ทะลุมิติไปเป็นสาวนาผู้ร่ำรวย - บทที่ 1724 นางเป็นคนต่ำต้อย
บทที่ 1724 นางเป็นคนต่ำต้อย
หลิวซืออี๋และหลิวเสวี่ยอิ๋งได้รับการประคองจากสาวใช้ และเดินออกจากสวนชิงด้วยร่างกายอันสั่นเทา ทันทีที่ขึ้นรถม้าได้ หลิวเสวี่ยอิ๋งก็ตบหน้าหลิวซืออี๋ที่นั่งถัดจากตนพลางตวาดเสียงดังลั่น “พูดกันแล้วไม่ใช่หรือว่าจะมาที่นี่เพื่อเยี่ยมนางเท่านั้น เจ้ากล้าดีอย่างไรที่จะร้องขออันผิงจวิ้นจู่ออกไปแบบนั้น นางเป็นจวิ้นจู่ เจ้าคิดว่านางเป็นนักแสดงของเจ้าอย่างนั้นหรือ”
หลิวจวีซ่านเป็นพ่อของหลิวซืออี๋ และเป็นท่านอาของนาง เขาเป็นน้องชายของหลิวจวีถงพ่อของนาง ได้ยินมาว่าเขาใช้ชีวิตฟุ่มเฟือย แม้ว่าเขาจะเป็นขุนนางระดับห้า เพราะเขาเป็นเจ้าเมืองจึงไม่มีใครสามารถเข้าไปยุ่งได้ ไร้กฎหมายและเลี้ยงดูนางรำไว้มากมาย
หลิวเสวี่ยอิ๋งอ่อนโยนอยู่เสมอ และไม่เคยพูดจารุนแรง หลิวเสวี่ยอิ๋งเป็นคนที่หลิวซืออี๋สามารถรับมือได้ง่าย แต่จะรู้ได้อย่างไรว่านางจะตบหลิวซืออี๋
หลิวซืออี๋งดงามและเป็นที่รักของหลิวจวีซ่าน นางมักจะถูกเอาใจ ครั้งนี้หลิวจวีซ่านมาที่เมืองหลวงเพื่อฉลองวันเกิดของไทเฮาและพานางมาด้วย แต่เพราะนางไม่มีสถานะ ดังนั้นนางจึงไม่สามารถเข้าวังหลวงได้ หลิวจวีซ่านพ่อของนางเป็นคนบอกว่าการร่ายรำอันโด่งดังของกู้เสี่ยวหวานทำให้คนทั้งห้องโถง ทั้งไทเฮาและฮ่องเต้ต่างชื่นชม
หลิวจวีซ่านยังบอกหลิวซืออี๋ว่าจวนของอันผิงจวิ้นจู่นั้นเลี้ยงดูนักแสดงไว้มากมาย และถ้าสามารถหาคนแบบนี้ได้ก็จะกลายเป็นคนโดดเด่น
ทันทีที่หลิวซืออี๋ได้ยินบิดาพูดแบบนี้ นางจึงตัดสินใจมาหากู้เสี่ยวหวาน ดังนั้นนางจึงพูดเมื่อไม่กี่วันก่อนว่าต้องการพบกับอันผิงจวิ้นจู่ และขอให้หลิวเสวี่ยอิ๋งมากับนาง หลิวเสวี่ยอิ๋งก็มีความคิดนี้มานานแล้วเพราะอยากผูกมิตรกับอันผิงจวิ้นจู่ผู้นี้ที่มีชื่อเสียงในเมืองหลวง
อย่างไรก็ตามพวกนางเห็นพ้องต้องกันอย่างชัดเจนว่าจะมาที่นี่เพื่อเยี่ยม แต่จะรู้ได้อย่างไรว่าการที่พวกนางมาที่นี่จะกลายเป็นหลิวซืออี๋มาเพื่อกลั่นแกล้งอันผิงจวิ้นจู่
หลิวซืออี๋ปฏิบัติต่ออันผิงจวิ้นจู่เหมือนนักเต้นในครอบครัวของนางจริง ๆ และบอกอันผิงจวิ้นจู่ว่าต้องการดูการเต้นรำของนาง นางช่างใจร้อนจริง
ถ้าอยากตายก็อย่าลากนางไปด้วย
หลิวเสวี่ยอิ๋งโกรธมากและหลิวซืออี๋ที่ถูกตบก็ปิดหน้าและตะโกนด้วยความโกรธ “หลิวเสวี่ยอิ๋ง เจ้ากล้าดีอย่างไรมาตบข้า!”
