ทะลุมิติไปเป็นสาวนาผู้ร่ำรวย - บทที่ 1718 รอให้พ้นปีใหม่ไปก่อน
บทที่ 1718 รอให้พ้นปีใหม่ไปก่อน
เมื่อหลายชิ่งได้ยินสิ่งนี้ เขาก็หยุดพูดทันที
ในใจของเขารู้สึกไม่ยุติธรรมต่อเจ้านายของตนเอง
คุณชายมีคุณสมบัติเพียบพร้อมและท่วงทีผ่าเผยสง่างาม เดิมทีคุณชายเป็นเหมือนดวงอาทิตย์ที่เจิดจ้า แต่เมื่อเขาได้พบกับอันผิงจวิ้นจู่ก็กลายเป็นดอกไม้ที่อ่อนโยนและพร้อมถูกอันผิงจวิ้นจู่เหยียบย่ำได้ตลอดเวลา
อย่างไรก็ตาม ตอนนี้ในใจของซูจือเย่วรู้สึกสับสน
ในอดีต หมิงตูจวิ้นจู่เคยสัมผัสเขาหรือปล่อยให้ตนเองสัมผัสนางโดยตั้งใจหรือไม่ตั้งใจ แต่ไม่เคยเลยสักครั้งที่เขารู้สึกว่าหัวใจของเขาเหมือนถูกไฟรน ในตอนนี้อาการชาแบบนั้นทำให้เขาเกิดความมึนงงและหลงระเริงไปกับมัน
“หลายชิ่ง กลับบ้านกันเถอะ” ซูจือเย่วดูเหมือนจะครุ่นคิดอะไรบางอย่างออก และพูดอย่างตื่นเต้นหลังจากที่ความคับข้องใจเมื่อครู่หายไป
อารมณ์ของหลายชิ่งดีขึ้นทันทีเมื่อเห็นนายน้อยดีขึ้น แต่ก็ยังรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย แต่เขาก็สะบัดแส้ในมือ และรถม้าก็แล่นไปทางจวนตระกูลซู
อีกด้าน หลังจากที่หมิงอ๋องพาซูหลินและซูหมิ่นกลับไปที่จวนหมิงอ๋องแล้ว ซูหมิ่นก็เอาแต่ทำเสียงฮึดฮัดไม่พอใจ วันนี้นางได้รับความคับข้องใจเป็นอย่างมาก
“ท่านพ่อ ท่านต้องล้างแค้นให้หมิ่นเอ๋อร์ หมิ่นเอ๋อร์จะทนรับความอัปยศเช่นนี้ได้อย่างไร” ซูหมิ่นร้องไห้คร่ำครวญ
ทำตัวโง่เขลาและคุกเข่าในที่สาธารณะ ซูหมิ่นไม่เคยประสบกับเรื่องแบบนี้ แต่คราวนี้ไม่เพียงแต่นางได้สัมผัสกับมันเท่านั้น แต่นางยังปล่อยให้กู้เสี่ยวหวานเล่นตลกกับนางซ้ำแล้วซ้ำเล่า
นางต้องคัดลอกคำเตือนของต้าชิงเป็นร้อยครั้ง นับตั้งแต่ฮ่องเต้ขึ้นครองบัลลังก์ ไม่เคยมีใครต้องคัดลอกคำเตือนเลย แต่นาง…. ซูหมิ่นเป็นจวิ้นจู่คนแรกที่ต้องคัดลอกคำเตือนร้อยครั้งเป็นครั้งแรก
ความอัปยศอดสูเช่นนี้ ซูหมิ่นจะไม่รู้สึกคับข้องใจได้อย่างไร นางร้องไห้และนั่นทำให้ใบหน้าของหมิงอ๋องมืดมนลง
“ท่านพ่อ หมิ่นเอ๋อร์พูดถูก กู้เสี่ยวหวานผู้นี้เจ้าเล่ห์เกินไป ครั้งที่แล้วนางทำให้แผนของเราพังลงไปและครั้งนี้นางทำให้น้องสาวของข้าอับอาย เราต้องจัดการให้ดีไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม” ซูหลินกัดฟันพูด
หมิงอ๋องขมวดคิ้วแน่นตลอดเวลา และหลังจากได้ยินคำพูดของซูหลิน เขาก็รู้สึกงงงวยมากยิ่งขึ้น เมื่อเห็นลูกสาวร้องห่มร้องไห้ หัวใจของหมิงอ๋องก็อ่อนลงทันที เขาพูดกับไฉ่เยว่ที่อยู่ข้าง ๆ ว่า “ช่วยพาจวิ้นจู่กลับไปที่ห้องและดูแลนางให้ดี ซูหมิ่นไม่ต้องกังวล ข้าจะจัดการเรื่องนี้ให้เจ้าอย่างแน่นอน”
ดูเหมือนว่าจะไม่สามารถเก็บผู้หญิงคนนั้นไว้ได้
