหมิ่นมองไปที่กู้เสี่ยวหวานที่นิ่งสงบท่าทางที่นิ่งเฉยดูเหมือนว่านางจะไม่ใส่ใจกับการยั่วยุของอีกฝ่าย นางเย้ยหยันในใจ แสร้งทำเป็นเข้าใจทุกอย่าง และทำเพียงรอคนหัวเราะในภายหลัง
นางหลุบตาลง แววตาคู่นั้นฉายแววร้ายกาจ แต่หลังจากมองไปที่ผู้ชม ซูเฉี่ยนเยว่ก็เผยรอยยิ้มพึงพอใจ
กู้เสี่ยวหวานมาถึงท้องพระโรงก็เห็นซูหมิ่นและซูเฉี่ยนเยว่เตรียมตัวเสร็จแล้ว พวกนางสองคนมีท่าทางพอใจ กลัวว่าจะไม่ปล่อยตัวเองไปง่าย ๆ กู้เสี่ยวหวานครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นจึงพูดต่อหน้าผู้คนที่อยู่ในท้องพระโรงว่า “ฝ่าบาท เสี่ยวหวานต้องการใช้สี่สิ่งล้ำค่าในห้องหนังสือ”
การเต้นรำต้องใช้สี่สิ่งล้ำค่าในห้องหนังสือ
ภายในห้องโถงเกิดเสียงกระซิบกระซาบ พวกเขาไม่รู้ว่ากู้เสี่ยวหวานต้องการทำอะไร บางคนก็แสดงสีหน้าเยาะเย้ย เป็นที่ทราบกันดีว่ากู้เสี่ยวหวานรู้เรื่องบทกวี ไม่ลืมเอามาใช้ในการแสดงนี้
หรือเป็นเพราะเต้นไม่ได้ จึงใช้ข้ออ้างนี้มาทดแทนการเต้นรำของตัวเอง
แม้แต่ซูเทียนซื่อหลังจากได้ยินคำพูดของกู้เสี่ยวหวานก็รู้สึกประหลาดใจอยู่พักหนึ่งแต่เมื่อเห็นสีหน้าเรียบนิ่งและเปี่ยมด้วยความมั่นใจก็ตอบรับ “อนุญาต”
หลังจากที่ซูหมิ่นและซูเฉี่ยนเยว่มองหน้ากัน ได้ยินเสียงเยาะเย้ยของทุกคน และร่องรอยของความดูถูกเหยียดหยามก็ฉายแวบเข้ามาในดวงตาอย่างรวดเร็ว “อันผิงจวิ้นจู่ หากเจ้ามีปัญหาอะไรก็พูดออกมา ถ้าเล่นไปแล้วจะแก้ไขไม่ทัน”
ซูหมิ่นตะคอกอย่างเย็นชา แววตาเต็มไปด้วยความดูถูกเหยียดหยาม
กู้เสี่ยวหวานขยับผ้าคุลมในมือ โชคดีที่วันนี้นำมาด้วย มิฉะนั้นแสดงไปแล้วไม่สามารถทำอะไรได้ ขยับแขนเสื้อและผ้าคลุมตลอดทาง ไม่แม้แต่จะสนใจซูเฉี่ยนเยว่และซูหมิ่น
ทั้งสองคนเห็นท่าทางนิ่งสงบของกู้เสี่ยวหวานก็รู้สึกไม่สบายใจ แต่ในท้องพระโรงนี้หากเปิดเผยไปคงไม่ใช่เรื่องที่ดี จึงวางแผนให้กู้เสี่ยวหวานดูดีในภายหลัง
และซูหมิ่นอดไม่ได้ที่จะมองไปที่ตำแหน่งหนึ่งในท้องพระโรง ก็เห็นดวงตาของซูจือเย่วกำลังมองมาที่ที่พวกนาง แต่สายตาที่แวววาวนั้นจับจ้องอยู่ที่จุดเดียวตลอด
คนที่เขามอง…หรือว่ากู้เสี่ยวหวาน
ไม่แม้แต่จะละสายตาไปไหน
ซูหมิ่นเป็นคนใจร้อนและตอนนี้แทบทนไม่ไหวที่จะทำให้กู้เสี่ยวหวานอับอาย ให้นางปล่อยไก่ต่อหน้าซูจือเย่ว ให้เขาเห็นว่าคนที่นึกถึงนั้นเป็นอย่างไร
ขันทีสองสามคนนำสี่สิ่งล้ำค่าในห้องหนังสือมาทันที และจากเสร็จสิ้นหน้าที่ของตน ทั้งสามคนก็กลับไปยังตำแหน่งเดิม ซูหมิ่นเดินผ่านด้านข้างของซูเฉี่ยนเยว่ และเอ่ยประโยคเย้ยหยันที่ได้ยินกันแค่สองคน “ไม่ต้องเกรงใจ”
