ทะลุมิติไปเป็นสาวนาผู้ร่ำรวย - บทที่ 1717 ในใจนางไม่มีเจ้า
บทที่ 1717 ในใจนางไม่มีเจ้า
วันนี้เมื่อได้เห็นความสามารถที่ยอดเยี่ยมของกู้เสี่ยวหวานเช่นนั้น ก็เดินจากที่นั่งของตนไปยังสิ่งล้ำค่าทั้งสี่ในห้องหนังสือ หลินจิ้งหรูนับอย่างละเอียดแต่นับได้เพียงหกก้าวเท่านั้น
และในเวลานั้น นางไม่แม้แต่จะตระหนักถึงความหมายของหัวข้อเลยด้วยซ้ำ แต่สิ่งที่อันผิงจวิ้นจู่เขียนออกมา ทำให้ท่านปู่ประทับใจมาก ความรู้ที่กว้างขวางเฉียบแหลมและลึกซึ้งเช่นนี้ หลินจิ้งหรูทั้งทึ่งทั้งเคารพ อีกทั้งยังวางแผนอีกว่า ในอนาคตจะต้องขอคำแนะนำจากอันผิงจวิ้นจู่แน่นอน
องค์หญิงลี่หัวที่อยู่ข้าง ๆ กล่าวเคล้ารอยยิ้ม “ใช่ อย่างไรก็ตาม ตำแหน่งสตรีที่มีความสามารถอันดับหนึ่งในใต้หล้าพวกเจ้าล้วนคู่ควรทั้งคู่ ใครจะเป็นตำแหน่งสตรีที่มีความสามารถอันดับหนึ่งในใต้หล้ามีได้คนเดียว ข้าคิดว่าทั้งสองก็เป็นอันดับหนึ่งในใต้หล้าได้ พวกเจ้าสองคนเป็นอันดับหนึ่งเสมอกัน”
คำพูดขององค์หญิงลี่หัวทำให้กู้เสี่ยวหวานกับหลินจิ้งหรูยิ้มขบขัน
เดิมทีกู้เสี่ยวหวานก็ไม่ได้สนใจชื่อเสียงจอมปลอมเหล่านั้น แค่เกรงว่าในใจหลินจิ้งหรูมีความคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้ก็เท่านั้น ตอนนี้เมื่อเห็นนางไม่ได้สนใจสิ่งเหล่านี้ ก็รู้สึกประทับใจต่อคุณหนูหลิน ผู้มีความรู้มีชื่อเสียงที่กว้างขวางผู้นี้มากยิ่งขึ้น
หลังจากที่ทั้งสี่คนได้พูดคุยไม่กี่คำ ความสัมพันธ์ก็แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น ยิ่งเมื่อพูดถึงกู้เสี่ยวหวานได้เขียนภาพที่ยอดเยี่ยมออกมาในท้องพระโรง ก็ทำให้ทั้งสามคนประหลาดใจไม่หยุด และอ้อนวอนให้กู้เสี่ยวหวานสอนพวกนาง
กู้เสี่ยวหวานเห็นด้วยอย่างไม่มีข้อปฏิเสธ และอยากนัดพวกนางไปสวนชิงสัปดาห์ละครั้ง หลังจากได้เขียนในห้องบรรทมขององค์หญิงลี่หัวไปอีกครั้ง ก็เห็นว่าเริ่มดึกแล้ว ทั้งสามจึงได้กล่าวลาและจากไป
กู้เสี่ยวหวานใช้เวลาอยู่ในห้องขององค์หญิงลี่หัวไปไม่น้อย เมื่อมาถึงหน้าประตูวังก็เห็นเหลือรถม้าเพียงสองสามคัน คันแรกเป็นของถานอวี้ซู อีกคันเป็นของหลินจิ้งหรูและอีกคันหนึ่งที่จอดอยู่หน้าประตูวัง ซึ่งไม่รู้ว่าเป็นของใคร
หลังจากที่ทั้งสองส่งหลินจิ้งหรูขึ้นรถม้า ก็มาถึงหน้ารถม้าของตนและเมื่อกำลังจะขึ้นรถม้า ทันใดนั้นก็มีเสียงที่คุ้นเคยดังมาจากด้านหลัง “อันผิงจวิ้นจู่”
