ทะลุมิติไปเป็นสาวนาผู้ร่ำรวย - บทที่ 1716 คู่ควรแล้ว
บทที่ 1716 คู่ควรแล้ว
หมิงตูจวิ้นจู่ได้รับการประคองจากไฉ่เยว่กลับไปยังที่นั่งของตน คำตักเตือนของราชวงศ์ชิงหนึ่งร้อยรอบ หนึ่งร้อยรอบ…
เกรงว่าคงคัดจนมือหัก และคงจะต้องใช้เวลากับการคักคำตักเตือนอีกเป็นเดือน
ทั้งหมดเป็นความผิดของกู้เสี่ยวหวาน เมื่อนึกได้เช่นนี้จึงหันไปมองกู้เสี่ยวหวานอย่างโกรธแค้น แต่เมื่อมองแวบหนึ่งก็ถูกหมิงอ๋องตักเตือนอย่างรุนแรง “เจ้าลืมเรื่องเมื่อครู่ไปแล้วหรือ ยังไม่ได้รับบทเรียนหรืออย่างไร”
“แต่ว่าท่านพ่อ” ซูหมิ่นไม่ทันได้พูดก็พลันเห็นสายตาฟาดฟันจ้องเขม็งมาที่ตนเอง ซูหลินที่อยู่ด้านข้างจึงพูดขึ้นเสียงแผ่วเบา “อันผิงจวิ้นจู่ผู้นี้ไม่ธรรมดา เจ้าอย่าเพิ่งหุนหันพลันแล่นเลย”
ซูหมิ่นได้ยินก็มองท่านพ่อตนเองที่กำลังขมวดคิ้วมุ่น และมองพี่ชายที่มีสีหน้ายากจะคาดเดา ทำได้เพียงฟังและถอนสายตานั้นกลับมา หลังจากนั้นบรรยากาศของงานก็กลับมาสงบสุขอีกครั้ง
แต่สายตาหมิงอ๋องเฝ้าติดตามมองกู้เสี่ยวเป็นครั้งคราว เด็กคนนี้ฝีปากนางไม่ธรรมดา พูดเพียงประโยคเดียวก็สามารถทำให้หมิ่นเอ๋อร์รับโทษได้
เมื่อนึกถึงสถานการณ์ครั้งก่อนที่เกิดในร้านจุ้ยอวี้กู่ไจ เดิมทีเขาคิดว่าเด็กที่อยู่ตรงหน้าไร้ความสามารถ และไม่รู้ว่าแม่นมคนนั้นโผล่มาจากที่ใด นางไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเด็กคนนี้ แต่ทำให้แผนของพวกเขาพังทลาย
และในตอนนี้เขาอดไม่ได้ที่จะรู้สึกหวาดระแวงกู้เสี่ยวหวาน
แม่นางน้อยคนนี้ไม่ได้อันตรายเท่าที่เขาคิดไว้มากขนาดนั้น ในตอนนั้นที่เขาจะโค่นร้านจิ่นฝู กลับถูกเด็กคนนี้พลิกสถานการณ์กลับมา เด็กคนนี้ฉลาดมาก หรือเบื้องหลังเด็กคนนี้ยังมีใครที่เก่งกาจยิ่งกว่า
เมื่อนึกได้ว่าเด็กคนนี้เปลี่ยนจากสาวชนบทกลายมาเป็นอันผิงจวิ้นจู่ระดับสองในเวลาสั้น ๆ และยังเป็นตำแหน่งเดียวกันกับหมิ่นเอ๋อร์ ยังใช่สาวชนบทธรรมดา ๆ อีกหรือ
คนผู้นี้ ต้องไม่ธรรมดาแน่นอน
นึกได้เช่นนี้ หมิงอ๋องก็หวาดกลัวกู้เสี่ยวหวานขึ้นมาเล็กน้อย
และเมื่อวังกุ้ยเฟยได้ยินที่ฝ่าบาทจะลงโทษหมิงตูจวิ้นจู่ รอยยิ้มเมื่อครู่ยังกระตุกขึ้นที่มุมปาก แต่ตอนนี้หลังจากได้ยินการลงโทษของคนนี้ รอยยิ้มนั้นก็แข็งค้างอยู่อย่างนั้น
ฝ่าบาท
เมื่อฟังความคิดเห็นการลงโทษของฮองเฮาแล้ว
ฝ่าบาทก็ไม่ได้ฟังความคิดเห็นของไทเฮาอีก