หลิวซืออี๋จ้องหลิวเสวี่ยอิ๋งอย่างโกรธเคืองราวกับกำลังมองไปที่ศัตรู ใบหน้าของนางเต็มไปด้วยความไม่เชื่อ “เจ้าตบข้าเพราะหญิงชนบทอย่างนั้นหรือ?”
“เจ้ารู้ไหมว่าวันนี้เจ้าไปทำให้ใครขุ่นเคือง อย่าว่าแต่ข้าตบเจ้าเลย เมื่อกลับไปหาท่านพ่อของข้า ท่านพ่อของเจ้าก็จะทุบตีเจ้าด้วย” หลิวเสวี่ยอิ๋งง้างมือขึ้นอีกครั้งอย่างโกรธจัด เมื่อเห็นว่าลูกพี่ลูกน้องที่โง่เขลาคนนี้ยังคงดื้อรั้น “นางคืออันผิงจวิ้นจู่”
“ถุย” จู่ ๆ หลิวซืออี๋ก็ถ่มน้ำลายใส่หน้าอีกฝ่ายเมื่อได้ยินสิ่งนี้
ทำให้ใบหน้าของหลิวเสวี่ยอิ๋งเต็มไปด้วยคราบน้ำลาย นางตะลึงไปครู่หนึ่ง เมื่อเห็นลูกพี่ลูกน้องที่หยาบคายคนนี้จนลืมวิธีโต้กลับ “นางเป็นเพียงสาวชาวนาต่ำต้อย ข้าขอให้นางเต้นรำให้ดู นั่นคือข้าให้เกียรตินางแล้ว”
หลิวเสวี่ยอิ๋งตกตะลึงกับคำพูดขอ หลิวซืออี๋ ตอนนี้นางลืมที่จะเช็ดน้ำลายบนใบหน้าของนาง “เจ้าพูดว่าอะไรนะ?”
“นางเป็นสาวชาวนาต่ำต้อย ข้าขอให้นางเต้นรำให้ข้าดู นั่นคือข้าให้เกียรตินางแล้ว”
หลิวซืออี๋กัดฟันพูดซ้ำอีกครั้งด้วยความเกลียดชัง “เพียงแค่นางยกระดับตัวเองขึ้นมาได้ แต่ในชาติกำเนิดของนางก็ยังต่ำต้อยที่สุด ข้าคือคุณหนูของเจ้าเมืองทงโจว สถานะของข้าสูงส่งกว่านาง การที่ให้นางเต้นให้ข้าดูจะเป็นอะไรไป”
“ตอนนี้นางเป็นจวิ้นจู่ระดับสองมียศสูงกว่าเจ้าหรือข้า และท่านพ่อของพวกเรามาก”ในที่สุดหลิวเสวี่ยอิ๋งก็เข้าใจสิ่งที่ลูกพี่ลูกน้องของนางพูดและกรีดร้องอย่างน่ากลัว
“ให้ตายเถอะ นางก็แค่คนต่ำต้อย มีเพียงคนอย่างองค์หญิงและหมิงตูจวิ้นจู่เท่านั้นมีสายเลือดอันสูงส่งที่แท้จริง กู้เสี่ยวหวานเป็นแค่นกกระจอกที่อยู่บนกิ่งไม้ นกกระจอกก็คือนกกระจอก อย่าคิดว่าแค่โบยบินขึ้นกิ่งไม้แล้วจะกลายเป็นหงส์ได้”
หลิวเสวี่ยอิ๋งลืมที่จะปฏิเสธ นางมองไปที่ลูกพี่ลูกน้องที่พูดถึงสถานะของกู้เสี่ยวหวานอยู่ตลอดเวลาด้วยความไม่เชื่อ และเป็นครั้งแรกที่สงสัยว่าลูกพี่ลูกน้องที่เชื่อฟังและมีเหตุผลก่อนหน้านี้นั้นปลอมตัวมาหรือไม่
“ข้ามาเยี่ยมนางต่อหน้าเพราะให้เกียรตินาง แม้ว่าจะเป็นจวิ้นจู่ แต่สายเลือดของนางก็ต่ำต้อย และนางก็เป็นคนต่ำต้อยที่สุด” หลิวซืออี๋กัดฟันพูดด้วยความเกลียดชังบนใบหน้า
รถม้าเคลื่อนตัวช้า ๆ บนถนน หลิวซืออี๋ยังคงพูดพล่ามด้วยใบหน้าที่ดุร้าย และสิ่งที่นางพูดเกี่ยวกับอันผิงจวิ้นจู่ทำให้หลิวเสวี่ยอิ๋งรู้สึกหวาดกลัว
สิ่งที่นางและตัวเองคิดแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
หากวันหนึ่งสิ่งที่นางพูดหรือปฏิบัติต่ออันผิงจวิ้นจู่ไปถึงหูของอันผิงจวิ้นจู่ ในวันหนึ่งตามความสัมพันธ์ปัจจุบันระหว่างฮ่องเต้และไทเฮา และมิตรภาพขององค์หญิงลี่หัวที่มีต่ออันผิงจวิ้นจู่ ตระกูลหลิวจะยังคงตั้งหลักอยู่ในเมืองหลวงได้หรือไม่?
