ทะลุมิติไปเป็นสาวนาผู้ร่ำรวย - บทที่ 1720 มอบกายให้ท่าน
บทที่ 1720 มอบกายให้ท่าน
กลิ่นลมหายใจอันหอมหวาน เพียงชั่วพริบตาถูกริมฝีปากอุ่นร้อนกลืนกิน ปลายจมูกคลุ้งกรุ่นไปด้วยกลิ่นเสน่หา
เมื่อจูบจนพอใจ ดวงหน้าเนียนขึ้นสีแดงเข้มและร้อนผะผ่าว โชคดีที่ภายในห้องมืดสนิทไร้แสงตะเกียง ดังนั้นฉินเย่จือจึงไม่เห็นท่าทางเขินอายของนาง
มีเพียงจังหวะการหายใจที่ทำให้เขารู้ว่านางแปลกไป
ฉินเย่จือพยายามอย่างมากเพื่อสงบสติอารมณ์ ก้มศีรษะซุกลงบนซอกคอของกู้เสี่ยวหวาน ลมหายใจอุ่น ๆ เป่าลำคอเรียวครั้งแล้วครั้วเล่า
ชายหนุ่มสัมผัสได้ว่าคนในอ้อมแขนแข็งทื่อราวกับพยายามอดกลั้นอะไรบางอย่าง
กู้เสี่ยวหวานเข้าใจว่าอีกฝ่ายกำลังรู้สึกอย่างไร จึงโอบกอดและลูบหลังเขาเบา ๆ ครั้งแล้วครั้งเล่า รอให้ลมหายใจของเขาสงบลง แล้วเริ่มคุยกัน
“หวานเอ๋อร์ ข้าคิดถึงเจ้า”
“ข้าก็คิดถึงท่านเช่นกัน” กู้เสี่ยวหวานขยับตัวเบียดเข้าหาอ้อมกอดอีกฝ่าย จับมือของฉินเย่จือแน่น และกอดเอวแกร่งด้วยมืออีกข้างหนึ่ง
ในทางกลับกัน ฉินเย่จือแตะเท้าของกู้เสี่ยวหวาน และเป็นดังที่คาดไว้ ฝ่าเท้าของนางเย็นเยียบ ดังนั้นเขาจึงรีบถอดเสื้อผ้าท่อนบนของตัวเองออก จากนั้นดึงเท้านุ่นนิ่มสู่อ้อมแขนเพื่อให้ความอบอุ่นหญิงสาว
เมื่อเท้าแสนเย็นเฉียบสัมผัสกับท้องอันอบอุ่นชายหนุ่มก็รู้สึกได้ถึงกระแสน้ำอุ่นที่ไหลเวียนไปทั่วร่างกาย
หลังจากนั้นไม่นาน เท้าที่เย็นก็ค่อย ๆ อุ่นขึ้นราวกับได้รับความร้อนจากเตาอุ่น
ไม่สิ มันดียิ่งกว่าเครื่องทำความร้อนเสียอีก
เมื่อนางเปรียบเทียบฉินเย่จือกับเตาอุ่น กู้เสี่ยวหวานก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะเมื่อคิดถึงสิ่งนี้ ครั้นเห็นรอยยิ้มของอีกฝ่าย ฉินเย่จือก็มีความสุขเช่นกัน “เจ้าหัวเราะอะไร”
“ข้าหัวเราะท่าน ท่านเหมือนกับเตาอุ่นส่วนตัวของข้า” กู้เสี่ยวหวานพูดด้วยรอยยิ้ม
เท้าขาวเล็กเริ่มอุ่นขึ้น แต่เขาก็ยังลังเลที่จะปล่อย และยังคงวางเท้าของนางไว้ที่หน้าท้องตนเอง จับเท้าเล็กไว้ในฝ่ามือขนาดใหญ่ ลูบไล้มันแผ่วเบา
ทั้งสองพยายามอดทนจนถึงขีดสุด ดวงตาเปล่งประกายของฉินเย่จือเจือความอ่อนโยน จากนั้นเริ่มหายใจถี่ขึ้น
เมื่อนึกว่าต้องจากไปในอีกไม่ช้า ฉินเย่จือก็รู้สึกไม่เต็มใจอย่างยิ่ง เขากอดกู้เสี่ยวหวานแน่น ก่อนจะพลิกตัวลงและกดนางไว้ใต้ร่างของเขา
คืนนี้อากาศหนาวเหน็บ บรรยากาศด้านนอกขาวโพน
แต่บรรยากาศภายในห้องกลับอบอุ่น
เมื่อมองไปที่ใบหน้าขาวเนียนราวกับหยกเบื้องล่าง คิ้วเรียงตัวสวย และดวงตาที่เปล่งประกายนั้นทำให้เขาหลงใหล และความเปล่งประกายในค่ำคืนนี้ทำให้เขาประหลาดใจมากยิ่งขึ้น