เมื่อเห็นว่าบิดาตกลงที่จะช่วยแล้ว ซูหมิ่นก็คลี่ยิ้มอย่างพอใจ “ขอบคุณท่านพ่อ ขอบคุณท่านพี่”
เมื่อซูหมิ่นจากไปจนเหลือเพียงหมิงอ๋องและซูหลินเท่านั้น ซูหลินเห็นว่าท่านพ่อของเขาขมวดคิ้ว ดังนั้นจึงถามอย่างเป็นกังวล “ท่านพ่อ ท่านกำลังกังวลเป็นเรื่องใดอยู่หรือขอรับ”
“กู้เสี่ยวหวานคนนี้ ข้ารู้สึกว่ามีบางอย่างแปลก” หมิงอ๋องส่ายหน้าและพูดขึ้น แต่เขาไม่สามารถบอกได้ว่ามีอะไรผิดปกติ
เมื่อเห็นท่าทางระมัดระวังของท่านพ่อ ซูหลินอดไม่ได้ที่จะหัวเราะและพูดว่า “ท่านพ่อ นางเป็นเพียงสาวจากชนบทเท่านั้น นางรู้บทกวีและบทเพลง รู้วิธีสร้างกิจการ และรู้วิธีทำอาหารเพียงไม่กี่อย่างเท่านั้น แปลกตรงไหน?”
หมิงอ๋องไม่พูด นี่เป็นสิ่งที่เขารู้สึกแปลก
นางเป็นเพียงหญิงสาวจากชนบท แต่สิ่งที่นางทำ ทำให้ผู้คนรู้สึกว่ามีสายตาคู่หนึ่งเฝ้ามองจากข้างหลังพวกเขาเพื่อรอที่จะจับพวกเขาทั้งหมดได้ตลอดเวลา
“เรื่องของโหยวฝ่างฉิน ใครเป็นคนเรียกแม่นมคนนั้นมา” หมิงอ๋องถามขึ้นทันที
ซูหลินไม่คาดคิดว่าหมิงอ๋องจะถามเกี่ยวกับโหยวฝ่างฉินอีกครั้ง ดังนั้นเขาจึงคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “แม่นมผู้นั้นบอกว่าโหยวฝ่างฉินใจดีกับนาง และเมื่อนางเห็นว่าโหยวฝ่างฉินถูกคุมขัง นางจึงรีบมายังเมืองหลวงเพื่อช่วยเหลือทันที
“เจ้าไม่คิดว่าเมื่อพี่เลี้ยงคนนั้นมาถึง การตายของโหยวฝ่างฉินก็เร็วขึ้น” หมิงอ๋องคิดว่ามันแปลก แต่เขาไม่สามารถอธิบายได้ คนที่กระตือรือร้นที่จะปกปิดความผิดของเขาจะปล่อยให้คนที่รู้ความผิดของเขามาได้อย่างไร?
ซูหลินตกตะลึง แต่หลังจากนั้นไม่นานก็เข้าใจ “ท่านพ่อ ท่านหมายความว่าอย่างไร”
หมิงอ๋องพยักหน้า “ข้าเกรงว่าจะมีคนอยู่เบื้องหลังในการเรียกนางมา”
“เรียกมาหรือ มันจะเป็นไปได้อย่างไร” ซูหลินถามด้วยความประหลาดใจ “ข้าได้ตรวจสอบทุกคนที่รู้จักตัวตนและภูมิหลังของกู้เสี่ยวหวานแล้ว นางไม่มีความสามารถมากพอที่จะค้นหาการมีอยู่ของแม่นมคนนี้”
“นางมีความสัมพันธ์ที่ดีกับฮู้กั๋วจวิ้นจู่” คนตระกูลถานเป็นตัวละครที่ไม่ควรประมาท
“ข้าได้ยินมาว่าฮู้กั๋วจวิ้นจู่และกู้เสี่ยวหวานผู้นี้เป็นสหายกัน และทั้งคู่ถือว่าเป็นพี่น้องกัน” ซูหลินตอบ “ท่านพ่อหมายถึงท่านแม่ทัพก็มีส่วนเกี่ยวข้องด้วยหรือ”
“เจ้าไม่คิดเช่นนั้นหรือ” หมิงอ๋องถามกลับ “ไม่เช่นนั้นเจ้าคิดว่าอันผิงจวิ้นจู่ที่ไม่มีอำนาจจะมีความสามารถ และรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับโหยวฝ่างฉินในตอนนั้นได้อย่างไร”
“อันที่จริง หากไม่มีสายลับก็จะไม่มีใครรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นในตอนนั้น” ซูหลินผงกศีรษะและพูด แต่แล้วก็ชะงักไปเล็กน้อย “ท่านพ่อ เราจะทำอย่างไรต่อไปดี?”
