ทะลุมิติไปเป็นสาวนาผู้ร่ำรวย - บทที่ 1712 ตกตะลึง
บทที่ 1712 ตกตะลึง
……….
บทที่ 1712 ตกตะลึง
เสียงร้องเพลงของซูเฉี่ยนเยว่เบาลงเรื่อย ๆ ด้วยความประหลาดใจ และสุดท้ายก็เงียบสนิทจนไม่มีเสียงใดเล็ดรอดออกมา
แต่ในขณะนี้กู้เสี่ยวหวาน ไม่ได้สัมผัสถึงสิ่งรอบข้างที่เปลี่ยนไปแม้แต่น้อย ไม่มีแม้แต่เสียงกู่ฉิน นางก็เต้นได้อย่างเข้าถึงจิตวิญญาณ
หลังจากที่นางข้ามมาอีกโลกหนึ่ง นางก็ไม่เคยเต้นอีกเลย ไม่ใช่เรื่องง่ายที่นางจะมีโอกาสเช่นนี้ ความพอใจและความอ้อยช้อยของร่างบางนี้ทำให้นางไม่สามารถหยุดยิ้มได้ การเต้นรำเช่นนี้ในโลกนี้ราวกับเหลือนางแค่คนเดียว
ชุดสีชมพูกลีบบัว พลิ้วไหวราวกับดอกบัวที่บานสะพรั่ง เห็นการตวัดวาดครั้งสุดท้ายบนผ้าแพรนั้น และสุดท้ายมีสีดำสนิทปรากกฏขึ้นบนกระดาษฟาง และมีดอกบัวที่งดงามบานสะพรั่งออกมาในที่สุด เกิดความเงียบขึ้นในห้องโถงนี้
ความน่าอัศจรรย์และตราตรึงเช่นนี้ราวกับถูกสะกดไว้ชั่วนิรันดร์
หลังจากกู้เสี่ยวร่ายรำจนจบ ร่างบางนั้นจึงหันกลับมาและคุกเข่าลง เสียงอันไพเราะนุ่มนวลเอ่ยขึ้น เสี่ยวหวานอวยพรให้ไทเฮาทรงมีพระวรกายแข็งแรง มั่งมีศรีสุขดังมหาสุมทร อายุยืนดั่งท้องนภา”
ผู้คนยังคงตกตะลึงอยู่กับการร่ายรำอันสง่างาม เสียงอันไพเราะของกู่เสี่ยวหวานดังขึ้นทำลายความเงียบที่อยู่ในห้องโถงนี้ในที่สุด ทุกคนมองไปที่ภาพนั้นอย่างพร้อมเพรียงกัน บนม้วนภาพ เป็นภาพของต้นสนยืนตระหง่านบนหน้าผาอย่างภาคภูมิ มีเหยี่ยวนกเขาโบยบินบนท้องฟ้าราวกับภูมิทัศน์หมึกที่สาดกระเซ็น ทำให้ผู้คนต่างประหลาดใจ
และตัวอักษรที่งดงามดั่งหงส์อยู่มังกรรำแปดตัวที่อยู่ทางด้านข้างนั้น ก็ยิ่งทำให้ใครต่อใครรู้สึกประหลาดใจยิ่งขึ้นไปอีก
มั่งมีศรีสุขดั่งมหาสุมทร อายุยืนดั่งท้องนภา
ภาพอันงดงามเช่นนี้ วาดด้วยผ้าแพรหนึ่งผืน
สายตาของทุกคนต่างจับจ้องไปที่ม้วนภาพอันงดงามและร่างสง่างามที่อยู่ตรงกลางท้องพระโรง ไม่มีใครพูดอะไรแม้สักคำ และไม่มีใครสังเกตว่าซูหมิ่นนั้นหยุดบรรเลงกู่ฉินไปเมื่อใด และซูเฉี่ยนเยว่หยุดร้องเพลงไปตอนไหน
เวลานี้ แม้แต่ฮ่องเต้ก็ต้องรีบนั่งลง องค์หญิงหลี่หัวจึงประคองไทเฮามาที่ด้านหน้าของกู้เสี่ยวหวาน ทุกคนต่างมองไปที่กู้เสี่ยวหวานอย่างไม่เชื่อสายตา
“นี่คือการร่ายรำอะไรหรือ” ไทเฮาถามกู้เสี่ยวหวานด้วยความสงสัย และถามขึ้นอีกครั้งด้วยความตื่นเต้นว่า “ข้าไม่เคยเห็นการร่ายรำเช่นนี้มาก่อน มันเรียกว่าการร่ายรำอะไรหรือ?”