นี่เป็นเพราะเหตุใด
วังกุ้ยเฟยอดไม่ได้ที่จะเหลือบมองไทเฮา และเห็นว่าไทเฮายังคงอารมณ์ดีมาก องค์หญิงลี่หัวที่นั่งอยู่ข้าง ๆ กำลังกระซิบบอกบางอย่างกับนาง ซึ่งทำให้ไทเฮายิ้มจนหน้าแดง
วันนี้อารมณ์ของไทเฮานั้นดียิ่ง นางถูกฝ่าบาทมองข้ามความคิดเห็นต่อหน้าผู้คนมากมาย แต่ยังมีความสุขมากขนาดนี้
วังกุ้ยเฟยมองฮองเฮาด้วยความไม่พอใจ การเหยียดหยามในเมื่อครู่ ตอนนี้กลายเป็นความเคียดแค้น
เหลิงจื่อซวี่ เหตุใดต้องมาแข่งกับนาง
งานเลี้ยงของไทเฮา ตั้งแต่แรกจนเกิดเรื่องวุ่นวาย และหลังจากซูหมิ่นได้รับโทษแล้ว ทุกอย่างก็สิ้นสุดลงอย่างสงบโดยไม่มีเหตุการณ์ใดเกิดขึ้นอีก
ไทเฮามีความสุขมากและนั่งอยู่ในงานเลี้ยงจนถึงช่วงสุดท้ายของงาน ทั้งไทเฮา ฝ่าบาท และฮองเฮา ทุกคนชมการแสดงอย่างมีความสุขมาก
เมื่องานเลี้ยงจบลง ทุกคนก็ทยอยกันมาคำนับกล่าวลาอีกครั้ง “ถวายบังคมฝ่าบาท ถวายบังคมฮองเฮา”
เมื่อพวกเขาจากไปแล้ว ทุกคนก็โค้งคำนับทยอยกันล่ำลา ตอนนี้กู้เสี่ยวหวานและถานอวี้ซูกำลังเตรียมตัวกลับจวน แต่ถูกหลิวจิ่งนางกำนัลในวังขององค์หญิงลี่หัวขวางไว้ “จวิ้นจู่ทั้งสองท่าน องค์หญิงเชิญเข้าเฝ้าเพคะ”
ทั้งสองคนตามหลิวจิ่งเข้าไปในห้องบรรทมขององค์หญิงลี่หัว ครั้นเข้ามาในห้องบรรทมแล้วก็เห็นองค์หญิงลี่หัวยืนรอพวกนางสองคนอยู่หน้าประตู และมีหลินจิ้งหรูที่ยืนอยู่ข้างนาง
ที่แท้องค์หญิงลี่หัวก็เชิญหลินจิ้งหรูมาก่อนแล้ว
เมื่อเห็นพวกกู้เสี่ยวหวานมาถึงแล้ว องค์หญิงลี่หัวก็ไม่รอช้าเดินไปหากู้เสี่ยวหวานด้วยสีหน้าเบิกบาน จูงมือกู้เสี่ยวหวานและพูดด้วยรอยยิ้ม “อันผิงจวิ้นจู่ การแสดงของเจ้าในวันนี้ยอดเยี่ยมมาก เจ้าดูหน้าหมิงตูจวิ้นจู่สิ โกรธจนหน้าดำหน้าแดงไปหมด”
เรื่องที่เกิดขึ้นในท้องพระโรงวันนี้ ทุกคนรู้อยู่แก่ใจ
ความสามารถของซูหมิ่นสู้คนอื่นไม่ได้กลับยังโทษกู้เสี่ยวหวาน จับกู้เสี่ยวหวานกับหลินจิ้งหรูมาเยาะเย้ย แต่การโต้ตอบของกู้เสี่ยวหวานนั้นทำให้ทุกคนสบายใจ
“แต่น่าเสียดายที่วันนี้เป็นวันพระราชสมภพของเสด็จแม่ ไม่อย่างนั้นข้าจะให้นางได้รับรู้โทษฐานที่ไม่เคารพการตัดสินของฝ่าบาท เกรงว่าตำแหน่งบนตัวหมิงตูจวิ้นจู่จะถูกเสด็จพี่ถอดออก แต่ยังดีที่เสด็จพี่สะใภ้ให้นางคัดคำตักเตือนของราชวงศ์ชิงหนึ่งร้อยรอบ เกรงว่านางคงไม่มีใจออกไปข้างนอกสามสี่เดือน” คนที่องค์หญิงลี่หัวเชิญมาล้วนเป็นคนที่น่าเชื่อถือ