“จากนี้ไป อยู่ให้ห่างจากซูจือเย่ว” ทันใดนั้นฉินเย่จือก็เอ่ยเสียงแผ่วเบา
กู้เสี่ยวหวานตอบรับหนึ่งเสียง จากนั้นก็เข้าใจเจตนาของเขาเป็นอย่างดี “ท่านก็อยู่ที่นั่นด้วยหรือ”
“ตอนนั้นข้าเฝ้าอยู่ที่มุมหนึ่งของห้องโถง ดังนั้นข้าจึงเห็นการกระทำทั้งหมดของเจ้า” ความประหลาดใจฉายชัดในดวงตาฉินเย่จือ “ต่อจากนี้ไปอยูให้ห่างจากเขา”
ตอนนั้นภายในห้องโถงใหญ่ ใบหน้าของซูจือเย่วที่เต็มไปด้วยหลงใหลของอีกฝ่าย นั้นทำให้เขาเหมือนได้เห็นตัวเอง ขณะหวานเอ๋อร์นั้นทรงพลังและโดดเด่น เป็นเรื่องปกติที่ชายอื่นจะชื่นชมนาง อย่างไรก็ตามเขาไม่ต้องการเห็นผู้ชายคนไหนเข้าใกล้นางแม้แต่ก้าวเดียว
“ท่านหึงหรือ” เมื่อได้ยินคำนั้นออกมาจากปากของฉินเย่จือ กู้เสี่ยวหวานมองหยอกเย้าอีกฝ่าย และพลันสังเกตเห็นความขุ่นเคืองบนใบหน้าของเขา
“อืม” ฉินเย่จือเชื่อฟังเป็นพิเศษ “ข้าหึงเจ้า จากนี้ไปเจ้าไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าใกล้เขาหรือชายคนใดอีก”
“ท่านช่างเอาแต่ใจจริง ๆ” กู้เสี่ยวหวานกล่าวเคล้ารอยยิ้ม
หลังจากสิ้นสุดประโยคนั้นก็ก้มศีรษะลงประกบจูบลงริมฝีปากอันอบอุ่นนั้นอีกครั้ง ราวกับต้องการระบายความโกรธ ขบเม้มริมฝีปากแดงระเรื่อราวกับต้องการแสดงความรักทั้งหมดในใจ
ชายหนุ่มผละจากริมฝีปากหอมหวาน เคลื่อนลงลำคอขาวเนียน พรมจูบอย่างแผ่ว ลมหายใจร้อนผ่าวทำให้ร่างกายของนางสั่นสะท้าน
หัวสมองของกู้เสี่ยวหวานว่างเปล่าอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน แขนเรียวยาวโอบกอดคนตรงหน้าแน่นอย่างไม่ตั้งใจ ทำให้ร่างกายของพวกเขาอยู่ใกล้ชิดกันมากกว่าเดิม
“หวานเอ๋อร์ ในชีวิตนี้เจ้าเป็นของข้า เจ้าเป็นของข้าได้คนเดียวเท่านั้น” ฉินเย่จือเงยหน้าขึ้นช้า ๆ มองไปที่ดวงตาพร่ามัวของกู้เสี่ยวหวาน และกดจูบสุดท้ายลงหว่างคิ้วของหญิงสาว จากนั้นก็พลิกตัวและกอดกู้เสี่ยวหวานไว้แน่น พยายามควบคุมลมหายใจให้กลับมาปกติ
เขาเกือบทำพลาดถึงสองครั้งภายในคืนเดียว ไม่สิ ตราบใดที่เขาสัมผัสนาง เขาก็จะสูญเสียการควบคุมตนเอง
ไม่ได้ ไม่ได้ ไม่ได้เด็ดขาด
ทันใดนั้นก็มีเสียงระฆังบอกเวลาดังขึ้นมาจากระยะไกล ตอนนี้เกือบรุ่งสางแล้ว และฉินเย่จือรู้ว่าตนเองไม่สามารถล่าช้าได้
เขาพยายามอย่างดีที่สุดเพื่อระงับแรงกระตุ้นในใจ สายตามองไปที่กู้เสี่ยวหวาน พูดว่า “หวานเอ๋อร์ ตอนนี้ข้ามีเรื่องสำคัญมากที่จะบอกเจ้า โปรดฟังให้ดี”
ครั้นเห็นท่าทางจริงจังของเขา กู้เสี่ยวหวานพลันรู้สึกประหม่าขึ้นมา “พี่เย่จือเป็นอะไรไป?”