ซูเฉี่ยนเยว่รีบพยักหน้าเห็นด้วย สายตามองไปที่กู้เสี่ยวหวานแปรเปลี่ยนเป็นเย็นชา
ท่านพี่ชื่นชมนางหรือ วันนี้ต้องทำให้นางอับอายให้ได้ ให้ท่านพี่เห็นว่าการไม่รักคนที่เหมาะสมแต่ไปชมชอบสาวชนบทนั้นเป็นอย่างไร
วันนี้ต้องให้ทุกคนได้เห็นว่ากิ่งทองใบหยกก็คือกิ่งทองใบหยก สาวชาวบ้านก็คือสาวชาวบ้าน บินสูงขนาดไหนก็คืออีกาไม่สามารถเป็นหงส์ได้หรอก
หลังจากที่สามคนยืนประจำตำแหน่ง ซูหมิ่นยกมือขึ้นเตรียมบรรเลงกู่ฉินและเอ่ยขึ้นด้วยเจตนาไม่ดี “อันผิงจวิ้นจู่ เริ่มเลยนะ”
วันนี้ ต้องให้กู้เสี่ยวหวานเต้นผิด ต้องให้นางอับอาย
ภาพปักร้อยอักษรสองด้านนั้น ทำให้นางขายหน้าต่อหน้าไทเฮา ที่สำคัญกว่านั้น ขอแค่นางปรากฏตัวที่ไหน สายตาของซูจือเย่วก็ไม่เคยมองมาที่ตนเอง
รักข้างเดียวแบบซูจือเย่ว นางจะไม่เข้าใจได้อย่างไร
นางก็มองซูจือเย่วแบบนั้น แต่ซูจือเย่วกลับใช้สายตาแบบเดียวกันมองผู้หญิงคนอื่น แบบนี้จะไม่ให้นางโกรธหรือเกลียดได้อย่างไร
สองมือของนางเล่นกู่ฉิน แวบหนึ่งก็นึกถึงอีกเพลง
มือเรียวสัมผัสสายกู่ฉินอย่างอ่อนโยน มือทั้งสองเล่นกู่ฉินราวกับเสียงของธรรมชาติ ต่อมาซูเฉี่ยนเยว่ก็แสดงเสียงร้องที่ยอดเยี่ยม เหมือนนกขมิ้นร้องเพลง ผู้คนในท้องพระโรงอดไม่ได้ที่จะเคลิบเคลิ้มไปกับเสียงกู่ฉินและเสียงร้องที่ไพเราะ จึงพยักหน้าชื่นชม
และซูหมิ่นรู้ทักษะการเล่นกู่ฉินของตัวเอง มองสายตาที่เคลิบเคลิ้มของทุกคน อดไม่ได้ที่จะมองกู้เสี่ยวหวานอย่างยั่วยุ ซึ่งยังคงยืนโง่ ๆ อยู่กลางท้องพระโรงด้วยสีหน้าดูถูกเหยียดหยาม
ทุกคนยังคงดื่มด่ำกับเสียงกู่ฉินและการร้องที่ไพเราะ ทันใดนั้นเห็นสายลมพัดผ่านท้องพระโรง กระดาษขาวราวหิมะเริงระบำไปกับสายลม ขันทีสองคนดึงมาที่ด้านหน้าท้องพระโรง
ซูหมิ่นเห็นก็ตกตะลึงเสียงกู่ฉินก็ขาดหาย ในตอนนี้เห็นผ้าคลุมที่เดิมทีกู้เสี่ยวหวานถืออยู่กำลังเต้นรำไปกับสายลมหลังจากที่เปื้อนหมึกก็พลิ้วไหวไปตามจังหวะของดนตรี ผ้าคลุมถูกวาดลงไปทีละจุดบนกระดาษ อิริยาบถที่อ่อนช้อยงดงามของนางและผ้าคลุมในมือที่พลิ้วไหวไม่หยุด บนกระดาษขาวราวกับหิมะค่อย ๆ ปรากฏออกมาเป็นภาพวาด
ทุกคนในท้องพระโรงจ้องมองไปที่ภาพวาดที่ชัดเจนขึ้นเรื่อย ๆ บนกระดาษด้วยความตกตะลึง
เมื่อใดที่พวกเขาเคยเห็นใครวาดภาพแบบนี้ก็อดไม่ได้ที่จะตกตะลึง แม้แต่ซูหมิ่นที่บรรเลงกู่ฉินก็ตื่นตระหนก ทักษะการเล่นที่นางเคยภาคภูมิใจมาโดยตลอดก็พังทลายลงในทันที แต่ละโน๊ตที่บรรเลงออกมาล้วนไม่ไพเราะ
……….