กู้เสี่ยวหวานที่กำลังขึ้นรถม้าก็หยุดและหันกลับมามอง ก็เห็นซูจือเย่วยืนอยู่ข้างรถและพูดอย่างมีความหวัง “ท้องฟ้าเริ่มมืดแล้ว ให้จือเย่วส่งจวิ้นจู่กลับไปเถอะ”
ท้องฟ้ามืดแล้วจริง ๆ ตะวันก็ลับขอบฟ้าแล้ว แม้แต่ตะวันยอแสงก็จะไม่มีแล้ว
เดิมทีในช่วงต้นฤดูหนาวฟ้าก็มืดไว พวกนางใช้เวลาอยู่ในวังค่อนข้างมากพอสมควร เมื่อออกมาถึงโคมไฟหน้าประตูวังก็ถูกจุดจนทั่ว
ดึกแล้ว
กู้เสี่ยวหวานขมวดคิ้วเล็กน้อยมองซูจือเย่ว และกล่าวขอบคุณด้วยสีหน้าที่สบาย ๆ “ขอบคุณคุณชายซู แต่พวกเราพาองค์รักษ์มาด้วย แน่นอนว่าเส้นทางนี้มีองค์รักษ์คอยป้องกันตลอด ฟ้าก็มืดแล้วคุณชายซูก็รีบกลับไปเถอะ”
หลังพูดจบก็ไม่แม้แต่จะมองซูจือเย่วและตรงไปขึ้นรถม้า ซูจือเย่วรออยู่หน้าประตูวังอยู่นานไม่จากไปไหน เพียงเพราะอยากเจอกู้เสี่ยวหวานอีกครั้ง
หลังจากรออยู่เป็นเวลานานก็เห็นคน ๆ หนึ่งออกมา แต่เพิ่งพูดได้เพียงประโยคเดียว นางก็ขึ้นรถม้าไปแล้ว ซูจือเย่วเศร้าใจและลืมคำที่ว่าชายหญิงไม่ควรถูกเนื้อต้องตัวกัน จากนั้นก็ไปข้างหน้าและดึงแขนเสื้อกู้เสี่ยวหวานไว้ “รอสักครู่”
มือที่เรียวเล็กถูกจับไว้ในมือเขาแน่น ซูจือเย่วตื่นเต้นทันทีเหมือนมีกระแสไฟไหลผ่านร่างกาย ทำให้ใจของเขาสั่นเล็กน้อย
“บังอาจ”
เมื่อเห็นซูจือเย่วเสียมารยาทอาโม่และอาจั่วก็ตะโกนขึ้นพร้อมกัน คนหนึ่งบีบให้ซูจือเย่วออกห่าง อีกคนชักดาบออกมาทันที
กระแสไฟเมื่อครู่ทำให้ใจเขาสับสน ในใจรู้สึกเหมือนทั้งร่างกายถูกใครบางคนบีบเบา ๆ และไม่ได้เป็นตัวของตัวเองอีก
ความคิดของเขาอยู่ที่กู้เสี่ยวหวาน ดังนั้นจึงไม่ได้สังเกตว่ายังมีอีกสองคนอยู่ข้าง ๆ และกำลังจ้องเขมือบมาที่ตน
ทักษะการต่อสู้ในช่วงเวลาสั้น ๆ คนหนึ่งดึงมือเขาออกจากมืออันแสนนุ่มนวลของกู้เสี่ยวหวาน ซูจือเย่วจึงเริ่มตอบสนองและรีบใช้ทักษะการต่อสู้กลบเกลื่อนการสัมผัสของคนผู้นี้ในเมื่อครู่
หลังจากที่เขาพอจะหยุดนิ่งได้ และยังไม่ทันที่จะตอบสนองก็มีดาบที่คมกริบเล่มหนึ่งชี้มาที่กลางหน้าผากของเขา หากว่าขยับมากกว่านี้ปลายดาบก็คงแทงเข้าไปกลางคิ้ว
“คุณชายซูกรุณาให้เกียรติกันด้วย” เมื่อเห็นว่าซูจือเย่วออกห่างจากกู้เสี่ยวหวานแล้ว อาจั่วก็ยื่นมือออกมากั้นหน้ากู้เสี่ยวหวาน และเอ่ยอย่างเย็นชา
ซูจือเย่วไม่คาดคิดว่าตอนนี้สาวใช้ข้างกายกู้เสี่ยวหวานจะมีทักษะการต่อสู้เก่งกาจมากเพียงนี้ มันทำให้เขาประหลาดใจมาก