“ข้าต้องออกไปข้างนอกสักพัก” ฉินเย่จือพูดอย่างจริงจัง และมองไปที่กู้เสี่ยวหวานด้วยสายตาแน่วแน่
หัวใจของกู้เสี่ยวหวานเต้นไม่เป็นจังหวะ “ไปนานแค่ไหน”
“อย่างน้อยครึ่งปี นานสุดก็หนึ่งปี” นอกจากนี้การเดินทางครั้งนี้อันตรายอย่างยิ่งและเขาไม่สามารถรับประกันได้ว่าเขาจะมีชีวิตกลับมาหรือไม่
เมื่อกู้เสี่ยวหวานได้ยินสิ่งนี้ นางก็เลิกคิ้วขึ้นสูงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็พยักหน้า พูดว่า “ตกลง ข้าจะรอให้ท่านกลับมา อยู่ข้างนอกคนเดียวต้องดูแลตัวเองให้ดี เข้าใจหรือไม่”
เมื่อเห็นว่ากู้เสี่ยวหวานไม่ถามว่าตนเองต้องไปที่ไหน หัวใจของเขาเจ็บปวดราวกับถูกเข็มทิ่มแทง
นางเชื่อมั่นในตัวเขา เชื่อมั่นในตัวเองอย่างไม่มีเงื่อนไข ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น นางเชื่อมั่นในตัวเขาเท่านั้น
“ตกลง เจ้าเองก็ต้องดูแลตัวเองให้ดี ในระหว่างนี้อย่าเพิ่งกลับเมืองหลิวเจีย เมื่อวานเจ้าสร้างความขุ่นเคืองให้จวนหมิงอ๋อง ข้ากลัวพวกเขาจะไม่ปล่อยเจ้าไป ถ้าเจ้ากลับไปที่เมืองหลิวเจียอาจจะเกิดอันตรายได้ องค์หญิงลี่หัวไว้ใจเจ้า หากมีปัญหาใด เจ้าสามารถไปหานางหรือฮู่กั๋วจวิ้นจู่ได้” ฉินเย่จือรู้สึกร้อนรุ่มอย่างอธิบายไม่ได้ เมื่อเขาคิดถึงท่าทางของนางในห้องโถงในคืนนี้
กู้เสี่ยวหวานพยักหน้าซุกอยู่ในซอกคอของเข้า พยายามทำให้เสียงของนางดูปกติ “ตกลง ไม่ต้องห่วง ข้าจะอยู่ที่นี่และรอท่านกลับมา”
“หวานเอ๋อร์ เมื่อข้ากลับมา ข้าจะบอกเจ้าทุกอย่าง”
ฉินเย่จือสัมผัสผมยาวนุ่มของคนที่อยู่ในอ้อมแขน และพูดอย่างหนักแน่น
“ตกลง” กู้เสี่ยวหวานหลับตาลง หยาดน้ำตาร่วงหล่นลงมาราวกับลูกปัดที่ด้ายขาด ทำให้เสื้อผ้าของฉินเย่จือเปียกชื้น
กู้เสี่ยวหวานพยามยามอย่างมากเพื่อจะปรับลมหายใจให้เป็นปกติ พยายามกลั้นน้ำตา เพื่อไม่ให้ฉินเย่จือเป็นกังวล
“สถานที่ที่ท่านไปอันตรายหรือไม่” ในที่สุดกู้เสี่ยวหวานก็อดไม่ได้ที่จะถามคำถามที่นางอยากจะถามมากที่สุด
ฉินเย่จือนิ่งเงียบอยู่ เขาไม่สามารถีรับประกันสิ่งใดได้เลย
เขาไม่กล้าบอกความจริง เพราะกลัวว่ากู้เสี่ยวหวานจะเป็นห่วงตนเอง แต่เขาก็ไม่กล้าโกหก หากมีอะไรเกิดขึ้นจริง ๆ…
