ทะลุมิติไปเป็นสาวนาผู้ร่ำรวย - บทที่ 1715 ฮองเฮาจะลงโทษ
บทที่ 1715 ฮองเฮาจะลงโทษ
หมิงตูจวิ้นจู่ขบริมฝีปากและเมื่อเห็นสีหน้าของหมิงอ๋องที่เต็มไปด้วยความดุร้าย สีหน้าของนางพลันเปลี่ยนเป็นเศร้าสร้อยทันที ทุกสายตาในท้องพระโรงล้วนจับจ้องไปที่นาง ซูหมิ่นไม่เคยรู้สึกอึดอัดคับข้องใจเช่นนี้มาก่อน หากแต่ยังยืนอยู่ตรงนั้นอย่างสง่างาม และไม่ได้คุกเข่าลงแต่อย่างใด
จนกระทั่งหมิงอ๋องเอ่ยปากขึ้นอีกครั้ง “เด็กไม่รักดี คุกเข่าลงเสีย”
หลังจากนั้นก็เห็นหมิงอ๋องลุกขึ้น และกดไหล่ให้ซูหมิ่นคุกเข่าลง
หมิงอ๋องโกรธเคืองจนแม้แต่เคราก็สั่นระริก เมื่อเห็นซูหมิ่นคุกเข่าลง ตนเองจึงคุกเข่าลงเสียงดัง “ฝ่าบาท เด็กไม่รักดีคนนี้พูดจาเหลวไหล โปรดฝ่าบาทเห็นแก่หมิ่นเอ๋อร์ที่อายุยังน้อย ปล่อยนางไปสักครั้ง”
ตั้งคำถามกับการตัดสินใจของฝ่าบาท ซูหมิ่นคงไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้วจริง ๆ
หมิงอ๋องโกรธแทบเสียสติ ทั้งเกลียดชังลูกสาวคนนี้มาก หากแต่ในใจกลับเกลียดตัวการอย่างกู้เสี่ยวหวานที่ก่อให้เกิดเรื่องมากกว่า
เป็นแค่หญิงสาวตัวเล็ก ๆ จากชนบท แต่ทำให้หมิ่นเอ๋อร์ตกหลุมพรางของนางได้ภายในประโยคเดียว เดิมทีหมิ่นเอ๋อร์กำลังได้เปรียบ แต่เพราะความพยายามของประโยคนั้น หญิงสาวชนบทน้อยผู้นี้ก็พลิกกลับมาได้เปรียบในชั่วพริบตา
อีกทั้งยังทำให้ซูหมิ่นดูเหมือนคนไม่มีความเคารพ ช่างน่าชิงชัง น่ารังเกียจยิ่งนัก
หมิงอ๋องคุกเข่าลง เดิมทีตัวตนก็หยิ่งจองหอง และในตอนนี้คุกเข่าลงอยู่ตรงนั้น หากคนดูไม่ผิดละก็ ดูออกว่าหมิงอ๋องตัวสั่นราวกับกำลังหวาดกลัว
ขณะนี้บรรยากาศภายในท้องพระโรงเงียบสงัดจนหน้าขนลุก ซึ่งทำให้ผู้คนหวาดกลัวไม่น้อย
ตอนนี้ผู้ที่นั่งอยู่บนบัลลังก์มีอำนาจสูงสุด จ้องมองหมิงอ๋องกับหมิงตูจวิ้นจู่ด้วยสายตาที่ยากจะอธิบาย
เป็นเวลานานที่ทุกคนหวาดกลัวจนไม่กล้าแม้แต่จะหายใจ ทันใดนั้นไทเฮาก็เอ่ยขึ้น “ฝ่าบาท วันนี้เป็นวันมงคล ลืมเรื่องนี้ไปเสียก่อนเถอะ”
ไทเฮาพูดไม่ทันขาดคำ วังกุ้ยเฟยที่อยู่ข้าง ๆ ก็รีบรับไม้ต่อและพูดขึ้น “จริงด้วยเพคะฝ่าบาท หมิ่นเอ๋อร์ยังเด็ก และนางเพียงโต้เถียงกันเล็กน้อยเท่านั้น แต่อันผิงจวิ้นจู่กลับทำให้เรื่องนี้ดูร้ายแรงขึ้น”
วันนี้วังกุ้ยเฟยสวมชุดกง*[1]จวงสีแดงเข้ม มีปิ่นลวดลายหงส์แปดหางเสียบอยู่บนศีรษะ มีพู่ทองห้อยระย้าลง ทำให้ใบหน้างดงามดูสง่างามยิ่งขึ้น
ครั้นมองดูสถานการณ์ตึงเครียดที่ท้องพระโรงในขณะนี้ วังกุ้ยเฟยจึงมองกู้เสี่ยวหวานด้วยความโมโหและพูดขึ้น “อันผิงจวิ้นจู่ วันนี้เป็นวันพระราชสมภพของไทเฮา ห้ามมาทำลายความสุขของไทเฮาเด็ดขาด”