กู้เสี่ยวหวานจูงมือหลินจิ้งหรูและรู้สึกเขินอายเล็กน้อย “ข้าหวังว่าคุณหนูหลินจะไม่เอาคำพูดของหมิงตูจวิ้นจู่มาใส่ใจ”
เมื่อครู่หลินจิ้งหรูเห็นกู้เสี่ยวหวานหันมายิ้มให้ตนเอง ครั้งนี้จึงขอโทษนางอีกครั้ง รู้ว่าหญิงสาวคงกลัวนางจะคิดไปเอง ดังนั้นจึงแตะหลังมือของกู้เสี่ยวหวานเบา ๆ และพูดด้วยรอยยิ้ม “อันผิงจวิ้นจู่วางใจ หลินจิ้งหรูไม่ใช่คนขี้น้อยใจ หากจวิ้นจู่ได้รับตำแหน่งสตรีที่มีความสามารถอันดับหนึ่งในใต้หล้า ก็คู่ควรอย่างยิ่ง”
สตรีที่มีความสามารถอันดับหนึ่งในใต้หล้า
กู้เสี่ยวหวานรู้ดีว่าตนมีความสารถมากเพียงใด บทกลอนที่นางกล่าวพวกนั้นนางแต่งเองที่ไหนกัน เห็นได้ชัด ๆ ว่าขโมยความรู้จากคนรุ่นก่อน และคุณหนูหลินที่อยู่ต่อหน้าเป็นคนที่ฝ่าบาทแต่งตั้งให้เป็นสตรีที่มีความสามารถเป็นอันดับหนึ่งของใต้หล้า นั่นเป็นความจริงและคู่ควร แต่ข้าเป็นของปลอม เทียบกันไม่ติด ห่างกันอย่างฟ้าและดิน
แต่หลินจิ้งหรูไม่รู้เรื่องพวกนี้
“พวกเจ้าสองคนหยุดเยินยอกันได้แล้ว” ถานอวี้ซูเห็นพวกนางสองคนชื่นชมซึ่งกันและกันก็พูดขึ้นด้วยรอยยิ้ม “พวกเจ้าทั้งสองคนมีความรู้ที่กว้างขวางมากกว่าข้ามาก”
หลินจิ้งหรูเข้าใจความหมายของกู้เสี่ยวหวาน รู้ว่านางคงกลัวว่าคำพูดหมิงตูจวิ้นจู่จะทำให้ผิดใจกันและจะส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ของทั้งสอง ดังนั้นจึงจูงมือกู้เสี่ยวหวานและพูดด้วยรอยยิ้ม “อันผิงจวิ้นจู่ จิ้งหรูนับถือความรู้ของเจ้าด้วยความจริงใจ จิ้งหรูคิดมาตลอดว่าตนเองมีความรู้กว้างขวาง แต่วันนี้เมื่อเห็นความสามารถของหมิงตูจวิ้นจู่ก็พึ่งเข้าใจว่าเหนือฟ้ายังมีฟ้า เหนือคนยังมีคน คำพูดของหมิงตูจวิ้นจู่ในวันนี้ข้าไม่ได้เก็บมาใส่ใจ ตรงกันข้าม ข้าคิดว่าจวิ้นจู่มีความรู้ที่กว้างขวางมากและเป็นแบบอย่างให้จิ้งหรู ต่อไปจวิ้นจู่ก็ห้ามรังเกียจจิ้งหรูที่พูดซ้ำไปซ้ำมาเด็ดขาด วันหน้าจิ้งหรูต้องขอรบกวนจวิ้นจู่แล้ว”
หลินจิ้งหรูอยู่เคียงข้างหลินไห่เทียนมาตั้งแต่เด็ก เคยอ่านหนังสือทั้งสี่และคัมภีร์ทั้งห้ามา หนังสือทุกเล่มในใต้หล้าที่สามารถอ่านได้นางก็เคยอ่านมาหมดแล้ว และคิดมาโดยตลอดว่า นามที่ฝ่าบาททรงแต่งตั้งให้เป็นสตรีที่มีความสามารถอันดับหนึ่งในใต้หล้านั้นคู่ควร อีกทั้งในใต้หล้านี้ก็ไม่มีสตรีนางใดที่มีความรู้เหมือนนางเช่นนี้
……….