“ผู้หญิงคนนี้ รอจนกว่าจะพ้นช่วงปีใหม่ไป” หมิงอ๋องถอนหายใจและพูดว่า “หมิ่นเอ๋อร์ต้องคัดคำเตือนของต้าชิงเป็นร้อยจบ และข้าเกรงว่าจะใช้เวลาหลายเดือน วังกุ้ยเฟยกำลังช่วยหมิ่นเอ๋อร์อ้อนวอน เมื่อผ่านช่วงนี้ไปเจ้าก็ต้องแสดงให้ดี”
“ตกลง” ซูหลินพยักหน้าตอบรับเช่นกัน “ข้าเข้าใจแล้ว”
กู้เสี่ยวหวานผู้นี้อยู่ในเมืองหลวง ดังนั้นจึงไม่ใช่ภัยคุกคามอะไร และพวกเขาจะต้องมีวิธีจัดการในอนาคต เสียงภายในห้องเงียบลง แต่ทันใดนั้นก็เอ่ยเสียงขึ้นแผ่วเบาที่ได้ยินกันเพียงสองคน “มีข่าวจากที่นั้นบ้างหรือไม่”
ซูหลินส่ายหน้า “ไม่มี การค้นหาใครบางคนในทะเลอันกว้างใหญ่นี้ยากกว่าการปีนขึ้นไปบนท้องฟ้าเสียอีก ต้องใช้เวลาหลายปีในการไขปริศนาเหล่านั้น นับประสาอะไรกับการตามหาคน”
“ตามหามาหลายปีแล้ว แต่ก็ยังไม่เจอใครเลย เสียเวลาจริง ๆ” เมื่อหมิงอ๋องได้ยินสิ่งนี้ เขาก็ตบฝ่ามือลงบนเก้าอี้ไม้ด้วยความโกรธ ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความโกรธ และคิ้วหนาก็ขมวดแน่น
“ท่านพ่อ ท่านลองดูว่าเราต้องส่งคนไปสืบเรื่องนี้อีกหรือไม่” เมื่อเห็นว่าหมิงอ๋องโกรธ ซูหลินก็ขมวดคิ้วเช่นกัน
“ไม่จำเป็น เจ้าปล่อยให้จ้าวเซิงค้นหาต่อไป นอกจากนี้เราก็ควรระมัดระวังและอย่าแสดงท่าทีออกไป”
“รับทราบ”
“น้องสาวของเจ้าอาจจะโกรธอยู่ในขณะนี้ อีกครู่เจ้าก็ไปเตือนสตินาง เพื่อสถานการณ์โดยรวม ช่วงนี้อย่าให้นางยั่วยุกู้เสี่ยวหวาน”
ห้องหนังสือเงียบสงัด และหลังจากนั้นไม่นานซูหลินก็ผลักประตูและออกไปด้วยสีหน้านิ่งสงบ
หลังจากที่ซูหมิ่นกลับไปที่สวนของนาง ยิ่งคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้นางก็ยิ่งโกรธและทำลายทุกอย่างที่นางเห็น ภายในเวลาไม่นานทุกสิ่งที่สามารถแตกได้ในบ้านก็ถูกทำลายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย บรรดาสาวรับใช้พี่เลี้ยงและคนใช้ทั้งหมดต่างคุกเข่าลงบนพื้น พวกเขาหวาดกลัวจนไม่กล้าส่งเสียง มีเพียงเสียงเดียวในลานนบ้านคือเสียงข้าวของที่แตกเป็นเสี่ยง ๆ และเสียงคำรามอย่างบ้าคลั่งของซูหมิ่น
เมื่อซูหลินเดินเข้าไป บังเอิญมีแจกันลอยมาตกลงบริเวณห้องน้ำ และมันก็แตกเป็นเสี่ยง หากเขาหลบไม่ทันอาจจะเกิดเป็นแผลได้