พูดจบก็มองไปทางไทเฮาที่อยู่ข้าง ๆ อย่างเฉลียวฉลาด สีหน้าประจบประแจง พลันใดนั้นก็เห็นไทเฮายกยิ้มขึ้นจาง ๆ และส่งยิ้มอ่อนให้วังกุ้ยเฟย
เมื่อวังกุ้ยเฟยเห็นว่าไทเฮาส่งยิ้มให้ตน และมองไปดูฮองเฮาที่นั่งอยู่เหนือตนที่สวมชุดกงจวงสีแดงเข้ม และปิ่นปักผมลวดลายหงส์เก้าหาง งดงามอย่างหาสิ่งใดเปรียบ เมื่อเทียบปิ่นปักผมบนศีรษะของนางแล้ว มันดูงดงามกว่ามาก
ฮองเฮาก็คือฮองเฮา และเสื้อผ้าสีแดงที่สวมใส่ก็ดูสง่างามกว่าชุดกงจวงสีแดงเข้มที่นางสวมใส่อยู่มาก
เมื่อเห็นไทเฮาเอ่ยปาก แต่ฮองเฮายังไม่เอ่ยสิ่งใดสักประโยค วังกุ้ยเฟยก็ทนไม่ได้ที่จะพ่นเสียงเย็นชาออกมาเสียงหนึ่ง
คนไร้ประโยชน์ผู้นี้นั่งมาทั้งวันแล้วแต่ไม่พูดอะไรสักคำ ทำตัวเย็นชาพูดจาเย็นชา ช่างเหมือนกับชื่อของเจ้าจริง ๆ เย็นชาราวกับน้ำแข็ง
เป็นโอกาสที่ดีในการประจบไทเฮา แต่เจ้ากลับไม่พูดสักคำ ช่างเป็นก้อนน้ำแข็งที่เย็นชาเสียจริง
การกระทำของวังกุ้ยเฟย แน่นอนว่าทุกการกระทำนั้นอยู่ในสายตาของนาง เพียงแต่การยั่วยุของนางไม่ได้ทำให้เหลิงฮองเฮาเหลียวมองเลยแม้แต่น้อย ฮองเฮายังคงนั่งอยู่ที่ตำแหน่งของตน มองดูหมิงอ๋องและหมิงตูจวิ้นจู่ที่กำลังคุกเข่าอยู่
“ฮองเฮาคิดว่าอย่างไร” ซูเทียนซื่อที่เงียบมาตลอด จู่ ๆ ก็หันมาถามฮองเฮาที่นั่งเงียบอยู่ตลอด
เหลิงฮองเฮาวางถ้วยชาในมือ ไม่แม้แต่จะชายตามองหมิงอ๋องและหมิงตูจวิ้นจู่ พลางสบตาฮ่องเต้ และเอ่ยด้วยความเคารพ “วันนี้เป็นวันพระราชสมภพของไทเฮา ไม่เหมาะที่จะลงโทษ แต่หากไม่เคารพการตัดสินของฝ่าบาท เป็นความผิดที่ไม่สามารถมองข้ามได้ หม่อมฉันขอบังอาจ มิสู้ให้หมิงตูจวิ้นจู่คัดลอกคำตักเตือนของต้าชิงหนึ่งร้อยรอบ และจำคำตักเตือนของราชวงศ์ชิงเราไว้ในใจ ฝ่าบาทคิดว่าเช่นไร”
กู้เสี่ยวหวานหันขวับไปมองฮองเฮา ได้ยินว่าฮองเฮาแซ่เหลิง เป็นคุณหนูใหญ่ของตระกูลเหลิง มีอุปนิสัยเย็นชา ทุกคนล้วนพูดว่าฮองเฮาแบ่งแยกความรักความเกลียดชังออกอย่างชัดเจน มีระดับของการให้รางวัลและการลงโทษ แม้จะดูเย็นชา แต่แท้จริงแล้วภายในจิตใจฮองเฮารู้และเข้าใจชัดเจนดี
ไทเฮาตรัสว่าไม่ลงโทษ วังกุ้ยเฟยก็ตรัสว่าไม่ลงโทษเช่นกัน
หลังจากวังกุ้ยเฟยได้ยินข้อเสนอของฮองเฮาก็แทบจะกลั้นเสียงหัวเราะไม่ไหว โชคดีที่นางกลั้นเสียงนั้นไว้ได้ทัน ไม่เช่นนั้นการหัวเราะเยาะมารดาของแผ่นดินในที่สาธารณะเป็นเรื่องที่ไม่สนุกจริง ๆ
เหลิงเย็นชาผู้นี้หูหนวกหรือไร วันนี้เป็นวันพระราชสมภพของไทเฮา ไทเฮาตรัสว่าไม่ลงโทษ นางก็ยังจะดึงดันอีก