“ทูลไทเฮา นี่คือร่ายรำหมึกเพคะ” กู้เสี่ยวหวานเห็นไทเฮาเกิดความสนใจ จึงอธิบายว่า
การร่ายรำหมึกเดิมทีมาจากเด็กหญิงสองคนเต้นระบำพื้นบ้าน และสี่คนร่ายรำไทเก็ก กู้เสี่ยวหวานเรียนดนตรี เล่นหมากล้อม คัดอักษร และวาดภาพมาตั้งแต่ยังเด็ก ๆ การร่ายรำพื้นบ้านก็ร่ายรำมากว่ายี่สิบปี การร่ายรำหมึกนี้ก็ร่ายรำมาไม่ต่ำกว่าร้อยครั้ง นางจึงคุ้นเคยเป็นอย่างดี
เพื่อสร้างการร่ายรำอื่น ๆ ที่แตกต่างให้กับสถานที่และผู้คน กู้เสี่ยวหวานจึงนำของสำคัญในการเรียนรู้สี่สิ่ง ได้แก่ กระดาษ หมึก พู่กันและหินฝนหมึกมา เพื่อใช้ในการเต้นรำกับวาดภาพไปด้วย คาดว่าคงจะไม่มีใครเคยทำได้มาก่อน
ประเด็นสำคัญอยู่ที่ ทักษะการร่ายรำของกู้เสี่ยวหวานนั้นยอดเยี่ยม ทั้งทักษะการวาดภาพของนางก็เชี่ยวชาญเช่นกัน ข้อได้เปรียบสองอย่างนี้สามารถทำให้ใครต่อใครต่างคาดไม่ถึงได้
ฮ่องเต้ปรบมือให้อย่างชื่นชอบ พลางคลี่ยิ้มพร้อมพูดว่า “ดีมาก ดีมาก ร่ายรำได้ดีมาก”
ไทเฮาจึงพยักหน้าเห็นด้วยในทันที “เด็กคนนี้ ทั้งความสามารถในการเขียนและการร่ายรำ แม้ว่าจะเกิดมาในชนบท แต่ก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าผู้หญิงคนไหนในเมืองหลวงนี้ ดีมาก ดีมากฝ่าบาท ท่านต้องให้รางวัลอันผิงเป็นพิเศษ
ฮ่องเต้พยักหน้า แล้วจึงช่วยประคองไทเฮากลับไปที่ท้องพระโรง “เสด็จแม่ ท่านวางใจเถอะ มีรางวัลตอบแทนมากมายแน่นอน นางยังมีเหลือคำขออยู่สองข้อ และข้าจะให้นางเพิ่มได้อีกข้อหนึ่ง”
เมื่อผู้คนได้ยินก็ต่างพากันตกตะลึง สายตาที่เต็มไปด้วยความตกใจและความอิฉามองไปที่กู้เสี่ยวหวาน
ฮ่องเต้ยังทรงรับปากว่าจะให้นางถึงสามข้อ
แต่คนที่ตกใจที่สุดคือกู้เสี่ยวหวาน หลังจากที่นางได้ฟังจึงรีบหันไปมองที่องค์หญิงหลี่หัว จึงเห็นนางมองกลับมาด้วยสายตาดีใจส่งมาให้ตัวเอง ราวกับกำลังจะบอกนางว่า เรื่องนี้สำเร็จแล้ว
กู้เสี่ยวหวานดีใจไม่หยุด จึงรีกคุกเข่าลงไปที่พื้นแล้วพูดว่า “เสี่ยวหวานขอบพระทัยฮ่องเต้ที่ทรงเมตตา”
ทุกคนต่างก็รู้ดีว่าคำรับปากของฮ่องเต้นั้นคือเหรียญที่ใช่หลักประกันเพื่อเลี่ยงความตาย เป็นความโชคดีใหญ่หลวงยิ่งนักที่ได้รับคำสัญญาจากฮ่องเต้ กู้เสี่ยวหวานได้รับคำขอถึงสามประการอย่างคาดไม่ถึง
ผู้คนในห้องโถงนี้ มองไปที่กู้เสี่ยวหวานด้วยสายตาที่เปลี่ยนไป
เสียงโห่ร้องแสดงความยินดีค่อย ๆ ดังขึ้นทีละคน พวกเขาไม่เคยเห็นการร่ายรำเช่นนี้มาก่อน ใครจะสามารถร่ายรำเหมือนกับหญิงสาวที่มาจากชนบทแต่มีของที่น่าทึ่งยอดเยี่ยมมากมาย
ก็ไม่รู้ว่าที่นั้นคือชนบทที่ไหน เกรงว่าคงจะมีหญิงสาวไม่น้อยที่ต้องการไปใช้เวลาเรียนรู้ทั้นนั้น