เมื่อเห็นว่าเกือบโดนซูหลิน ความโกรธของซูหมิ่นก็สงบลงและนางก็เหนื่อยจากการทำลายข้าวของ ดังนั้นนางจึงนอนลงบนเตียงนุ่มและหลับตาเพื่อพักผ่อน
มองไปที่เศษซากในห้องที่แทบไม่มีพื้นที่ให้เหยียบและคนรับใช้ที่คุกเข่าอยู่ที่พื้นข้างนอก เศษชิ้นส่วนกระเด็นโดนศีรษะของผู้รับใช้บางคนและทำให้เกิดบาดแผล แต่ไม่มีใครกล้าเช็ดเลือด และคุกเข่านั่งลงด้วยความกลัว
ซูหลินมองดูน้องสาวที่หยิ่งยโสคนนี้และส่ายหน้าอย่างช่วยไม่ได้ “ทำลายมันหมดแล้วรู้สึกดีขึ้นหรือไม่”
“ไม่ หากไม่ฆ่านางก็ยากที่จะดีขึ้น”
ในขณะนี้ แสงที่รุนแรงปรากฏขึ้นบนใบหน้าที่สดใสนั้น ใบหน้าที่สดใสของนางดูน่ากลัวราวกับมีวิญญาณร้าย
ซูหลินพบโต๊ะที่สะอาดจึงนั่งลงและพูดว่า “ท่านพ่อขอให้ข้าบอกเจ้าว่าในช่วงเวลานี้เจ้าควรคัดลอกคำเตือนของต้าชิงและระมัดระวังอย่าสร้างปัญหาอื่น”
“ท่านพี่ วันนี้กู้เสี่ยวหวานทำให้ข้าอับอายมาก ข้าจะไม่โกรธขนาดนี้ได้อย่างไร” เมื่อเห็นว่าท่านพี่ของนางพูดว่าไม่ควรสร้างปัญหา ซูหมิ่นก็กัดฟันพูดทันที
ซูหลินเห็นว่าซูหมิ่นต้องการสะสางบัญชีกับกู้เสี่ยวหวานจริง ๆ ดังนั้นเขาจึงเตือน “ท่านพ่อสัญญากับเจ้าแล้วว่าเขาจะช่วยจัดการให้เจ้า โดยธรรมชาติเจ้าก็สบายใจได้ ในช่วงนี้เจ้าสามารถคัดลอกคำเตือนได้อย่างสบายใจและไม่จำเป็นต้องกังวลกับสิ่งอื่น”
“ท่านพี่” ซูหมิ่นจะไม่สนใจได้อย่างไร นางหวังว่ากู้เสี่ยวหวานจะถูกฉีกเป็นชิ้น ๆ ต่อหน้านาง
“เจ้าไม่ต้องกังวล ท่านพ่อและข้าจะทำลายชื่อเสียงของนางในฐานะเด็กสาวจากชนบทอย่างแน่นอน วันหนึ่งท่านพ่อจะทำให้นางตกต่ำ นับประสาอะไรกับอันผิงจวิ้นจู่ ในอนาค หากนางไม่สามารถแม้แต่จะเป็นสาวชาวนาธรรมดาได้ นางคงไม่สามารถคิดถึงเรื่องนี้ไปตลอดชีวิต” ซูหลินกล่าวอย่างขมขื่น
การที่กู้เสี่ยวหวานทำให้หมิ่นเอ๋อร์ต้องอับอายหมายถึงการทำให้ทุกคนในจวนหมิงอ๋องต้องอับอายเช่นกัน นี่ไม่ใช่สิ่งที่สำคัญที่สุด ประเด็นสำคัญคือผู้หญิงคนนี้ร่วมมือกับตระกูลถานเพื่อจัดการกับหมิงอ๋อง
ถ้าอย่างนั้นก็อย่าตำหนิหมิงอ๋องว่าโหดร้ายและไร้ความปรานี ดึงคนหนึ่งลงมาจากแท่นไม่พอและยังดึงอีกคนออกจากแท่นอีกด้วย
เมื่อเห็นท่านพี่บอกว่ากู้เสี่ยวหวานจะถูกทำลาย นี่เป็นสิ่งที่ซูหมิ่นต้องการเห็นมากที่สุด หากนางไม่ใช่สาวชาวนาธรรมดา ท่านพี่จือเย่วจะยังตกหลุมรักนางอยู่อีกหรือไม่?
……….