วังกุ้ยเฟยหันไปมองไทเฮา เห็นแววตานั้นไม่แสดงอารมณ์ใด ๆ ในใจของนางก็มีความสุข
ฮองเฮาโชคไม่ดี แต่เป็นนางที่ได้รับประโยชน์
คำเตือนของราชวงศ์ชิงหนึ่งร้อยรอบ ถึงแม้ว่าจะไม่ถือเป็นการลงโทษ แต่คำตักเตือนหนึ่งเล่มของราชวงศ์ชิงมีมากมาย จวิ้นจู่ตรงหน้าผู้นี้หากคัดหนึ่งร้อยรอบ คงไม่ได้ออกไปข้างนอกถึงสามสี่เดือน
หมิงอ๋องที่นั่งคุกเข่าอยู่ในท้องพระโรง เมื่อได้ยินไทเฮาและวังกุ้ยเฟยตรัสว่าไม่ลงโทษก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจอย่างโล่งอก แต่เมื่อได้ยินเหลิงฮองเฮาตรัสว่าให้ซูหมิ่นคัดคำตักเตือนของราชวงศ์ชิงหนึ่งร้อยรอบก็ยิ่งโลงใจมากขึ้น
คัดคำตักเตือนของราชวงศ์ชิงหนึ่งร้อยรอบ ยังไม่ถือว่าเป็นการลงโทษอะไรมาก
เมื่อซูเทียนซื่อได้ยินคำแนะนำของฮองเฮาก็เหลือบมองอีกฝ่ายปราดหนึ่ง ก่อนจะลากสายตาไปที่วังกุ้ยเฟยอีกครั้ง
วังกุ้ยเฟยคิดไม่ถึงว่าฝ่าบาทจะมองมาที่ตนเอง อีกทั้งยังส่งยิ้มมาให้ จึงคิดว่าคำที่นางพูดเมื่อครู่ทำให้ฝ่าบาทพอใจ จึงแสดงรอยยิ้มหนึ่ง ที่คิดว่ามีเสน่ห์ที่สุดทันที และมองฝ่าบาทด้วยความรักใคร่
หลังจากซูเทียนซื่อมองแวบหนึ่งก็ยิ้มขึ้นอีกครั้ง รอยยิ้มนี้ทำให้หัวใจวังกุ้ยเฟยเต้นเร็วจนทำให้ใบหน้ายิ่งแดงขึ้นเรื่อย ๆ
“วันนี้เป็นวันพระราชสมภพของไทเฮา ข้าคิดว่าหมิงตูอายุยังน้อย พูดไปโดยไม่คิด เช่นนั้นก็ทำตามที่ฮองเฮาตรัส กลับไปคัดลอกคำตักเตือนของราชวงศ์ชิงหนึ่งร้อยรอบ” ซูเทียนซื่อเอ่ยปากกล่าวอย่างน่าเกรงขามยิ่ง
ในเมื่อฝ่าบาทเอ่ยปากกล่าว เช่นนั้นเรื่องนี้ก็พิสูจน์ได้ว่าผ่านไปแล้ว
กู้เสี่ยวหวานยิ้มให้หลินจิ้งหรูอย่างเขินอาย คิดไม่ถึงว่าเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อครู่จะทำให้ซูหมิ่นเสี้ยมเขาควายให้ชนกัน
ใบหน้าของหลินจิ้งหรูมีรอยยิ้มจางประดับอยู่ตลอด และเมื่อเห็นกู้เสี่ยวหวานหันมามองตนเองด้วยรอยยิ้มที่อ่อนหวาน นั่นก็หมายความว่าเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ นางไม่ได้เก็บมาใส่ใจ
เมื่อทุกคนเห็นว่าฝ่าบาทไม่ซักถามต่อแล้ว ก็กลับไปนั่งลงที่ตำแหน่งประจำของตนเอง
[1] ชุดฝ่ายใน เป็นชุดสำหรับพระสนมเอก หรือองค์หญิงที่ไม่เป็นทางการ ระดับของชุด ลักษณะเป็นชุดยาวลงมา ไม่แยกเสื้อกับกระโปรง คอเสื้อกลม มีกรองคอ กระโปรงทำเป็นริ้วสามชั้น ด้านหน้ามีชายขนาดใหญ่สามชั้นเช่นกัน ตัวชุดและแขนเสื้อหลวม ไม่รัดตัว มีสุ่ยซิ่วหรือชายผ้าสีขาวต่อจากแขนเสื้อ ปักลวดลายหงส์ ดอกไม้
……….