ทักษะการต่อสู้ของเขาไม่ขี้ริ้วขี้เหร่ และเมื่อครู่ที่ดึงแขนเสื้อกู้เสี่ยวหวาน เขาก็ไม่ได้ตั้งใจทีเดียวเชียว
ความอาฆาตที่แพร่กระจายอยู่รอบ ๆ ไม่ใช่ว่าเขารู้สึกไม่ได้ เขาเพียงแค่คิดไม่ถึงว่ามันจะถูกเผยออกมาเร็วเช่นนี้
เพียงแค่ชั่วพริบตาเดียว ความอาฆาตก็จ่ออยู่ตรงหน้าผากแล้ว ทำให้เขาหายใจไม่ทันและไม่สามารถขยับตัวได้
เขามองดาบที่กำลังชี้มาตรงหน้าผากตนเอง ความอาฆาตต่อตนนั้น มีแสงสีเงินของดาบที่คมกริบเตือน
“อาโม่” กู้เสี่ยวหวานหันมาพูดเบา ๆ และเห็นอาโม่ชัดดาบกลับอย่างรวดเร็ว
ดาบที่คมกริบถูกเก็บเข้าฝักจนเกิดเสียงดัง จากนั้นก็เห็นอาโม่ไปยืนอยู่ที่ข้างรถม้า และยืนกอดอกปกป้องราวกับว่าเขาเป็นโจรขโมยอย่างนั้น
แต่กู้เสี่ยวหวานไม่ได้พูดอะไรสักคำ และตรงไปขึ้นรถม้า ฮู้กั๋วจวิ้นจู่เองก็เหลือบมองซูจือเย่วอย่างไม่วางใจและขึ้นรถม้าไป
เมื่อเห็นว่าคุณหนูขึ้นรถม้าแล้ว อาโม่และอาจั่วก็รีบขึ้นรถม้า คนหนึ่งขี่รถม้าและอีกคนจ้องเขมือบมาที่ซูจือเย่ว แม้ว่ารถม้าจะไปไกลแล้ว แต่ซูจือเย่วก็ยังรู้สึกได้ว่าคนผู้นั้นกำลังจ้องดูเขาราวกับว่าเป็นโจรขโมย
ซูจือเย่วมองดูรถม้าที่ค่อย ๆ หายไปจากถนน เมื่อครู่ที่เขาดึงแขนเสื้ออันผิงจวิ้นจู่ นางก็หันกลับมาเหลือบมองเขาอย่างอ่อนโยน
ความเฉยชาในดวงตาคู่นั้น ไม่มีตัวตนราวกับว่ากำลังมองอากาศ
แม้ว่าเขาจะยืนอยู่ตรงหน้านาง นางก็ยังคงมองไม่เห็นเขา ซูจือเย่วเดินโซเซอย่างคนพ่ายแพ้และอีกสองก้าวก็จะล้มลงที่พื้นแล้ว เมื่อหลายชิ่งที่แอบซ่อนอยู่ด้านหลังมาตลอดเห็นเช่นนี้ ก็รีบเข้ามาประคองนายท่านของตนเองไว้และมองดูนายท่านที่มีท่าทางผิดหวังเล็กน้อย หลายชิ่งจึงอดไม่ได้ที่จะพูดขึ้น “คุณชาย เหตุใดท่านถึงทำเช่นนี้ เดิมทีในสายตาอันผิงจวิ้นจู่ก็ไม่เคยมีท่าน”
หลายชิ่งยิ่งคิดก็ยิ่งเศร้าและพูดขึ้นอย่างไม่คิด “คุณชาย ท่านมีฐานะเช่นนี้อยากหาคุณหนูแบบไหนก็หาได้ ท่านดูสิ หมิงตูจวิ้นจู่เป็นผู้ทรงเกียรติและยังชื่นชมศรัทธาท่าน คุณชายโดดเด่นมากเช่นนี้ แต่อันผิงจวิ้นจู่เป็นเพียงสาวชาวบ้านจากชนบท แต่โชคดีที่มีความรู้ความสามารถ ฝ่าบาทจึงได้ถูกใจและมีพระราชโองการแต่งตั้งให้นางเป็นอันผิงจวิ้นจู่ก็เท่านั้น ท่านมีฐานะที่สูงศักดิ์เพียงนี้ หมิงตูจวิ้นจู่ถึงจะคู่ควรกับท่าน”
หลายชิ่งร้อนรนจึงพูดอย่างไม่มีกาลเทศะ เมื่อซูจือเย่วได้ยินก็ตะโกนขึ้นอย่างเย็นยะเยือก “หุบปาก”
……….