และสิ่งที่จะนำความหายนะมาสู่ตระกูลหลิวล้วนมาจากลูกพี่ลูกน้องคนนี้ที่หวังจะแต่งงานกับครอบครัวที่ร่ำรวย
ข้างนอกหน้าต่างรถม้าอากาศหนาวเย็นเพราะยังมีหิมะตกอยู่ประปราย ดังนั้นรถม้าจึงเคลื่อนที่ได้ช้า แต่ในขณะนี้หลิวเสวี่ยอิ๋งขดตัวอยู่ที่มุมเล็ก ๆ ของรถพยายามลดความรู้สึกของการมีอยู่ แม้ว่ารถม้าจะเป็นของครอบครัวนาง แต่นางก็ยกพื้นที่ทั้งหมดให้ญาติคนนี้เพียงคนเดียว
แม้ว่าหลิวเสวี่ยอิ๋งจะห่มร่างกายด้วยผ้าห่มผืนหนา และแสร้งทำเป็นหลับตาเพื่อพักผ่อน แต่หัวใจของนางก็เย็นชาราวกับน้ำแข็ง
สิ่งที่หลิวซืออี๋พูดทำให้เกิดความวุ่นวาย ในขณะนี้หลิวเสวี่ยอิ๋งรู้สึกกังวล
สิ่งที่กังวลคือตระกูลหลิวจะได้รับการลงโทษแบบไหนหากทำให้อันผิงจวิ้นจู่ขุ่นเคือง
โชคดีที่นางรู้ทัศนคติของหลิวซืออี๋ที่มีต่ออันผิงจวิ้นจู่แล้วและก่อนที่เรื่องนี้จะถูกเปิดเผย นางยังมีวิธีจัดการกับมัน ถ้านางไม่รู้อะไรตลอดเวลา กรณีนี้หากเกิดระเบิดขึ้นจะทำให้อันผิงจวิ้นจู่โกรธ
ตระกูลหลิวคงจะถูกฝังไปพร้อมกับหลิวซืออี๋จริง ๆ
หลิวเสวี่ยอิ๋งรู้สึกเย็นวาบที่สันหลัง นางตัดสินใจแล้วว่านางจะต้องบอกท่านพ่อท่านแม่ของนางในสิ่งที่หลิวซืออี๋พูด
ท่านพ่อคิดว่าการที่หลิวซืออี๋อยู่ที่นี่และเมื่อนางพบกับครอบครัวที่ดีก็อาจจะช่วยเขาประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน แต่หลิวซืออี๋คนนี้อาจไม่ได้ช่วยอะไรและนำความหายนะมาให้แทน
แม้ว่าท่านพ่อจะมีตำแหน่งเป็นขุนนางชั้นผู้น้อยของตำแหน่งกวงลู่ซื่อซ่าวชิง แต่เขาก็ทำงานหนักมากว่าครึ่งชีวิตเพื่อให้ได้มา ซึ่งจะมาถูกหลิวซืออี๋ทำลายไม่ได้
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้หลิวเสวี่ยอิ๋งก็ลืมตาขึ้นพลางจ้องมองอย่างดุเดือดไปที่หลิวซืออี๋ซึ่งยังคงสาปแช่ง และนางมีความคิดอยู่ในใจแล้ว
หิมะแรกตกลงมาและวันตรุษจีนก็ใกล้เข้ามาแล้ว ทุกวันนี้กู้ฟางสี่และกู้เสี่ยวอี้ได้เตรียมสิ่งต่าง ๆ สำหรับปีใหม่ หนึ่งคือของที่ต้องใช้สำหรับปีใหม่และสองคือเสื้อผ้าสำหรับปีใหม่