ฉินเย่จือไม่พูดและความโศกเศร้าในใจของกู้เสี่ยวหวานก็ยิ่งแย่ลงไปอีก ถ้าเขาไม่พูดแสดงว่าการเดินทางครั้งนี้มีความเสี่ยงที่เขาไม่รู้ด้วยซ้ำ
บรรยากาศระหว่างทั้งสองค่อนข้างน่าอึดอัด กู้เสี่ยวหวานรีบหัวเราะอย่างติดตลก “พี่เย่จือ ท่านต้องปลอดภัยกลับมา ข้าจะรอท่านเสมอ”
ข้าจะรอให้ท่านกลับมาอย่างปลอดภัย และข้าจะรอท่านเสมอ
ใครจะรู้ว่าการรอคอยนี้จะยาวนานเพียงใด
เมื่อฉินเย่จือได้ยินสิ่งนี้ เขาก็กระชับกอดแน่น แต่ก็ไม่ได้เอ่ยสิ่งใดออกมาสักคำ อ้อมกอดนี้ นางจะไม่รู้ความหมายของมันได้อย่างไร เกรงว่าการเดินทางครั้งนี้จะอันตรายมากจริง ๆ
กู้เสี่ยวหวานอยากจะร้องไห้โฮออกมา อยากจะกอดเขาและไม่ยอมปล่อยเขาไป อย่างไรก็ตาม ทุกคนมีหน้าที่ของตัวเอง เขาแบกความแค้นมากมายเอาไว้ หากเขาไม่แก้แค้น ชีวิตนี้ของเขาจะไม่สงบสุข
นางจึงต้องปล่อยเขาไป
“หวานเอ๋อร์ ข้าอยากเป็นเตาอุ่นของเจ้าไปตลอดชีวิตเพื่อบรรเทาไอหนาวให้เจ้า”
ฉินเย่จือจะตายได้อย่างไร ในชีวิตนี้ ไม่ง่ายเลยที่เขาจะพบผู้หญิงที่เขารักที่สุด
ไม่สำคัญว่าใครจะด่าเขาว่าเห็นแก่ตัวหรือไร้มนุษยธรรม ในชีวิตนี้เขาต้องการเพียงนางคนเดียวเท่านั้น และเขายังหวังว่าผู้หญิงคนนี้จะเป็นของเขาคนเดียวไปตลอดชีวิต
แม้ว่าเขาจะไม่กลับมาจริง ๆ
“ตกลง” แม้ว่าเขาจะไม่อาจเอาชีวิตรอดกลับมาได้ นางก็จะอยู่คนเดียวไปตลอดชีวิต
หลังจากพูดจบ กู้เสี่ยวหวานก็จับมือของฉินเย่จือค่อย ๆ สอดมือเข้ามาในเสื้อผ้าของตนเอง สัมผัสผิวเนียนนุ่มราวกับปุยนุ่น แม้ว่าร่างกายจะสั่นเทาก็ตาม
“หวานเอ๋อร์” เมื่อเห็นการกระทำที่กล้าหาญของนาง ฉินเย่จือก็รู้สึกว่าจิตใต้สำนึกของเขากำลังส่งเสียงร้องคำราม
อาการชาวาบที่ปลายนิ้ว ตอนนี้กระจายไปทั่วร่างกายของเขาราวกับทำให้เขาสูญเสียความสามารถในการคิด
“พี่เย่จือ ข้าจะมอบกายข้าให้ท่าน” กู้เสี่ยวหวานยังคงรั้งมือของเขาเอาไว้ คราวนี้ฝ่ามือใหญ่วางบนหน้าท้องอันอบอุ่น
ฉินเย่จือไม่มีความสามารถในการคิดอีกต่อไป
แม้ว่าทั้งสองคนจะเคยนอนร่วมเตียงเดียวกัน แต่ฉินเย่จือก็ไม่เคยข้ามเส้น แม้ว่าพวกเขาจะกอดกัน แต่ก็ไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้น แต่ตอนนี้มือของฉินเย่จือสัมผัสผิวหนังภายใต้เสื้อผ้าของกู้เสี่ยวหวาน นับว่าเป็นครั้งแรก
……….