เสียงโห่ร้องยินดีของผู้คนปลุกซูหมิ่นให้ตื่นขึ้น สติจึงกลับมา การร่ายรำที่สง่ามและยอดเยี่ยมเมื่อครู่ แม้แต่นางก็ยังมองด้วยความตกตะลึง หลังจากดีดเพลงขาด ๆ หาย ๆ ติดต่อกันหลายครั้ง ดังนั้นจึงตัดสินใจไม่ดีดต่ออีก จากความแปลกใจในตอนแรกกลายเป็นความอิจฉาริษยาอย่างรุนแรงในตอนนี้ ซูหมิ่นเบือนหน้าหนีพลางขมวดคิ้วแน่น
แต่ขณะที่ซูเฉี่ยนเยว่ดูการร่ายรำที่น่าทึ่งและงดงามของกู้เสี่ยวหวานอยู่นั้น ก็ยังตกอยู่ในภวังค์จนถึงตอนนี้
ใบหน้านั้นช่างงดงาม นั่นช่างเป็นกายร่ายรำที่สง่างาม ที่เต็มไปด้วยบทกวีและบทเพลง หญิงสาวเช่นนี้
“เสี่ยวหวาน ตกลงเจ้าเป็นคนยังไงกันแน่” นางพึมพำเสียงแผ่วเบา แต่กลับซูเฉี่ยนเยว่ที่นั่งอยู่ข้าง ๆ นั้นได้ยินอย่างชัดเจน นางจึงเงยหน้าขึ้น และเห็ยแววตาที่ลุ่มหลงของพี่ชายของนาง จึงมองไปที่ข้าง ๆ จึงเห็นหมิงตูจวิ้นจู่ที่นั่งหน้าดำหน้าแดงราวกับก้นหม้อ
“ท่านพี่” ซูเฉี่ยนเยว่รีบรีบดึงซู่จือเย่ว จึงทำให้ความคิดของเขาถูกดึงกลับมา “มีอะไรรึ”
“ท่านพี่ ท่านทำตัวไม่เหมาะสมต่อหน้าหมิงตู่จวิ้นจู่ ท่านไม่กลัวว่าหมิงตู่จวิ้นจู่จะทำให้ครอบครัวเราเดือดร้อนรึ” ซูเฉี่ยนเยว่พูดกดน้ำเสียงลงต่ำอยู่ข้าง ๆ หูของซูจือเย่ “ท่านก็รู้อยู่แล้วว่าหมิงตู้จวิ้นจู่นั้นชมชอบท่าน ท่านยังจะทำหน้าเช่นนั้นให้ผู้หญิงคนอื่นต่อหน้านางอีก”
ซูจือเยว่จึงได้สติกลับมา จึงมองไปที่ใบหน้าที่โกรธเคืองและเคร่งเครียดของน้องสาว จึงตกใจกับท่าทางที่ตนแสดงออกมาในห้องโถงนี้ และเมื่อมองไปที่สายตาที่เกิดคำถามของซูเฉี่ยนเยว่นั้น คิ้วของเขาก็ขมวดแน่น ก้มหน้าลงและไม่ได้พูดอะไรออกมา
ซูเฉี่ยนเยว่เห็นว่าเขาไม่ได้มองกู้เสี่ยวหวานแล้ว จึงคิดว่าเขาเข้าใจกับคำพูดของนางอยู่ จึงค่อยเบาใจลงเล็กน้อย
“เหล่าฟูผู้นี้อยากพบแม่นางท่านนี้มาตลอด เรื่องหมึกเรื่องพู่กันของแม่นางแพร่กระจายไปทั่วต้าชิง เหล่าฟูก็ยิ่งอยากคุยกับแม่นาง อยากพูดคุยเรื่องบทเพลงบทกวีในวันนี้ที่ได้เห็น ไม่รู้ว่าเหล่าฟูจะโชคดีพอที่จะได้เรียนรู้กับแม่นางหรือไม่” ชายชราที่มีหนวดเคราสีขาวนั่งอยู่บนที่นั่ง มองไปที่กู้เสี่ยวหวานและพูดอย่างนอบน้อม
“นี่คือหลินไห่เทียนท่านปู่ของหลินจิ้งหรูเป็นบัณฑิตในราชสำนักบัณฑิต ผู้ไม่ฝักใฝ่ในยศถาบรรดาศักดิ์ ชมชอบเพียงการอ่านและรวบรวมหนังสือ ฮ่องเต้ทรงให้ความนับถือเขามาก ชีวิตของเขานั้นหลงใหลในบทกวีเป็นอย่างมาก ทั่วทั้งเมืองหลวงนี้มีไม่กี่คนที่จะสามารถดึงดูดสายตาของเขาได้” ถานอวี้ซูเห็นหลินไห่เทียนหันมาพูดคุยกับกู้เสี่ยวหวาน นางจึงรีบบอกให้กู้เสี่ยวหวานรู้
……….