“หนิงอันจะกลับมาในช่วงปีใหม่นี้ เมื่อถึงเวลาครอบครัวเราจะได้กลับมารวมตัวกันอีกครั้ง เฮ้อ มีแค่หนิงผิงที่ไม่มา ไม่ขาดสิ่งนี้ก็ขาดสิ่งนั้น เมื่อไหร่ครอบครัวนี้จะอยู่พร้อมหน้ากันเสียที” กู้ฟางสี่กล่าวด้วยความยินดีและกังวล
เมื่อเห็นท่านอาเศร้า กู้เสี่ยวหวานและกู้เสี่ยวอี้ก็มองหน้ากัน จากนั้นวางของในมือลงและเข้าไปปลอบกู้ฟางสี่ “ท่านอาไม่ต้องกังวล แค่ไม่กี่ปี หนิงอันจะมาในปีนี้ และอาจจะรอสักสามหรือสี่ปีหนิงผิงก็จะกลับมาเช่นกัน”
“ใช่แล้ว ท่านอาไม่ต้องเสียใจ แค่ไม่กี่ปีข้างหน้า เมื่อพี่ชายของข้าได้รับประสบการณ์มามากมาย เขาจะกลับมา ไม่ต้องห่วงนะท่านอา” กู้เสี่ยวอี้เอนตัวเข้าไปในอ้อมแขนของกู้ฟางสี่อย่างคุ้นเคยและปลอบโยนนาง
กู้เสี่ยวหวานพบว่ามันแปลกที่เสียงของนางแตกต่างจากน้องสาวคนนี้อย่างสิ้นเชิง บางครั้งนางคุ้นเคยกับเสียงที่คมชัดของตัวเอง แต่นางก็รักเสียงที่นุ่มนวลของน้องสาว ช่างอ่อนหวาน ละมุนละไม น้องสาวคนนี้มีอารมณ์ที่อ่อนโยนและสง่างามซึ่งไม่เหมือนนาง แม้ว่านางจะดูอารมณ์ดี แต่นางก็ระเบิดอารมณ์ออกมาเป็นครั้งคราว
โดยเฉพาะในช่วงเวลานี้
กู้ฟางสี่จะไม่เข้าใจความหมายของทั้งสองพี่น้องได้อย่างไร
นางเป็นอาและสองคนนี้ พวกนางจะกังวลน้อยไปกว่าตัวเองได้อย่างไรและแน่นอนว่าพวกนางจะต้องกังวลมากกว่าตัวเองอยู่แน่นอน
“เอาล่ะ ข้าไม่ต้องกังวลแล้ว ครอบครัวของเราจะกลับมารวมกันอีกครั้งในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า” กู้ฟางสี่เช็ดน้ำตาของนางอย่างรวดเร็วและพูดด้วยรอยยิ้ม แต่ดวงตาของนางยังคงมีความกังวลอย่างเห็นได้ชัด
“ท่านอา ปีนี้ปลาตากแห้งกับเนื้อตากแห้งมีพอไหม หนิงอันชอบกินเนื้อตากแห้งผัดกระเทียม ในสวนมีต้นกระเทียมพอหรือไม่ แล้วปลาเค็มผัดพริกแห้งก็เป็นของโปรดของหนิงอันด้วย พริกแห้งตากจนแห้งเรียบร้อยแล้ว นอกจากนี้ยังมีโคมไฟสีแดงและดอกไม้ไฟในสวนชิงของเราก็พร้อมแล้ว แม้ว่านี่จะเป็นสวนเช่า แต่ปีนี้เราจะฉลองวันตรุษจีนที่นี่ ต้องทำให้มีชีวิตชีวากว่าปีก่อน ๆ นอกจากนี้ สินค้าปีใหม่ทั้งหมดที่ส่งไปยังท่านลุงจาง ท่านป้าจาง ท่านพี่ฉือโถวและภรรยาถูกส่งออกไปแล้วหรือยัง” กู้เสี่ยวหวานเปลี่ยนเรื่องทันทีพลางมองไปที่กู้ฟางสี่และถาม
……….